เมื่อถึงตอนนั้น ท่านโหวหลินก็เหมือนเพิ่งได้สติ รีบคุกเข่าลงทั้งสองข้าง “ข้าน้อยหลินโหยว ขอคารวะท่านอ๋อง!”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฮูหยินหลินกับหลินเย่ว์ก็รีบคุกเข่าตามไปทันทีแม้แต่เฉียวเนี่ยนเองก็ย่อตัวทำความเคารพเว้นเสียแต่เซียวเหิง ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาเต็มไปด้วยความหมองหม่น จ้องเขม็งไปยังฉู่จืออี้คนตรงหน้าคือพรานล่าสัตว์คนนั้นเมื่อวันก่อนชัด ๆ!ทันใดนั้น เสียงเจ้ารองซึ่งยืนอยู่ด้านหลังฉู่จืออี้ก็พูดขึ้นเบา ๆ “เซียวเหิง เจ้าช่างบังอาจ! เจออ๋องผิงหยาง ยังกล้าละเมิดไม่ยอมคุกเข่า!”เซียวเหิงขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะค่อย ๆ คุกเข่าลงข้างเดียว “คารวะท่านอ๋อง”ทว่า ฉู่จืออี้กลับไม่ใส่ใจเขาแม้แต่น้อย แต่เดินไปพยุงเฉียวเนี่ยนขึ้นด้วยตัวเอง ก่อนจะกล่าวขึ้นเรียบ ๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ "ทุกคนลุกขึ้นเถอะ"เสียงของฉู่จืออี้เรียบเย็นแต่ทรงอำนาจ ท่านโหวหลินลุกขึ้นเป็นคนแรก สีหน้าตื้นตัน “ท่านอ๋องหายไปแปดปี ข้าน้อยไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นท่านอ๋องอีกครั้งในชีวิตนี้”ฉู่จืออี้เพียงปรายตามองเขา ไม่ตอบอะไรแต่กลับหันไปหาเฉียวเนี่ยน แล้วกล่าวจริงจัง “จวนอ๋องผิงหยางใหญ่เกินไป ข้าอยู่คนเดียวไม่ค่อยชิน เจ
ถ้าจวนโหวไม่รับคนผิดเป็นลูกสาวแต่แรก เขากับเนี่ยนเนี่ยนก็คงได้แต่งงานกันไปนานแล้ว!คำพูดของเซียวเหิง ทำให้ฮูหยินหลินเบิกตากว้างทันที“เจ้าว่าอะไรนะ? ของปลอม? กรมซักล้าง? ลูกสาวข้าจะเข้าไปอยู่ในกรมซักล้างได้อย่างไร?” ฮูหยินหลินตื่นตระหนกสุดขีด คว้าชายเสื้อของเซียวเหิงไว้แน่น ก่อนเริ่มสติแตก “พูดให้ชัด! ลูกสาวข้าจะกลายเป็นทาสรับใช้ได้อย่างไรกัน!”เซียวเหิงปรายตามองนางอย่างเย็นชา “ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ตอนนั้น ก็เพราะท่าน...”“เซียวเหิง!!”เสียงตะโกนดังก้อง เป็นหลินเย่ว์ที่รีบมาถึงเขาโผเข้ามา คว้าคอเสื้อเซียวเหิงไว้แน่น เสียงกดเบาจนแทบไม่ได้ยิน “เจ้าดูไม่ออกหรือว่าแม่ข้าอาการไม่ปกติ? ยังจะจุดไฟใส่นางอีกหรือไง?”เซียวเหิงชะงัก แล้วหันไปมองฮูหยินหลิน เมื่อเห็นสีหน้าหวาดผวา สับสนของนาง เขาก็พยายามข่มอารมณ์โกรธเอาไว้แม้ใจหนึ่งเขายังคงโทษตระกูลหลิน หากไม่ใช่เพราะพวกเขาตาถั่ว เขากับเนี่ยนเนี่ยนจะต้องเป็นอย่างทุกวันนี้หรือ?แต่ฮูหยินหลินในตอนนี้ ดูจะอยู่ในภาวะไม่ปกติจริง ๆ เขาจึงกัดฟันเงียบ ไม่พูดอะไรอีกฮูหยินหลินกลับหันไปคว้าแขนหลินเย่ว์ เสียงสั่นเครือแต่เด็ดขาด “เย่ว์เอ๋อร์ บอกแม่สิ
