เซียวเหิงนอนอยู่ในรถม้า ลืมตามองเพดานรถ แต่ในห้วงความคิดกลับเต็มไปด้วยสัมผัสระหว่างเฉียวเนี่ยนกับเขาเมื่อครู่เขารู้สึกว่าตัวเองคงป่วยเข้าแล้วจริงๆก็แค่การสัมผัสธรรมดาครั้งหนึ่งเท่านั้น ทำไมถึงได้ตื้นตัน ใจเต้นสั่นไหวถึงเพียงนี้?คิดถึงตรงนี้ เขายกมือขึ้นช้าๆ วางลงบนอกตัวเองสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจที่ดัง ตึกตัก ตึกตัก ตึกตักจังหวะแล้วจังหวะเล่า รุนแรงและรวดเร็วและเขากลับหลงรักความรู้สึกเช่นนี้เสียจนหมดใจแต่ว่า แต่ก่อนกลับไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลยเมื่อก่อน ตอนนางวนเวียนอยู่รอบกายเขาทุกวัน เขาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้สิ่งที่มี มีเพียงแค่ความเคยชินเคยชินกับความสนิทชิดเชื้อของนาง เคยชินกับการตามตื๊อของนาง เคยชินกับการที่นางเรียกเขาไม่หยุดว่า ‘ท่านพี่เหิง’ และก็เคยชินเสียแล้ว กับความคิดที่ว่าสักวันหนึ่งจะต้องแต่งงานกับนางน่าเสียดายที่ผิดพลาดไปผิดพลาดครั้งใหญ่ฃจนทำให้ความเคยชินเมื่อก่อนนั้น มองตอนนี้กลับเป็นสิ่งหรูหราสิ้นดี!เขาเสียใจนับครั้งไม่ถ้วน ที่ไม่ได้แต่งนางมาเป็นภรรยาเสียแต่เนิ่นๆหากก่อนที่หลินยวนจะปรากฏตัวขึ้น พวกเขาได้แต่งงานกันไปแล้ว มันจะดีสักเพียง
“เนี่ยนเนี่ยน...”ในที่สุดเซียวเหิงก็กลั้นไม่อยู่เอ่ยเรียกออกมา เสียงนั้นสั่นเล็กน้อย ฟังแล้วทำให้ใจคนสะท้านตามไปด้วยอวี๋วั่นซูทนไม่ไหว “ท่านหญิงเฉียว อย่างไรเสีย ท่านแม่ทัพกับท่านก็ผูกพันกันมากว่าสิบปี เป็นเพื่อนสมัยเยาว์ ช่วยพูดให้เขาสักหน่อยก็คงไม่เกินไปนักหรอกกระมังขอรับ?”“ยานี้ก็มาจากเพื่อนสมัยเยาว์ของเขา” เฉียวเนี่ยนเอ่ยเสียงขรึม มองไปทางอวี๋วั่นซู กล่าว “แรกเริ่มข้าก็คิดว่าท่านรังเกียจเขายิ่งนัก เหตุใดตอนนี้กลับคอยช่วยเขาทุกเรื่อง? เขามอบผลประโยชน์อันใดแก่ท่านหรือ?”ได้ยินดังนั้น อวี๋วั่นซูอ้าปาก แต่ในที่สุดก็ไร้คำจะเอ่ยเฉียวเนี่ยนจึงหันไปมองเซียวเหิงอีกครั้ง “ในเมื่อท่านอ๋องมีคำสั่งให้เจ้าจากไป เจ้าก็รีบไปเถิด! รถม้าเตรียมไว้แล้ว คันที่ข้านั่งตอนมา เป็นของตระกูลมู่ ใหญ่พอ สะดวกสบายพอ เจ้าก็นั่งรถม้าคันนั้นกลับเมืองหลวงไปเถิด! และไม่ต้องขอบคุณด้วย”พูดจบ เฉียวเนี่ยนก็หันกายจะเดินไปเซียวเหิงรีบตามออกไป “เนี่ยนเนี่ยน!”ก้าวเท้ามีอาการเซถลา แต่ก็พอไล่ทันเฉียวเนี่ยนหันกลับมา ก็เห็นเซียวเหิงพุ่งตรงเข้าหานางเดิมคิดจะหลบไป แต่ทว่าขาของเซียวเหิงกลับอ่อนแรงลงกะทันหัน ร่าง
