“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่น่าสนใจจริง ๆ”
อู่เหยียนผละออกจากร่างหอมกรุ่น เล่นสนุกก็ควรเล่นให้พอประมาณ “พูดคุยมานานแล้วข้ายังไม่รู้จักชื่อเจ้าเลย”
“ข้าชื่อลู่ผิงถิง เป็นบุตรสาวของ...”
“ข้าถามเพียงชื่อเจ้าไม่ได้ถามโคตรเหง้าตระกูลเจ้า”
“....”
อู่เหยียนเอ็นดูคนตัวเล็กที่มีสีหน้าเหลอหลา “ไปนั่ง กินข้าวแล้วค่อยคุย”
“ไม่เป็นไร ท่านหมอเทวดาข้าไม่หิวแล้ว” ลู่ผิงถิงเอ่ยอย่างนอบน้อม หมอเทวดาเหยียนพูดมาเช่นนั้นใครจะกล้ากินลงอีก
“เพิ่งนึกได้รึ ว่าไม่ควรกินของคนแปลกหน้า เมื่อครู่ไม่เห็นเจ้าจะกลัวเช่นนี้เลย” อู่เหยียนอดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่
เขานั่งลงคีบอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ล่อตาล่อใจสตรีตรงหน้า “ไม่กินจริงหรือ อร่อยมากเลยนะ”
ลู่ผิงถิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ทว่านางไม่อยากผิดคำพูด นางบอกว่าไม่กินก็คือไม่กินแล้ว ถึงแม้ลำไส้ของนางจะเรียกร้องหาอาหารก็เถอะ
“หมอเทวดาเหยียน ท่านจะไปรักษาท่านแม่ข้าได้หรือไม่” ลู่ผิงถิงเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“รักษานะได้อยู่ แต่...วันนี้เจ้ามาร่ำสุราเป็นเพื่อนข้า สักสามไหเป็นไง”
“....”
ยิ่งเห็นสตรีคนนั้นยืนทื่ออยู่กับที่ไม่ขยับ และไม่ตอบคำถาม ทั้งยังมองมาด้วยความคาดหวัง เขายิ่งนึกสนุก “ว้าแย่จัง ไม่มีเพื่อนดื่มก็ไม่มีอารมณ์รักษา”
“ได้ข้าจะดื่มกับท่าน” ลู่ผิงถิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตกปากรับคำ นางรอโอกาสที่จะทำให้มารดาหายมานานมากแล้ว นางไม่อาจปล่อยหลุดมือไปได้
“ดี”
สุราไหแรกถูกอู่เหยียนรินใส่จอก เขายกดื่มรวดเดียวหมด แล้วชูจอกให้ลู่ผิงถิงดู “แม่เจ้าป่วยเป็นอะไร”
“นางถูกพิษเหมันต์หลับใหล” ลู่ผิงถิงเองก็ดื่มรวดเดียวหมดจอกเช่นกัน
“พิษนี้ต้องใช้บัวหิมะเหมันต์ในการแก้พิษ อีกเจ็ดวันข้าจะไปจากที่นี่ เจ้ารีบหาบัวหิมะเหมันต์มาก็พอ”
เจ็ดวันหรือน้อยไปหรือไม่ นางจะไปหาที่ใด “ไม่ต้องไปตรวจอาการท่านแม่ข้ารึ”
“รอได้บัวหิมะมาข้าค่อยไปทีเดียว แต่เจ้ามีเวลาแค่เจ็ดวันเท่านั้นนะ”
“เข้าใจแล้ว”
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอ เมื่อสุราหมดไปไหแรก ลู่ผิงถิงก็เมาเสียแล้ว
แรก ๆ อู่เหยียนบอกว่าเห็นนางแล้วคิดถึงน้องสาวที่จากไปจึงหยอกล้อนางเล่น และขออภัยนางนางยังพอรับรู้แต่หลัง ๆ มา อู่เหยียนพูดอะไรไปบ้างลู่ผิงถิงจำไม่ได้แล้ว
“ท่านไม่ชมชอบสตรีจริงหรือ”
นิสัยของลู่ผิงถิงยามเมาช่างขี้สงสัยเสียจริง อู่เหยียนใช้ฝ่ามือยันไว้กับคาง มองสตรีตัวเล็กด้วยแววตาเอ็นดู “เจ้าว่าอย่างไรเล่า”
“ท่านไม่เหมือน แต่ข้าได้ยินมาว่า...”