หลินเย่ว์ยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงในคำพูดของหมอประจำจวนเขานึกว่า “ลืมทุกอย่าง” ก็แค่ลืมผู้คนทั้งหมดเท่านั้นแต่แค่เพียงผลลัพธ์แบบนั้น เขาก็แทบจะรับไม่ไหวแล้ว “ถึงขนาดนั้นเลยหรือ? แล้วไม่มีวิธีอื่นเลยจริง ๆ หรือ?”หมอประจำจวนตอบเรียบ ๆ “พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าถูกกระทบกระเทือนทางใจอีก บางที... อาจพอรักษาสภาพนี้ไว้ได้”แต่ก็แค่ บางที เท่านั้นเองหลินเย่ว์พยักหน้าช้า ๆ “ข้ารู้แล้ว ขอบคุณท่านหมอมาก แล้วตอนนี้แม่ข้าอยู่ที่ไหน?”“น่าจะไปที่เรือนของคุณหนูใหญ่แล้ว”พอสิ้นคำของหมอประจำจวน หลินเย่ว์ก็สะดุ้งสุดตัวไม่สนใจว่าตัวเองยังมีไข้หรือไม่ รีบออกจากห้อง วิ่งตรงไปยังเรือนเล็กของเฉียวเนี่ยนทันทีเขาไม่อยากให้จิตใจของท่านแม่ถูกกระทบกระเทือนอีก และก็ไม่อยากให้เนี่ยนเนี่ยนถูกกดดันจากฮูหยินหลินอีกเช่นกันในความคิดของเขา ตอนนี้การไม่พบกันน่าจะดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย ทั้งกับฮูหยินหลินและเฉียวเนี่ยนขณะนั้นเอง เฉียวเนี่ยนนั่งอยู่ในโถงรับแขก มองดูท่านโหวหลินกับฮูหยินหลินที่อยู่ตรงหน้า ก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา“เนี่ยนเนี่ยน นี่เป็นน้ำแกงหวานที่แม่ต้มเอง เจ้าชอบมากตั้งแต่ยังเล็ก” ฮูหย
น้ำเสียงของนางสงบเย็นจนเกินจะวางใจราวกับสิ่งที่พูดออกมา ล้วนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวนางเลยแม้แต่น้อยแต่หัวใจของหลินเย่ว์กลับเจ็บแปลบเหมือนถูกบีบที่แย่คือ เขารู้ว่านางพูดถูก ทุกคำที่พูดมา ล้วนสมเหตุสมผล ไม่มีสิ่งใดให้โต้แย้งความรู้สึกสิ้นหวัง อ่อนแรง ไร้ทางตอบโต้ ห้อมล้อมเขาเอาไว้ทั้งตัวอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกในที่สุด ดวงตาของหลินเย่ว์ก็มืดลง แล้วเขาก็หมดสติไปเมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง กฌพบว่าตัวเขาอยู่ในห้องนอนของตนเองม่านผ้าที่คุ้นตาอยู่ตรงหน้า แต่ศีรษะของหลินเย่ว์ยังรู้สึกวิงเวียนอย่างหนัก“คุณชายใหญ่ฟื้นแล้ว” เสียงของหมอประจำจวนดังขึ้นจากด้านข้างหลินเย่ว์พยุงตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก มองดูมือขวาที่ถูกพันแผลใหม่ แล้วทันใดนั้นคำพูดของเนี่ยนเนี่ยนเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง หัวใจเขาจึงเหมือนตกลงเหวลึกอีกหนแต่บางทีฝนที่สาดลงมาเมื่อคืน ก็ช่วยทำให้เขาตื่นจากความหลงผิดหลินเย่ว์เริ่มเข้าใจ หากเขาอยากให้เนี่ยนเนี่ยนยกโทษให้จริง ๆ ก็ไม่อาจใช้วิธีนี้ได้อีกต่อไปสิ่งที่นางพูดนั้นถูกต้อง สิ่งที่เขาทำ ไม่ใช่การขอให้นางอภัย แต่เป็นการบีบบังคับหลินเย่ว์ยกมือซ้ายขึ้นนวดขมับ ก
ด้านนอก ฝนยังคงเทลงมาอย่างหนักแม้จะกางร่ม ฝนก็ยังซัดจนเปียกชายกางเกงของเฉียวเนี่ยนอย่างรวดเร็ว ตอนที่นางได้พบกับหลินเย่ว์ กางเกงของนางแทบจะติดเนื้อไปหมดแล้วในลานบ้าน หลินเย่ว์ยังคงคุกเข่าอย่างมั่นคงท่ามกลางสายลมและสายฝน ร่างของเขาดูเล็กจ้อยเป็นพิเศษเฉียวเนี่ยนสูดลมหายใจลึก ยืนนิ่งอยู่กับที่หนิงซวงกลับถือร่มเดินเข้าไปข้างหน้า “คุณชายใหญ่ ฝนวันนี้แรงมาก อีกทั้งท่านยังบาดเจ็บอยู่ กลับไปพักเถอะนะเจ้าคะ”หลินเย่ว์ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆหนิงซวงพูดต่อ “คุณชายใหญ่ก็น่าจะรู้ดี ว่าคุณหนูของข้าใจดี หากท่านถึงขั้นพิการเพราะเรื่องนี้ นางจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่เจ้าค่ะ!”จนกระทั่งได้ยินเช่นนี้ หลินเย่ว์ถึงเหมือนเพิ่งได้สติกลับมาละอองฝนไหลลงจากเส้นผม ทำให้เขาลืมตาไม่ได้เต็มที่ ต้องหรี่ตามองไปยังทิศทางที่เฉียวเนี่ยนยืนอยู่ในความพร่ามัวนั้น เขาเห็นนางกำลังยืนถือร่มอยู่ไกล ๆ แต่ลมและฝนในวันนี้แรงมาก ร่มของนางแม้จะถูกจับไว้แน่น ก็ยังไหวโอนอยู่ตลอดเวลาใช่... นั่นคือเนี่ยนเนี่ยนของเขา...หลินเย่ว์คิดเงาร่างนั้น ซ้อนทับกับภาพของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในความทรงจำของเขาอย่างพอดิบพอดีเขารักและท
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้กลับเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ หันไปมองฉู่จืออี้ด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้าคิดว่า ข้าอยากฆ่าเจ้าอย่างนั้นหรือ?”ฉู่จืออี้ไม่พูดอะไร เบือนสายตากลับมา แต่กำหมัดแน่นเล็กน้อยเขารู้ดีว่าคำพูดเมื่อครู่ของตนอาจล้ำเส้นเกินไปแต่เขาก็อยากรู้คำตอบเขาอยากรู้ว่าเขาเคยถูกพี่ชายเพียงคนเดียวของตนทอดทิ้งหรือไม่เสียงฝนพรำด้านนอกห้องทรงอักษร ตีซ้ำลงบนหัวใจของฉู่จืออี้ไม่หยุดฮ่องเต้ค่อย ๆ เดินมาหาเขา แล้วยกมือขึ้น ตบไหล่เขาเบา ๆ“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่อี้เอ๋อร์ เจ้าฟังข้านะ ข้าไม่มีพี่น้องคนอื่นอีกแล้ว นอกจากเจ้า!”คำว่า “อี้เอ๋อร์” ทำให้ฉู่จืออี้นึกถึงเรื่องราวในอดีตที่แสนไกลในตอนนั้น เพราะมารดาไม่ได้รับความโปรดปราน เขามักถูกเหล่าองค์ชายคนอื่นกลั่นแกล้ง จนกระทั่งรัชทายาทในขณะนั้น นั่นก็คือฮ่องเต้ในตอนนี้ ได้ก้าวออกมาช่วยเขาตั้งแต่นั้นมา ภายในวังอันเงียบงัน คนที่เรียกชื่อเขาได้ ก็มีเพิ่มขึ้นอีกคน นอกจากพระมารดาเมื่อครั้งอยู่ในวัง เขากับฮ่องเต้ถือว่าสนิทกันที่สุดในบรรดาพี่น้อง แต่เมื่อเขาออกไปประจำการแถบชายแดนหลายปี ความสัมพันธ์นั้นก็ค่อย ๆ จางหายไปตอนนี้
ขณะเดียวกัน ภายในห้องทรงอักษร ฉู่จืออี้กำลังนั่งประจันหน้ากับฮ่องเต้ เล่นหมากล้อมอยู่ด้วยกันเสียงฟ้าร้องคำรามขึ้น ฉู่จืออี้เงยหน้ามองฮ่องเต้แวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรฮ่องเต้หยิบหมากดำขึ้นมาหนึ่งเม็ด สายตายังคงจับจ้องบนกระดานหมากล้อม แล้วกล่าวเบา ๆ ว่า “มีสมาธิหน่อย”ฉู่จืออี้ยังคงเงียบ เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้วางหมากดำลงแล้ว เขาจึงหยิบหมากขาวขึ้นมา พิจารณาทั้งกระดาน แล้วจึงวางหมากลง“หึ...” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “การเดินหมากที่ดักทางข้าเช่นนี้มันร้ายกาจนัก”ฉู่จืออี้ยังคงไม่พูดอะไรฮ่องเต้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบหมากดำอีกเม็ดขึ้นมา แล้วถามว่า “ทำไมจู่ ๆ ถึงอยากกลับมา?”“ข้าเห็นหมายจับของพวกโจรภูเขา” ฉู่จืออี้ตอบอย่างตรงไปตรงมา “องครักษ์พยัคฆ์เคยสร้างคุณความดีอย่างยิ่งใหญ่ ข้าไม่อยากให้ไอ้พวกอาชญากรโฉดเขลาสองสามคน มาทำลายชื่อเสียงนั้น”“อืม” ฮ่องเต้รับคำเสียงเรียบ ฟังไม่ออกว่าทรงพอพระทัยหรือไม่เมื่อหมากดำวางลง ฉู่จืออี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดหาวิธีเดินต่ออีกครู่หนึ่ง แต่ไม่ว่าจะคิดทางไหน ก็ลงเอยเหมือนกันหมด สุดท้ายจึงโยนหมากขาวในมือลงในถ้วยหมาก “เสด็จพี่ชนะแล้ว”ไม่ทั