อีกด้านหนึ่ง เซียวเหิงพุ่งออกจากกระโจมไปได้ไม่นาน ก็เป็นลมล้มลงอวี๋วั่นซูไล่ตามออกมา เห็นเซียวเหิงถูกทหารลาดตระเวนประคองไปทางกระโจมแพทย์ทหารเห็นดังนั้น อวี๋วั่นซูรีบเข้ามารับเซียวเหิงไป “ข้าจัดการเอง พวกเจ้ากลับไปลาดตระเวนต่อ!”“รับทราบ!”ทหารเหล่านั้นรับคำ อวี๋วั่นซูจึงพยุงเซียวเหิงไปยังกระโจมแพทย์ทหาร ลากแพทย์ทหารขึ้นมาจากในห้วงนิทราเห็นว่าเซียวเหิงหมดสติไป แพทย์ทหารรีบลุกขึ้น มาช่วยอวี๋วั่นซูประคองเซียวเหิงขึ้นเตียง แล้วจึงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น? ท่านแม่ทัพเป็นอะไร?”“สู้กับท่านอ๋องมา” อวี๋วั่นซูเอ่ยพลางช่วยปลดเสื้อของเซียวเหิงออกเห็นแผลใหม่ที่หน้าอกเซียวเหิง แม้ไม่ลึกนัก แต่บางทีอาจไปกระทบกับบาดแผลเดิมเมื่อไม่กี่วันก่อน ทำให้เสื้อด้านในถูกเลือดซึมจนเปียกชุ่มเป็นวงกว้างแพทย์ทหารรีบหยิบยามาห้ามเลือดและพันแผลให้เซียวเหิง แล้วเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรๆ ไม่ถึงกับอันตราย รอเลือดหยุดแล้ว ข้าจะไปต้มยาให้ท่านแม่ทัพดื่ม”ได้ยินดังนั้น อวี๋วั่นซูถอยออกไปยืนข้างๆ ไม่พูดอะไรเพียงจ้องมองการกระทำของแพทย์ทหารแพทย์ทหารทำแผลให้เซียวเหิงเสร็จแล้วก็เดินออกไป “ท่านคอยเฝ้าท่านแม่ทัพไว้ ข้าจะไป
ฉู่จืออี้เงียบ ไม่พูดอะไรเฉียวเนี่ยนมองรองแม่ทัพตู้แวบหนึ่ง ก็ไม่พูดอะไรเหมือนกันในกระโจมจึงเงียบอย่างประหลาด รอจนรองแม่ทัพตู้เอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่าเมื่อครู่แม่ทัพเซียวพูดอะไรกับท่านหรือ? เขาสั่งการโดยพลการ จนทำให้พี่น้องมากมายต้องตาย อย่างนี้เขายังมีเหตุผลใดอีกหรือ?”ฉู่จืออี้แค่นเสียงเย็นออกมา“เขาบอกว่าทัพศัตรูมีแม่ทัพที่ยิ้มให้เขาหนหนึ่ง”ได้ยินคำตอบนี้ ดวงตาของรองแม่ทัพตู้เบิกกว้างทันที “อะไรนะ?! ยิ้ม! ยิ้มหนหนึ่งน่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“อืม” ฉู่จืออี้ตอบอย่างเย็นชา ราวไม่อยากพูดอะไรต่ออีกรองแม่ทัพตู้อึ้งไปพักใหญ่ กว่าจะได้สติ “ก็... ก็เพราะแค่ยิ้มให้เขาหนหนึ่ง เขาก็สั่งการให้ไล่ตามแล้วหรือ? นี่... นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”เฉียวเนี่ยนหยิบผ้าพันแผลมาช่วยฉู่จืออี้พันแผลจนเรียบร้อย ก่อนจะพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ ข้ากับท่านอ๋องก็คงไม่ต้องเดินทางมาไกลเป็นพันลี้จากเมืองหลวง ทั้งที่เราเพิ่งกลับถึงเมืองหลวงได้ไม่กี่วันเอง”น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจได้ยินดังนั้น รองแม่ทัพตู้ก็หัวเราะแห้งๆ “ใช่ ใช่ ท่านหญิงเฉียวพูดถูก... เฮ้อ!