“เจ้าเชื่อสิ่งที่ได้ยินมากกว่าสิ่งที่ตาเห็นหรือ” อู่เหยียนยิ้มให้คนเมาที่อยากรู้อยากเห็นจนน่าจับมาเขกกบาล
“อืมมีเหตุผล” ลู่ผิงถิงพูดพร้อมรินสุราให้ตัวเอง ทว่าสุราในไหไม่เหลือสักหยด “หมดแล้ว เอามาอีกสิ ข้าจะกินให้ครบสามไห”
“แน่ใจ...ว่าเจ้าไหว” อู่เหยียนเอ่ยถามยิ้ม ๆ เขาไม่เคยเห็นใครเมาแล้วน่ารักเพียงนี้
“ข้าไหวอยู่แล้ว อย่ามาดูถูกกันนะ เจ้าดูสิข้ายังเดินตรงอยู่เลย” ลู่ผิงถิงลุกขึ้นและเดินให้อู่เหยียนดู ไม่รู้สักนิดว่าตัวเองเดินไม่ตรง
อู่เหยียนส่ายศีรษะไปมา ให้กับความดื้อรั้นของสตรีตรงหน้า ความน่ารักของนางทำให้ใจของเขาหวั่นไหวเข้าให้แล้ว “พอแล้ว เมาก็ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะไปพักที่ห้องอื่นเอง”
“นับถือ นับถือ ท่านหมอเทวดา สุดยอดสุภาพบุรุษแห่งเมืองหลวง ข้า...ลู่ผิงถิงจะช่วยท่านแก้ข่าวลือเอง” ลู่ผิงถิงก้มคำนับและเอ่ยเยินยออู่เหยียนถึงสามครั้ง
“เจ้ามาล็อกประตูด้วย” อู่เหยียนเตือนลู่ผิงถิง
“รู้แล้ว” ลู่ผิงถิงเดินโซซัดโซเซไปล็อกประตูตามคำบอกของอู่เหยียนอย่างมึนงง แล้วกลับมานั่งเก้าอี้ตัวเดิม นางยกจอกสุรากรอกปาก ทว่าไม่มีน้ำสีใสไหลออกมา นางจึงวางจอกสุราลงดังเดิม แล้วเท้าคางคิดบางอย่างไปเรื่อยเปื่อย
“อู่เหยียน ช่วยด้วย อู่เหยียน”
ในตอนที่สะลึมสะลือใกล้หลับลู่ผิงถิงก็ได้ยินเสียงคนเรียกหมอเทวดาเหยียน ดังมาจากระเบียงหลังห้อง
“ใคร” ลู่ผิงถิงเอ่ยถาม
“ช่วยด้วย อู่เหยียน”
ลู่ผิงถิงเริ่มฉุนเฉียวเมื่อถามแล้วไม่ได้คำตอบที่ต้องการ มีเพียงเสียงขอความช่วยเหลือซึ่งนางรู้สึกรำคาญเต็มที “ที่นี่ไม่มี อู่เหยียนอะไรนั่น ไปหาที่อื่นข้าจะนอน”
ลู่ผิงถิงเท้าคางหลับตาในท่าเดิม ทว่าจู่ ๆ ร่างนางก็ลอยเคว้งขึ้นกลางอากาศ
คนผู้นั้นอุ้มนางพาไปที่เตียง เขาวางนางลงเต็มแรง จนร่างเล็ก ๆ กระดอนขึ้นลงบนเตียง ทำให้คนเมายิ่งวิงเวียนจนแทบอ้วก
“เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยข้า”
“ชะ...ชะ...ช่วยอย่างไร” ดื่มสุราจนเมามาย สมองก็สั่งการช้าไปหมด ไม่เข้าใจสิ่งที่บุรุษผู้นั้นพูด ไม่รู้เลยว่าในไม่ช้าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง สายตาก็พร่ามัวมองอะไรไม่ชัด
“ช่วยแก้พิษให้ข้า”
พูดจบบุรุษผู้นั้นก็จุมพิตริมฝีปากลู่ผิงถิงอย่างหนักหน่วง
.............
