กันตารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพลิกคว่ำอย่างรุนแรง สมองของเธอประมวลผลข้อมูลที่ได้รับอย่างบ้าคลั่ง แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งตกตะลึง เสียงหัวใจเต้นรัวดังสะท้อนอยู่ในหู ลมหายใจติดขัดราวกับอากาศรอบตัวถูกดูดหายไป ความหนาวเย็นแล่นขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง มือทั้งสองสั่นระริก
ขาของเธอเหมือนจะอ่อนแรงลงทุกวินาที หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความกลัว ความตกใจ และข้อมูลที่ไหลบ่ามาอย่างท่วมท้นเกินกว่าที่เธอจะรับไหว ภาพเบื้องหน้ากะพริบวูบวาบ ร่างทั้งร่างเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้นเมื่อไม่อาจพยุงตัวเอาไว้ได้อีก
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับเธอ
ต้องย้อนมาอยู่ในยุคที่แร้นแค้น แล้วยัง... แล้วยัง...
กันตาเบิกตาโพลงแทบจะปล่อยโฮออกมา หัวใจราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบแน่น เมื่อคิดได้ว่าตัวเองคือใครในเรื่องนี้
เธอคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก หญิงบ้าเสียสติ
"หลินจื่ออิง"
ชื่อที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบาง ทำให้กันตาอยากจะกลั้นใจตาย เป็นใครไม่เป็น ดันมาเป็นคนบ้า
หลินจื่ออิง... หญิงสาวที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนบ้า ภรรยาของ หลี่เฉิน พระเอกของเรื่อง ผู้เป็นมารดาของเหยียนเหยียน คนที่เธอคิดว่ามีชะตาอาภัพและน่าสงสารที่สุด
หลินจื่ออิง เด็กสาวที่เคยมีครอบครัวอันอบอุ่น กลับต้องเผชิญกับโชคชะตาที่พลิกผันราวกับพายุพัดกระหน่ำ
หลินจื่ออิงเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของบ้านหลินสายรอง เพราะมารดานั้นมีบุตรยาก ครอบครัวของเด็กสาวแยกตัวออกจากบ้านใหญ่มานานแล้ว พ่อและแม่เป็นพนักงานของรัฐ ทำงานอยู่ในเหมืองถ่านหิน แม้ชีวิตจะไม่ได้มั่งคั่ง แต่ก็เรียบง่ายและมีความสุข
แต่แล้ว… โศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้น และได้สร้างรอยแผลขนาดใหญ่เอาไว้ในใจของเด็กสาว
เหมืองถ่านหินเกิดถล่มลงมาโดยที่ไม่มีใครทันได้ตั้งตัว เสียงระเบิดดังสนั่นสะเทือนพื้นดิน ควันฝุ่นลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ และในชั่วพริบตาเดียว หลินจื่ออิงก็สูญเสียทั้งพ่อและแม่ไปพร้อมกัน
เด็กสาววัยสิบสี่ปีที่พึ่งจะเรียนจบชั้นมัธยมต้นในตอนนั้น เคว้งคว้างราวกับกำลังหลงทาง
รัฐจ่ายเงินประกันก้อนใหญ่ให้หลินจื่ออิง เป็นค่าชดเชยสำหรับการสูญเสียที่ไม่อาจทดแทนได้ แต่เงินก้อนนั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่นำหายนะมาสู่ชีวิตของเด็กสาวแทน
คนในบ้านใหญ่ไม่เคยมองหลินจื่ออิงเป็นญาติพี่น้อง พวกเขามองเห็นแค่ 'สมบัติ' ที่พ่อแม่ของเด็กสาวทิ้งไว้
บ้านที่สร้างจากอิฐ ที่ภายในหมู่บ้านนั้นมีอยู่เพียงไม่กี่หลัง ทรัพย์สินทุกอย่าง และเงินประกันทั้งหมด พวกเขาต้องการทุกอย่างโดยไม่สนใจเลยว่าเด็กสาวเหลือตัวคนเดียว อยู่เพียงลำพัง ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีใครปกป้อง
เด็กสาวตัวเล็กๆ ถูกบีบให้ต้องดิ้นรนเพียงลำพัง ท่ามกลางเงื้อมมือของเหล่าญาติที่พร้อมจะแย่งชิงทุกสิ่งไปจากเธอ
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลินจื่ออิงต้องดึงหลี่เฉินเข้ามาในชีวิต