นิสัยของหลินเย่ว์ จะว่าไปแล้วก็เป็นคนดื้อดึงคนหนึ่งหากเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เกรงว่าเขาคงจะคุกเข่าอยู่ที่นี่จนตายจริง ๆแล้วเนี่ยนเนี่ยนล่ะ?หากหลินเย่ว์คุกเข่าอยู่ตรงนี้นานเข้า จนถึงขั้นเป็นลมล้มพับไป นางจะใจอ่อนไหม?เซียวเหอจะไม่รู้ทันความคิดของเซียวเหิงได้อย่างไร คิ้วขมวดเป็นปมทันที “ที่พวกเจ้าทำกันเช่นนี้ ก็แค่ทำให้นางไม่กล้าออกจากห้องอีกเลยก็เท่านั้น”ขณะพูด เซียวเหอก็หันไปมองที่มือขวาของหลินเย่ว์ “คุณชายหลิน มือของท่าน…”“ไม่เป็นไร” หลินเย่ว์ขัดขึ้นก่อนที่เซียวเหอจะพูดจบ “พวกท่านไปเถอะ ข้ารู้ดีว่ากำลังทำอะไร หากพวกท่านจะไล่ข้าออกไปให้ได้ ข้าก็จะไปคุกเข่าอยู่หน้าจวนแทน แต่คุกเข่าข้างนอกคงไม่ดี หากคนภายนอกเห็นเข้า อาจจะพูดถึงเนี่ยนเนี่ยนในทางไม่ดีได้”ดังนั้น เขาจะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครไล่เขาไปได้!ฟังถ้อยคำของหลินเย่ว์ เซียวเหอก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนใจจากนั้นก็หันไปมองเซียวเหิง “แล้วเจ้าเล่า? จะไปหรือไม่?”เซียวเหิงมองหลินเย่ว์แวบหนึ่งเขาคิดเพียงว่า หากเขาอยู่ต่อ เกรงว่าเนี่ยนเนี่ยนอาจจะพาลเอาคววามโกรธที่มีต่อหลินเย่ว์มาลงที่เขาด้วยจึงเอ่ยเบา ๆ “ถ้าเช่นนั้น ขอใ
เห็นท่านโหวหลินประคองฮูหยินหลินจากไป เฉียวเนี่ยนจึงค่อยถอนหายใจออกมายาวหนึ่งเฮือกแต่แล้วก็ได้ยินเสียงเซียวเหิงเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “หลินเย่ว์ เจ้ายังยืนเหม่ออยู่ทำไม?”เฉียวเนี่ยนจึงสังเกตเห็นว่า หลินเย่ว์ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีท่าทีว่าจะจากไปนางมองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก แล้วก็เห็นว่าหลินเย่ว์เองก็มองมาทางนาง ก่อนจะค่อย ๆ คุกเข่าลงกับพื้นคิ้วของเฉียวเนี่ยนขมวดเล็กน้อย มือทั้งสองกำแน่น แต่กลับไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียวเซียวเหอเองก็กังวลจนต้องขมวดคิ้ว มองเฉียวเนี่ยนด้วยความเป็นห่วง เห็นว่าสีหน้าของเฉียวเนี่ยนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก จึงค่อยโล่งใจลงบ้างในหัวกลับคิดถึงคำพูดของนางที่เคยกล่าวไว้เมื่อตอนอยู่ที่หมู่บ้านเหอวาน ก็อดรู้สึกเศร้าลึก ๆ ในใจไม่ได้นางไม่ควรกลับมาเลยจริง ๆแต่เซียวเหิงกลับเดินขึ้นไปคว้าคอเสื้อหลินเย่ว์ไว้ “เจ้าจะก่อเรื่องอะไรอีก? ไม่อายผู้คนบ้างหรือ? รีบไสหัวไปซะ!”แต่หลินเย่ว์กลับผลักเซียวเหิงออก “ไม่ต้องเจ้ามายุ่ง!”เขาจะต้องคุกเข่า!เมื่อครู่แม้ท่านแม่จะความจำเสื่อม แต่เนี่ยนเนี่ยนก็ยังไม่มีท่าทีอ่อนใจแม้แต่น้อยเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าตนควรจะทำเช่นไรอีก