เสือปล่อยไป จระเข้มางับ หลังจากนี้จะมีฉากหวานเยอะหน่อยนะ ใครชอบแบบไร้สาระกดเข้าชั้นไว้นะ
ถามตอบ
คิดว่าน้องลู่จะรอดไปได้อีกไหมทุกคน
“พี่รองท่านจะไปวังหลวงรึ น้องฝากสิ่งนี้ให้ฝ่าบาทด้วย” ลู่ไป๋อิงมาดักรอผู้เป็นพี่ชายอยู่หน้าประตูจวน เพราะรู้ว่าพี่ชายต้องเข้าวังทันที หลังสืบเรื่องราชครูเฟยหลงได้ลู่หงปินรับแผ่นกระดาษมาแล้วคลี่ยิ้ม “นัดฝ่าบาทไปเที่ยวเล่นอีกแล้วรึ เจ้านี่จริง ๆ เลย ฝ่าบาทราชกิจรัดตัว นิสัยเอาแต่ใจของเจ้าก็พลาง ๆ ลงบ้าง”“รู้แล้วเจ้าค่ะ ข้าแค่คิดถึงฝ่าบาทเท่านั้น อีกอย่างข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับฝ่าบาทด้วย”ลู่หงปินลูบศีรษะน้องหญิงรองอย่างเอ็นดู “เช่นนั้นพี่ไปก่อน”“เจ้าค่ะ อย่าลืมส่งให้ถึงมือฝ่าบาทด้วยนะเจ้าคะ”ลู่หงปินหันมายิ้มให้น้องสาวแล้วก้าวขาขึ้นรถม้าเพื่อเข้าวังฮูหยินรองเดินเหม่อลอยเข้าห้องด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางไม่คาดคิดว่าฮูหยินใหญ่จะฟื้นขึ้นมาในยามนี้ เพราะนางมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดแก้พิษนี้ได้จึงชะล่าใจ หากรู้เช่นนี้นางสังหารฮูหยินใหญ่ไปตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง จะได้ไม่ต้องมาพะว้าพะวังอย่างเช่นวันนี้ทางแม่นมเหมยไม่รู้มือสังหารจัดการได้หรือยัง ฮูหยิน รองกำลังหวาดกลัว กลัวว่าเรื่องทุกอย่างที่นางทำในอดีตจะถูกขุดคุ้ย
ลู่ผิงถิงยิ้มเล็กน้อยให้กับความหน้าด้านของสามี แล้วมองไปยังบิดา “ท่านแม่รู้สึกตัวแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพ่อกับพี่รองที่ทูลขอฝ่าบาท หมอหลวงมารักษาท่านแม่แล้ว และตอนนี้ท่านแม่ได้สติแล้วเจ้าค่ะ”กลางคืนนางสูญเสียพี่เสี่ยวซีไป เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีหมอหลวงจากในวังมาตามที่พี่ชายรองบอกไว้ลู่ผิงถิงต้อนรับหมอหลวงชราอย่างดี แล้วเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้หมอหลวงผู้นั้นฟังทั้งน้ำตานางขอร้องให้หมอหลวงบอกฝ่าบาทไปตามจริงว่า แม่ของนางมีพิษเหมันต์หลับใหลอยู่ในร่างกายทว่านางไม่ให้หมอหลวงชราตรวจร่างกายของมารดา เพราะยังไม่เชื่อใจจึงบอกปัดไปว่ามารดากินยาต้านพิษทุกวัน“ร่างกายของท่านแม่ดีขึ้นแปดส่วนแล้ว