หลี่เฉิน ชายหนุ่มจากเมืองใหญ่ ยุวปัญญาชนวัยสิบแปดปีที่ถูกส่งมายังหมู่บ้าน เขามีรูปร่างที่สูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา มีเสน่ห์น่าดึงดูด บวกกับแววตาที่แฝงความเฉลียวฉลาดและสุขุมเกินวัย เขาเป็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความสามารถ รอบรู้เรื่องต่างๆ เก่งทั้งงานภาคสนามและการบริหารจัดการ จึงเป็นที่ชื่นชอบของหัวหน้าหมู่บ้านจนถูกดึงตัวเข้ามาช่วยงาน
ไม่แปลกที่ชาวบ้านทุกคนจะชื่นชมเขา เด็กสาวในหมู่บ้านต่างพากันเขินอายเพียงแค่ได้สบตาเขา
และหลินจื่ออิงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เด็กสาวตกหลุมรักอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง ตั้งแต่แรกเห็น
ชายหนุ่มที่ทั้งแข็งแกร่งและอบอุ่น เขาเป็นคนที่หลินจื่ออิงคิดว่าจะเป็นที่พึ่งเดียวของเธอในโลกอันโหดร้ายใบนี้
หลินจื่ออิงไม่ใช่คนโง่ เธอรู้ดีว่าหากยังคงอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในที่สุดทุกอย่างที่เป็นของเธอจะต้องถูกพวกบ้านใหญ่ช่วงชิงไปหมด ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ทรัพย์สมบัติ หรือเงินประกันที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้
แต่หากเธอแต่งงาน มีสามี มีครอบครัว บ้านใหญ่ก็จะหมดสิทธิ์เอื้อมมือเข้ามากวาดสิ่งเหล่านั้นไปจากเธอได้
ดังนั้นหลินจื่ออิงจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางที่เลวร้ายที่สุด คือการวางยาปลุกกำหนัดหลี่เฉิน
แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นแผนการที่ต่ำช้า น่ารังเกียจ แต่เธอไม่มีทางเลือก หลินจื่ออิงเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่ไร้ที่พึ่ง หากจะให้ไปขอร้องให้ชายหนุ่มมาแต่งงานด้วย มันคงเป็นเรื่องที่น่าขัน หากไม่ใช้วิธีนี้ หลี่เฉินก็คงไม่มีวันมองหลินจื่ออิงเป็นอย่างอื่น นอกจาก เด็กกำพร้าที่น่าสงสาร
หากเด็กสาวตกเป็นของหลี่เฉิน เขาก็ต้องรับผิดชอบเธอ
บ้านใหญ่ก็จะไม่มีวันแตะต้องหลินจื่ออิงหรือทรัพย์สินของเธอได้อีกต่อไป
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว หลินจื่ออิงจึงเลือกที่จะลงมืออย่างเด็ดขาด และเธอก็ทำมันสำเร็จ เด็กสาวตกเป็นของหลี่เฉินสมใจ ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ หลินจื่ออิงได้ตกแต่งเป็นภรรยาของหลี่เฉินอย่างถูกต้อง
หลินจื่ออิงได้ทุกอย่างที่เธอต้องการ...
แต่กลับไม่เคยได้รับสิ่งที่เธอหวัง คือความรักจากหลี่เฉิน
หลี่เฉินแต่งงานกับเธอ แต่เขาไม่เคยมองเธอในฐานะภรรยา
เขาเย็นชา เหินห่าง และไม่เคยพูดกับภรรยาเกินกว่าความจำเป็น เขาไม่เคยแตะต้องหลินจื่ออิงอีกหลังจากคืนนั้น ราวกับว่าการที่เธออยู่ในชีวิตของเขาคือบทลงโทษที่เขาต้องทนแบกรับ
ทุกครั้งที่หลินจื่ออิงพยายามเข้าใกล้ สายตาของหลี่เฉินก็เต็มไปด้วยความเย็นชา
หลินจื่ออิงไม่ใช่ภรรยาที่เขาเลือก
เธอเป็นเพียงผู้หญิงเจ้าเล่ห์ที่ขโมยตำแหน่งนั้นมาด้วยแผนสกปรก
ความเงียบงันภายในบ้านหลังเล็กช่างอึดอัดราวกับถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น หลินจื่ออิงต้องทนใช้ชีวิตอยู่กับสามีที่ไม่เคยแม้แต่จะหันมามองเธออย่างแท้จริง
คืนแล้วคืนเล่า หลินจื่ออิงนั่งมองเงาของสามีใต้แสงจันทร์
วันแล้ววันเล่า หลินจื่ออิงเฝ้ารอให้เขาใจอ่อน ยอมให้อภัยเธอ
แต่วันเวลาผ่านไป สายตาของหลี่เฉินที่มองเธอยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชาเหมือนเดิม
และในที่สุด หลินจื่ออิงก็เริ่มรู้สึกว่า บางที... บางทีเธออาจไม่มีวันเอาชนะใจของหลี่เฉินได้เลย