ดังนั้น ทหารกว่าพันแปดร้อยนายจึงมิได้สละชีพไปโดยเปล่าประโยชน์พวกเขาใช้ชีวิตของตนเองชิงเอาผังการป้องกันนี้กลับคืนมา รักษาชีวิตชาวเมืองอู้เอาไว้ทั้งเมืองฉู่จืออี้ถอนหายใจเบาๆ เก็บผังการป้องกันไว้ แล้วจึงมองไปที่เซียวเหิง “แต่ที่เจ้าหุนหันพลันแล่น ก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน”ได้ฟังดังนั้น สีหน้าของเซียวเหิงก็เปลี่ยนไป “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”ฉู่จืออี้ค่อยๆ ลุกขึ้น ดวงตาลึกซึ้งทอดมองไปยังมุมหนึ่งของม่านกระโจม ก่อนจะหันกลับมาทางเซียวเหิง “อ๋องผู้นี้เห็นว่า เจ้าไม่เหมาะสมจะเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาป้อมปราการแห่งเมืองอู้อีกต่อไป ตั้งแต่บัดนี้ อำนาจการบังคับบัญชาทหารในมือเจ้าจะอยู่ในความดูแลของอ๋องผู้นี้”“ฉู่จืออี้!” เซียวเหิงโกรธเกรี้ยว “เจ้าคิดจะแย่งชิงอำนาจของแม่ทัพเช่นข้าหรือ?!”ฉู่จืออี้สีหน้าเย็นชา แค่นหัวเราะเบาๆ “ทำไม? อ๋องผู้นี้จักแย่งชิงไม่ได้หรือ?”เซียวเหิงถูกยั่วยุจนโกรธถึงขีดสุด รีบดึงดาบยาวออกมาฟาดใส่ฉู่จืออี้ทันทีดีที่ฉู่จืออี้เตรียมระวังไว้ก่อนแล้ว จึงหยิบดาบขึ้นมาขวางรับได้ทันภายในกระโจม เสียงอาวุธกระทบกันดังแหลมก้องกังวานด้านนอกมีคนกรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็ว“โอ
อวี๋วั่นซูถอยไปทันที รองแม่ทัพตู้ก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องโปรดทอดพระเนตรเถิดพ่ะย่ะค่ะ เห็นได้ชัดว่าแม่ทัพเซียวเป็นเพราะจมอยู่ในเรื่องรัก จึงหุนหันพลันแล่นและฉุนเฉียว เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะนำทัพเราอีกต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวเหิงถูกองครักษ์พยัคฆ์ขวางไว้ฉู่จืออี้จึงหันไปมองเฉียวเนี่ยนเฉียวเนี่ยนขมวดคิ้ว มองไปทางเซียวเหิงครั้งหนึ่ง ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีหากเป็นหลินเนี่ยนวัยสิบห้าที่ได้ยินคำพูดของอวี๋วั่นซู คงดีใจจนกระโดดโลดเต้นแต่ตอนนี้ นางได้ยินถ้อยคำเหล่านี้แล้วกลับไม่มีความรู้สึกใดๆ เกิดขึ้นเลยฉู่จืออี้จึงละสายตากลับมา ยกมือโบกนิดหนึ่ง “ออกไปให้หมด เซียวเหิงอยู่ก่อน”เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนต่างก็ทำความเคารพแล้วขานรับแม้แต่เฉียวเนี่ยนก็ออกไปด้วยนางไม่อยากอยู่ต่อจริงๆจนกระทั่งทุกคนออกไปหมด ภายในกระโจมก็เหลือเพียงฉู่จืออี้กับเซียวเหิงเห็นสีหน้าโกรธเคืองของเซียวเหิงยังไม่คลาย ฉู่จืออี้จึงเอ่ยเสียงต่ำว่า “นั่ง”น้ำเสียงฟังไม่ออกว่าดีหรือร้ายเซียวเหิงมองฉู่จืออี้ครั้งหนึ่ง จึงนั่งลงดาบในมือถูกเก็บไป เซียวเหิงไม่เอ่ยคำใดเลยแต่ไม่คาดคิดว่าฉู่จืออี้กลับ