กินยาอีกเล็กน้อยก็จะหายเป็นปกติ เป็นท่านพ่อและพี่รองคิดมากไปเอง ขอบคุณท่านหมอที่ลำบากเดินทางมานะเจ้าคะ” ลู่ผิงถิงหยิบถุงเงินใส่มือหมอหลวงชรา “ท่านกลับไปรายงานว่าได้ตรวจและจ่ายยาให้ท่านแม่แล้วก็พอ” แหละนี่คือเหตุการณ์วันนั้นลู่ผิงถิงยิ้มเล็กน้อยแล้วมองไปที่ฮูหยินรอง “ขอบคุณท่านแม่เล็กและน้องหญิงรองด้วย ที่ดูแลท่านแม่ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาด้วยเจ้าค่ะ” ลู่ผิงถิงชำเลืองม
เมื่อมาถึงวัดเก้าหลินคนทั้งสองก็ไปไหว้พระขอพร จากนั้นลู่ผิงถิงก็เดินเล่นชื่นชมดอกไม้นานาพันธุ์ เดินชมนกชมไม้ไปทางเรือนพักของแม่ชีฮุ่ยหมิงอย่างแนบเนียนซึ่งแม่ชีฮุ่ยหมิงก็คือแม่นมเหมยเมื่อครายังไม่เข้าไปในร่มพระธรรมนั่นเองแม่ชีฮุ่ยหมิงกวาดใบไม้ที่หน้าเรือนนอนของตนอยู่ ลู่ผิงถิงเข้าไปยอบกายคำนับ “คารวะท่านภิกษุณี”“ประสก มาแล้วหรือ” แม่ชีฮุ่ยหมิงหรือแม่นมเหมย จำคุณหนูใหญ่แห่งจวนลู่ได้ นางเดินนำไปเรือนพักแล้ว ต้มชาผู่เอ๋อร์มาต้อนรับบุคคลทั้งสอง“รบกวนท่านภิกษุณีแล้ว” ลู่ผิงถิงเอ่ย“ล้วนเป็นชะตากรรมทั้งสิ้น การพบ การจาก ทุกอย่างมีโชคชะตากำหนด วันนี้คุณหนูใหญ่มาเพราะเรื่องสำคัญไม่ใช่หรือ”“ท่านรู้ว่าข้ามาด้วยเรื่องใดหรือ”แม่ชีฮุ่ยหมิงยิ้มเล็กน้อย “ถึงเวลาเสียที ถึงเวลาที่ข้าจะปล่อยวางได้แล้ว” แม่ชีฮุ่ยหมิงเอ่ยจากนั้นก็ลุกขึ้นไปหยิบม้วนกระดาษ สองม้วนยื่นให้ลู่ผิงถิงลู่ผิงถิงรับไว้แล้วเก็บใส่อกเสื้ออย่างรวดเร็ว“ขนมวันนั้นฮูหยินรองเป็นคนลงมือทำเองกับมือ...” พูดไม่ทันจบแม่ชีฮุ่ยหลินก็ตาเบิกกว้างใบหน้าเขียวคล้ำแล้ว ล้มลงพื้นหม
“ตั่งนั่นไม่นุ่มเกรงว่าเจ้าจะเจ็บก้น ไปที่เตียงดีกว่า ข้าจะดูให้ดีเจ้าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง”“....” ภาพเหตุการณ์ที่หอเฟิ่งหวงผุดขึ้นมาในหัว ลู่ผิงถิงอีกครั้งออกไปนะ ออกปายยย อย่ามาหลอกหลอนข้าอีก คนผู้นั้นไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้ามู่เซียวเซ่อมองดูสตรีที่นั่งอยู่บนเตียง เดี๋ยวขมวดคิ้ว เดี๋ยวส่ายหน้าไปมา ก็ยกยิ้มมุมปาก นางคงกำลังคิดบางเรื่องที่ไม่ได้ดังใจอยู่ จึงมีท่าทีเช่นนี้เขากวาดตามองหาบาดแผลเมื่อไม่มีแผลใด ๆ บนกายนางเขาจึงนั่งลงข้าง ๆ “เจ้าจะไปวัดเก้าหลินหรือ”“เพคะ” ลู่ผิงถิงที่พยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องคืนนั้น หันมาตอบอย่างลุกลี้ลุกลน“อยากได้บุตรก็คุยกับข้า ไม่ต้องไปขอพรที่วัดหรอก” มู่เซียวเซ่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ลู่ผิงถิงอ้าปากค้างอยู่นานถึงหาเสียงตัวเองเจอ “ใครบอกท่านอ๋องกัน” นางขึ้นเสียงอย่างร้อนรนเขาเข้าใจนางผิดแล้ว จากนั้นก็ยืดตัวไปกระซิบข้างหูเขา “หม่อมฉันไปหาแม่นมเหมยต่างหาก”มู่เซียวเซ่อตวัดแขนโอบรอบคนตัวเล็ก นางเอนตัวหนีไปด้านหลังจนนอนราบไปกับเตียง เขาจึงโน้มลำตัวตามไป สองมือยันเตียงนุ่มไว้ โดยมีนางนอนอยู่ระ
มีอย่างที่ไหนเป็นสามีภรรยากัน เขาเองก็สละความสุขสบายที่จวนอ๋อง มาอยู่ที่จวนลู่กับภรรยา แต่นางกลับแยกห้องนอนกับเขาทิ้งห้องของนางให้เขา แล้วตัวนางเองไปนอนกับมารดาของนางทุกคืน มีเพียงคืนแรกที่เข้าจวนลู่เท่านั้น ที่ได้นอนกอดร่างนุ่มนิ่มนางเคยรับปากไว้ว่าเมื่อมารดานางฟื้น จะปรนนิบัติเขาอีกครั้งมู่เซียวเซ่อรู้สึกรอคอยอย่างบอกไม่ถูก เขาอยากรู้หากนางสติแจ่มชัด นางจะเร่าร้อนราวปีศาจจิ้งจอกอย่างคืนนั้นไหม“ติดค้างหรือ ...หม่อมฉันไปติดค้างพระองค์ตอนไหนกัน” ลู่ผิงถิงขมวดคิ้วครุ่นคิด พอนึกออกใบหน้าที่หายแดงไปเมื่อครู่ ก็กลับมาแดงซ้ำอีกครั้งเขายังไม่ลืมอีกหรือ ขนาดนางยังจำไม่ได้แล้ว เรื่องพวกนั้นนางแค่รับปากไปส่ง ๆ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการเท่านั้น ไม่ได้คิดจะปรนนิบัติเขาจริงเสียหน่อยอ๋องหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเห็นท่าทีเขินอายของอีกฝ่าย“แม่เจ้าฟื้นแล้ว” มู่เซียวเซ่อเอ่ยอย่างมีเลศนัยลู่ผิงถิงขบเม้มริมฝีปาก นางกำลังคิดว่าจะออกจากอ้อมกอดนี้ของเขาอย่างไรดี “หม่อมฉันไม่ได้ลืมเพคะ แต่ที่นี่...สถานที่ไม่เหมาะเท่าไร พระองค์ว่าหรือไม่เพคะ”
มือเล็กยื่นไปจับชายแขนเสื้อชินอ๋องหนุ่มเขย่าไปมา แล้วเอ่ยอย่างออดอ้อน “ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันต้องการข้อมูลนี้ จริง ๆ อนุญาตเถิดเพคะ”“ก็ได้” มู่เซียวเซ่อรับคำขอของพระชายาน้ำเสียงอ่อนโยนดื่มก็ดื่มสิ นางอยากได้ข้อมูลเขาก็ต้องตามใจนางอยู่แล้ว แต่เขาไม่ปล่อยให้นางไปดื่มกับอู่เหยียนเพียงลำพังแน่ จะดื่มก็ได้ แต่...