หลินจื่ออิงคิดว่าคงไม่มีทางใดที่จะผูกมัดหลี่เฉินไว้กับเธอได้ แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปในวันที่เธอรู้ตัวว่าตั้งครรภ์
ชีวิตเล็กๆ ที่เติบโตอยู่ภายในตัวหลินจื่ออิง กลายเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงหัวใจของเธอ
ความหวังที่เคยดับมอดลงค่อยๆ ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อหลินจื่ออิงบอกข่าวนี้กับหลี่เฉิน ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง ราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน หลี่เฉินไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ทำเพียงแค่จ้องมองหลินจื่ออิงอยู่นาน และเธอไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร หรือกำลังคิดอะไรอยู่
แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมก็คือ ตั้งแต่วันนั้น หลี่เฉินเริ่มดูแลหลินจื่ออิงอย่างดีและใส่ใจเธอมากขึ้น ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้หลินจื่ออิงทำงานหนัก หมั่นเตรียมอาหารที่มีประโยชน์ให้ รับฟังคำแนะนำจากหมอเกี่ยวกับสุขภาพของภรรยา และแม้กระทั่งเดินไปหาสมุนไพรมาให้ในวันที่ภรรยาแพ้ท้องหนัก
หลี่เฉินทำหน้าที่ของ "พ่อ" ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หลินจื่ออิงรู้ดีว่าทุกสิ่งที่หลี่เฉินทำไม่ได้มาจากความรักที่มีต่อเธอ แต่มันเป็นเพราะลูกของเขาที่อยู่ในท้องของเธอ
แม้จะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ แต่หลินจื่ออิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี
เธอไม่สนว่าเขาจะรักเธอหรือไม่ เธอไม่สนว่าเขาจะยังคงมองเธอด้วยสายตาเย็นชา
ตราบใดที่เขายังคงดูแลเธอและลูก ตราบใดที่พวกเขายังคงเป็น "ครอบครัว"
หญิงสาวก็พร้อมจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป...
ฤดูใบไม้ผลิวนเวียนกลับมาอีกครั้ง ต้นไผ่ข้างบ้านผลิหน่อใหม่สูงเรียงราย ลู่ลมเบาๆ เหมือนกำลังเต้นรำตามเสียงหัวเราะของเด็กน้อยที่วิ่งเล่นอยู่หน้าบ้านเหยียนเหยียนโตขึ้นมากแล้ว วันนี้เธอสวมชุดนักเรียนชั้นประถมหนึ่ง ใบหน้าที่เคยกลมป้อมตอนเล็กๆ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสาวน้อยท่าทางฉลาด ช่างคิด ช่างฝันและข้างกายเธอ คือเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งหัดเดิน เด็กชายตัวกลมอารมณ์ดีที่กำลังยิ้มแฉ่ง ส่งเสียงอ้อแอ้อยู่ในอ้อมแขนของมารดาหลี่ซื่อหาน เด็กชายวัยขวบกว่า ผู้เป็นที่รักของทุกคน เจ้าซาลาเปาน้อยของบ้าน หรือเสี่ยวหานหาน ของพี่สาวเหยียนเหยียนภาพของทั้งสองพี่น้องที่อยู่เคียงกันท่ามกลางแสงแดดอ่อนของยามบ่าย ราวกับภาพวาดแสนอบอุ่นที่ไม่มีคำบรรยายใดจะเทียบได้จื่ออิงเข้าสู่บทบาทภรรยาและคุณแม่อย่างเต็มตัว เธอกลายเป็นหัวใจหลักของบ้าน เป็นคนที่ดูแลทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ภายในบ้าน ตอนเช้า เธอจะลุกขึ้นก่อนใคร เตรียมอาหารเช้าให้สามีและลูกๆ พร้อมเสียงปลุกอ่อนโยนที่ทำให้บ้านทั้งหลังเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใสช่วงกลางวัน เธอมักใช้เวลาอยู่กับเจ้าตัวเล็ก เสี่ยวหานหาน ที่กำลังอยู่ในวัยซน ชอบยิ้ม ชอบหัวเราะ และชอบเกาะเธอไม่ห่
วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีตามปฏิทินจันทรคติ หอร้อยรส ปิดให้บริการเป็นเวลาสามวัน เพื่อให้ทุกคนได้เฉลิมฉลองและใช้เวลาร่วมกับครอบครัว จื่ออิงยืนอยู่หน้าบ้าน มือประคองถ้วยน้ำเต้าหู้อุ่นๆ เอาไว้ ใบหน้าของเธอรับแสงแดดยามเย็นที่นุ่มนวล ลมหนาวต้นปีพัดแผ่วเบาผ่านปลายผม พาเอากลิ่นหอมของขนมปีใหม่ลอยโชยมาแตะจมูก ปีนี้ นับว่าเป็นปีใหม่ปีแรกที่เธอได้ฉลองกับครอบครัวของตัวเองในชีวิตนี้บ้านเรือนทั่วหมู่บ้านต่างตกแต่งด้วยสีแดงสดใส โคมแดงถูกแขวนเรียงรายไหวแกว่งตามแรงลม ผ้าสีแดงผืนยาวห้อยประดับอยู่เหนือประตู ข้างฝาผนังมีคำอวยพรปีใหม่เขียนด้วยพู่กันจีนสีดำอย่างประณีตบนกระดาษแดงสดคำว่า "ซินเหนียนไคว่เล่อ" และ "เจ้าไฉจิ้นเป้า" แขวนไว้เป็นสิริมงคล สื่อถึงความหวังและความมั่งมีในปีที่กำลังเริ่มต้นกลิ่นธูปหอมจากโต๊ะบูชาประจำบ้านและกลิ่นขนมหวานแบบดั้งเดิมลอยคลุ้งในอากาศ เสียงประทัดดังเปรี้ยงปร้างเป็นระยะ สร้างความคึกคักไปทั่วทั้งหมู่บ้าน แทรกด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นอยู่ตามท้องถนน พวกเขาวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน มือเล็กๆ ถือซองแดงคนละใบ ดวงตาเป็นประกายด้วยความสุขและตื่นเต้นบรรยากาศในวันนี้อบอวลไปด
เช้าวันถัดมา ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆหมอก ลมยามเช้าเย็นสบายพัดเอื่อยเข้ามาในลานหน้าร้าน กลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้จากกระถางริมทางลอยปะปนมากับสายลม เสียงใบไม้เสียดสีกันแผ่วเบา ช่วยกลบความเงียบที่ก่อตัวขึ้นเมื่อมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่เจียงซินหยาแต่งกายงดงามอย่างที่เคยเป็นยืนอยู่ใต้เงาไม้ ใบหน้าแต่งแต้มอย่างประณีต ท่าทางน่ารักสดใสสมกับภาพลักษณ์ของเธอเสมอมา ใบหน้าดูบริสุทธิ์ผ่องใส แต่แววตากลับซ่อนความหวังเอาไว้อย่างชัดเจน เธอยืนรออยู่เพียงไม่กี่อึดใจ หลี่เฉินก็เดินออกมาจากด้านในร้านชายหนุ่มหยุดยืนตรงหน้าเธอ สีหน้าสงบ ดวงตาแน่วแน่"ซินหยา"หลี่เฉินเอ่ยเรียกขึ้นก่อน น้ำเสียงราบเรียบแต่ชัดเจน"ฉันมาเอาคำตอบจากพี่ค่ะ"เจียงซินหยาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม ดวงตาจับจ้องอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาไม่วางตา"พี่จะเข้าสอบเกาเข่าใช่ไหมคะ ตอนนี้ยังทัน ถ้าพี่รีบตัดสินใจ"เสียงของเธอนุ่มนวล ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยความคาดหวังที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนหลี่เฉินเงียบไปเพียงครู่หนึ่ง สายตาเขานิ่งสงบก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ"ฉันตัดสินใจแล้ว"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่มั่นคง"ฉันจะไม่เข้าสอบ"เจียงซินหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย ความประหลาดใจแฝงอย
นับจากวันนั้น จื่ออิงก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องสอบเกาเข่าอีกเลย เธอเลือกที่จะเงียบ ไม่ใช่เพราะไม่สนใจ แต่เพราะอยากให้หลี่เฉินได้คิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยไม่มีแรงกดดันจากเธอแม้ในใจจะมีความห่วงใยอยู่ลึกๆ แต่เธอก็ซ่อนมันไว้ เธอเชื่อว่า การให้เขาได้ใช้หัวใจตัวเองเลือกทางเดิน คือสิ่งที่ดีที่สุดจื่ออิงยังคงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ตื่นแต่เช้า เตรียมอาหารให้ลูกและสามี ดูแลร้าน ดูแลบ้าน ทำหน้าที่ของภรรยา แม่ และเจ้าของกิจการเล็กๆ อย่างดีที่สุดแต่หากมองให้ลึกลงไปในแววตาของเธอ จะเห็นความอ่อนโยนแบบใหม่ ความอ่อนโยนที่มาจากการยอมรับ และพร้อมจะเคียงข้างสามี ไม่ว่าเขาจะเลือกทางไหนก็ตามยามเย็นวันหนึ่ง หลังจากวันอันแสนวุ่นวายและเหนื่อยล้าจบลง