เขาต้องอยู่ด้วยเท่านั้น“ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ” ลู่ผิงถิงกล่าวแล้วหันมามองอู่เหยียนด้วยสายตาขอร้อง“ข้าไม่ใช่คนเรื่องมาก เจ้าดื่มเป็นเพื่อนข้าได้ ข้าก็ตกลง” อู่เหยียนเอ่ย“ขอบคุณหมอเทวดาเหยียนมาก” ลู่ผิงถิงเอ่ยขอบคุณจากใจจริงหลังจากนั้นพวกเขาก็รับประทานอาหารกันอย่างสงบสามวันต่อมาอู่เหยียนก็นัดลู่ผิงถิงมาที่หอเฟิ่งหวง เขาหยิบข้อมูลที่สืบได้ทั้งหมดส่งให้ลู่ผิงถิง “แม่นมเหมยผู้นั้นถูกตามล่าจากมือสังหารมาตลอด บัดนี้นางปลงผมอยู่ที่อารามเก้าหลิน ซึ่งเป็นสถานที่ในเมืองหลวงที่พวกมือสังหารนึกไม่ถึง และทำให้นางปลอดภัยมาจนถึงวันนี้” อู่เหยียนดื่มชาในจอกอย่างกระหายแล้วเอ่ยต่อ “ข้ากลัวว่าถ้าเจ้าเคลื่อนไหว ความปลอดภัยของนางจะรักษาไว้ไม่ได้”
“ออกไปทำธุระพวกเจ้าเถอะ แม่อยากพักผ่อน” เวินหลินยิ้มอยากมีความสุข หลังจากตื่นมาก็พูดคุยไปหลายเรื่องจนนางรู้สึกเหนื่อยสองสามีภรรยาออกจากห้องของมารดาลู่ผิงถิงเดินดุ่ม ๆ หนีห่างให้ไกลคนตัวสูง ไปที่โต๊ะอาหาร คำพูดมารดายังวนเวียนในสมอง นางเขินอายและไม่อยากเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยเช่นนั้นของสามี“ใช้งานข้าเสร็จ พวกเจ้าก็ไม่สนใจข้า” อู่เหยียนที่รออยู่นานพูดความในใจออกมาทันทีที่เห็นคนทั้งสองเดินเข้ามาหา เขาแสร้งทำหน้าเง้างอน “มีอย่างที่ไหนทิ้งข้าไว้ที่นี่คนเดียว” ใบหน้าหล่อเหลาเดี๋ยวพองเดี๋ยวยุบราวเด็กแปดขวบอาหลี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างกลั้นเสียงหัวเราะไว้ไม่ไหว จึงมีเสียงหัวเราะหลุดออกมาอู่เหยียนปรายตามองอาหลี่ “ดูสิ แม้แต่เด็กคนนี้ก็หัวเราะเยาะข้า ถิงเอ๋อร์เจ้าต้องชดเชยให้ข้าด้วย” เขาเรียกร้องความสนใจจากสตรีตัวเล็ก“ให้มันน้อย ๆ หน่อยอู่เหยียน” มู่เซียวเซ่อเอ่ยปากด้วยความหมั่นไส้ เมื่อเห็นสหายออดอ้อนภรรยาของเขา“ใครจะลืมหมอเทวดาเหยียนกัน ข้าตั้งใจลงครัวเพื่อขอบคุณท่านโดยเฉพาะ นี่ลองชิมดูว่าถูกปากไหม” ลู่ผิงถิงนั่งลงแล้วคีบซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน
กลิ่นอาหารปะปนไปกับกลิ่นดอกกุ้ยฮวา ชวนให้อาหารน่ารับประทาน กลิ่นอายของอากาศก็พาให้สดชื่น ทว่า..บรรยากาศกลับพิลึกพิลั่น อาหลี่ยืนเงียบไม่เอ่ยปาก รอบุรุษทั้งสองคีบอาหาร พวกเขาเอาแต่จับจ้องกัน ด้วยสายตาก็น่าหวาดกลัว ราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาช้านานเมื่อไรพระชายาจะออกมากัน ทิ้งนางไว้ที่นี่คนเดียวนางทำตัวไม่ถูก อาหลี่บ่นในใจภายในห้องลู่ผิงถิงร้องไห้สะอึกสะอื้นกอดมารดาแน่น “ท่านแม่ลูกคิดถึงท่าน”เวินหลินหรือฮูหยินใหญ่จวนลู่น้ำตาไหลพราก นางกอดตอบบุตรสาวแล้วพูดเย้าแหย่ “เจ้านี่นะ ไม่โตเสียที ขี้แยแบบนี้จะมีบุรุษใดมาชมชอบ”ลู่ผิงถิงกอดแน่นขึ้นกว่าเก่า “ลูกไม่สนใจคนอื่น ลูกสนใจเพียงท่านแม่”“ปากหวานนัก” เวินหลินหัวเราะเสียงแผ่วและไอเล็กน้อยเพราะรู้สึกคอแห้ง “ปล่อยได้แล้วข้าหายใจไม่ออก”ลู่ผิงถิงรีบนำน้ำมาป้อนให้มารดา “ท่านแม่รู้สึกอย่างไรบ้าง”“แม่ไม่เป็นไร ขอแม่ดูหน่อยลูกแม่อยู่สุขสบายหรือไม่” เวินหลินมองสำรวจบุตรสาว “เสี่ยวซีมารายงานข้าที ช่วงที่ข้าไม่ได้สติ ถิงเอ๋อร์ของข้าซุกซนอย่างไรบ้าง ต้องเล่าให้ละเอียดด้วย” เวินหลินเรียกหาเส
“หม่อมฉันติดหนี้น้ำใจท่านอ๋องแล้วหนึ่งครั้ง ขอบพระทัยมากนะเพคะ” ลู่ผิงถิงยิ้มกว้างรอยยิ้มนี้ออกมาจากใจไม่ได้เสแสร้ง“ไม่มีหนี้น้ำใจสำหรับสามีภรรยา” อ๋องหนุ่มใช้นิ้ว เขี่ยจมูกได้รูป เขายิ้มกว้างให้พระชายาตัวน้อยของเขาเช่นกัน“เช่นนั้นหม่อมฉันจะไปหาหมอเทวดาเหยียน”อ๋องหนุ่มหุบยิ้มอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องไปหาเขา รออยู่กับข้าที่นี่ ตอนรักษาข้าจะไปด้วย” เขาไม่ปล่อยให้สองคนนี้อยู่ด้วยกันอีกเป็นอันขาด จากนี้ไปจะปล่อยนางให้คาดสายตาไม่ได้แล้ว เกิดเมาสุราขึ้นมานางอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้“แต่หม่อมฉันต้องกลับไปดูแลท่านแม่ที่จวนลู่”“ข้าจะไปกับเจ้า”“....”อ๋องหนุ่มเตรียมบัวหิมะเหมันต์ แล้วพาพระชายาออกจากจวนอ๋องไปจวนลู่ สั่งให้พ่อบ้านจางไปแจ้งข่าวอู่เหยียนที่หอเฟิ่งหวง ว่าพรุ่งนี้ให้ไปรักษาท่านแม่ยายที่จวนตระกูลลู่ณ จวนตระกูลลู่ลู่ผิงถิงสังเกตุคิ้วที่ขมวดแน่นของสามีก็รู้ว่าเขาไม่คุ้นชินกับสถานที่คับแคบแห่งนี้ “ท่านอ๋อง ที่นี่คับแคบมาก ถ้าท่านรู้สึกไม่สะดวกกลับไปพักที่จวนอ๋องก็ได้นะเพคะ”“ข้าอยู่ได้”“...” อยู่ได้เหตุใดต้