แสงสุดท้ายของวันทอดยาวผ่านช่องหน้าต่าง เงาของต้นไผ่ข้างหลังบ้านไหวไกวตามลมหลี่เฉินยืนอยู่หลังบ้านเพียงลำพัง มองภาพท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีทองอมส้ม ดวงตาของเขานิ่งสงบ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยเสียงของความคิดมากมายที่กำลังประดังประเดเข้ามาการสอบเกาเข่ากำลังใกล้เข้ามาทุกทีเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในใจเขาตลอดหลายวันมานี้ เขาเคยฝันอยากจะเป็นอาจารย์ อยากเรียนต่อ อยากรู้ว่า
แสงแดดยามเช้าค่อยๆ สาดเข้ามาทางหน้าต่าง ลูบไล้ผ่านผ้าม่านบางเบา บนเตียง ผ้าปูเตียงยับย่นจากรอยสัมผัสแห่งความวาบหวามเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา หลี่เฉินลืมตาขึ้นช้าๆ แขนยังโอบภรรยาคนงามเอาไว้แนบอก ร่างเล็กของจื่ออิงซุกตัวอย่างสงบอยู่ในอ้อมกอดของเขา ชายหนุ่มมองดูใบหน้าของภรรยาที่ยังซุกอยู่ตรงอกด้วยแววตาอ่อนโยน พลางยิ้มจางๆ ออกมาอย่างมีความสุขนิ้วมือของเขาเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าผากของภรรยา ก่อนจะก้มลงหอมขมับเธออย่างแผ่วเบา ราวกับไม่อยากให้เธอตื่นจากความสงบสุขนี้จื่ออิงขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดวงตายังคงฉ่ำปรือจากความง่วง ทว่าก็เปล่งประกายอ่อนหวานเมื่อมองเห็นใบหน้าของเขา"ตื่นแล้วเหรอครับ" หลี่เฉินกระซิบถาม น้ำเสียงทุ้มนุ่มเปี่ยมด้วยความอบอุ่นจื่ออิงยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าเบาๆ เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขา ในแววตาของหลี่เฉินเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ลึกซึ้งจนหัวใจเธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบกอดอย่างอ่อนโยนที่สุด"สามีคะ"เธอเรียกเขาเสียงเบาเสียงของเธอเบาและนุ่ม ราวกับกลัวว่าคำพูดจะทำลายความสงบที่รายล้อมอยู่"หืม?" หลี่เฉินขานรับพลางโอบกอดเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย"ขอบคุณนะคะ"เธอพูดแค่น
ค่ำคืนนั้นบรรยากาศในบ้านหลังเล็กเงียบกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีบทสนทนาเหมือนเคย ต่างคนต่างจมอยู่ในห้วงของความคิดของตัวเอง เต็มไปด้วยความคิดมากมายที่พูดออกมาไม่ได้มีเพียงเสียงหัวเราะของเหยียนเหยียน เมื่อได้ฟังนิทานก่อนนอนดังแว่วมาเป็นระยะจากในห้องนอน เสียงใสๆ นั้นช่วยแต่งแต้มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นขึ้นนิดหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เงียบลงเมื่อเด็กน้อยเข้าสู่นิทราเมื่อส่งบุตรสาวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว จื่ออิงก็ระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่อาจระบายออก ได้แต่เดินมานั่งตรงโต๊ะทำงานเล็กๆ หยิบบัญชีของร้านที่ทำค้างเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้ง ตัวเลขในตารางเดิมๆ ยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ไม่อาจจดจ่ออยู่กับมันได้ใจของเธอล่องลอยไปไกล ไปอยู่กับความกังวลที่กำลังถาโถม กับเรื่องที่ไม่มีใครช่วยตอบได้ นอกจากตัวเธอเองหลี่เฉินที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำในชุดอยู่บ้านแบบสบายๆ กลิ่นสบู่อ่อนๆ ยังติดอยู่บนผิว เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กค่อยๆ ซับเส้นผมที่ยังเปียกน้ำ แต่พอเห็นภรรยานั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เขาก็หยุดเท้าเอาไว้ยืนมอ