เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งหลินจื่ออิงคลอดลูกสาวตัวอวบอ้วนออกมา ลูกสาวตัวน้อยของพวกเขา หลี่ซูเหยียน
เหยียนเหยียนน้อย ลืมตาดูโลกพร้อมกับเสียงร้องไห้แผ่วเบา แต่กลับเติมเต็มหัวใจของหลี่เฉินจนเต็มเปี่ยม
ชายหนุ่มที่เคยเย็นชา รอยยิ้มที่หายไปจากใบหน้าหวนกลับมาอีกครั้ง
หลินจื่ออิงเห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ แม้ว่าเธอจะเหนื่อยล้าจากการคลอดลูก ร่างกายของหลินจื่ออิงอ่อนแอเพราะมีลูกในตอนที่อายุยังน้อย แต่หัวใจของเธอกลับรู้สึกอบอุ่น และถึงแม้ว่าหลินจื่ออิงจะคลอดลูกแล้ว หลี่เฉินก็ยังดูแลเธออย่างดี
แต่ความสุขก็มักจะอยู่ไม่นาน
วันเวลาผ่านไปจนเหยียนเหยียนน้อยอายุครบหนึ่งเดือนเต็ม หลินจื่ออิงเตรียมจัดพิธีเล็กๆ ฉลองให้ลูกสาวตามธรรมเนียม แต่แล้ว... ข่าวใหญ่ก็ดังไปทั่วหมู่บ้าน
รัฐบาลประกาศให้มีการสอบเกาเข่าอีกครั้ง หลังจากที่ถูกระงับไปหลายปี ตอนนี้เหล่ายุวปัญญาชนที่ถูกส่งมาก็ได้รับโอกาสให้กลับไปสอบ และหากสอบผ่านก็จะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
ข่าวนี้เป็นที่ฮือฮาของเหล่ายุวปัญญาชนและคนในหมู่บ้าน พวกเขาต่างก็พูดคุยถึงข่าวใหญ่นี้ ทำให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้คนต่างถกเถียงกันด้วยความตื่นเต้น
'ยุวปัญญาชนที่ถูกส่งมา จะได้กลับคืนสู่เมืองใหญ่แล้ว'
'ส่วนคนที่เรียนจบชั้นมัธยมปลายก็จะมีโอกาสได้สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัย'
'การได้กลับไปเรียนต่อ มันคือโอกาสที่พวกเรารอมานาน'
'ถ้าสอบผ่าน พวกเราจะได้กลับไปใช้ชีวิตในเมือง ไม่ต้องทนลำบากในชนบทอีกต่อไป'
หลินจื่ออิงได้ฟังคำพูดเหล่านั้นแล้วหัวใจก็คล้ายถูกบีบแน่น คำพูดเหล่านี้สะท้อนอยู่ในหัวของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลี่เฉินจะไปไหม
เขาจะทิ้งเธอกับลูกไปหรือเปล่า
คำถามเหล่านั้นวุ่นวายอยู่ในหัว
เพราะตั้งแต่ที่หลี่เฉินมาอยู่ในชนบทแห่งนี้จนกระทั่งแต่งงาน เขาไม่เคยปริปากบ่นถึงความลำบากเลยสักครั้ง แต่หลินจื่ออิงรู้ดีว่าลึกๆ แล้วเขาโหยหาการกลับไปสู่เมืองใหญ่ เธอมักจะเห็นอีกฝ่ายใช้เวลาว่างขลุกอยู่กับหนังสือ คอยอ่านตำราต่างๆ ที่พอจะหาได้ในหมู่บ้าน
เธอรู้ดีว่าหลี่เฉินเป็นคนมีความสามารถ เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอยู่ในชนบทแห่งนี้ตลอดไป การสอบเกาเข่าเป็นเส้นทางเดียวที่จะพาเขากลับไปยังเมืองใหญ่ และตอนนี้เส้นทางนั้นเปิดกว้างอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว หลี่เฉินเฝ้าคอยเวลานี้มานาน เมื่อโอกาสมาถึงเขาจะไม่รีบคว้ามันไว้หรอกหรือ
หากว่าหลี่เฉินต้องการเข้าสอบจริงๆ
แล้วเธอกับลูกล่ะ
เธอจะถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลังหรือเปล่า
ยิ่งคิดใจของจื่ออิงก็ยิ่งร้อนรน หัวใจของเธอสั่นไหวอย่างรุนแรง เธอคิดมาตลอดว่าถ้าหากเธอมีลูกจะสามารถรั้งเขาเอาไว้ได้ แต่ความหวังเหล่านั้นกำลังสั่นคลอนอย่างหนัก
ยิ่งมีข่าวลือออกมามากมายว่าเหล่ายุวปัญญาชนที่แต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่ชนบท พวกเขาต่างหย่าสามี หย่าภรรยา บางคนนั้นหนีไป เพื่อต้องการเข้าสอบในครั้งนี้
หลินจื่ออิงเริ่มคิดมากขึ้นทุกวัน ยิ่งได้ยินคำพูดของคนในหมู่บ้าน ก็ยิ่งทำให้เธอหวาดกลัว
'พวกยุวปัญญาชนพวกนั้นไม่มีทางอยู่ที่นี่ตลอดไปหรอก'
'รอให้พวกเขามีโอกาสสิ พวกเขาต้องหนีกลับเมืองแน่ๆ'
'การที่คนคนหนึ่งหลุดพ้นไปจากความยากลำบากแล้ว อนาคตที่สดใสกำลังรอพวกเขาอยู่ข้างหน้า แล้วจะให้เชื่อจริงๆ หรือ ว่าจะมีใครย้อนกลับมาจริงๆ'
คำพูดเหล่านั้นซ้ำเติมจิตใจของหลินจื่ออิงที่อ่อนแอจากการคลอดบุตรอยู่แล้วให้ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก
แล้วเธอล่ะ เธอก็แค่ผู้หญิงที่ใช้แผนสกปรกจับเขาได้เท่านั้น จะเอาอะไรไปรั้งเขาเอาไว้
และในที่สุด สิ่งที่หลินจื่ออิงหวาดกลัวก็เกิดขึ้น หลี่เฉินต้องการที่จะเข้าสอบเกาเข่าจริงๆ เพราะเขาเห็นว่ามันเป็นโอกาสที่จะทำให้ครอบครัวมีอนาคตที่ดีขึ้น เขาไม่อยากให้ลูกต้องใช้ชีวิตอยู่ในชนบท และเขาก็ไม่เคยคิดที่จะทอดทิ้งเธอกับลูก
แต่หลินจื่ออิงไม่คิดจะรับฟังเหตุผลใดๆ ไม่คิดที่จะรับฟังหรือเชื่อมั่นในคำพูดของหลี่เฉินเลยแม้แต่นิดเดียว เธอไม่ยินยอมให้เขาไป
หลินจื่ออิงจึงขู่ฆ่าตัวตายหากหลี่เฉินไปสอบ แต่หลี่เฉินยังคงยืนยันในความต้องการของตัวเองเพราะเขาไม่คิดว่าหลินจื่ออิงจะกล้าทำจริงๆ
จิตใจของหลินจื่ออิงบอบช้ำจากหลายเรื่อง เธอหวาดกลัวการสูญเสีย หวาดกลัวการถูกทอดทิ้ง คำยืนยันที่จะไปของสามีทำให้หัวใจของเธอแหลกสลาย และโดยที่ไม่คาดคิด หลินจื่ออิงกระโดดลงไปในแม่น้ำยามปลายฤดูหนาวที่เย็นเฉียบ แม้จะถูกช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่หลินจื่ออิงกลับไม่เหมือนเดิม
สายตาของเธอว่างเปล่า เธอไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้ตะโกน ไม่ได้กล่าวโทษหลี่เฉินอีกต่อไป ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความรู้สึก บัดนี้กลับเลื่อนลอยและว่างเปล่าราวกับไร้จิตวิญญาณ
เธอ... กลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว
เมื่อแม่ของลูกกลายเป็นคนเสียสติ เรื่องการเข้าสอบเกาเข่าของหลี่เฉินจึงหยุดชะงัก เพราะเขาต้องดูแลบุตรสาวที่ยังแบเบาะและภรรยาที่ล้มป่วย ด้วยความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นในใจ เขาโทษว่าเป็นความผิดของเขาที่ดึงดันจนทำให้คนเป็นภรรยาต้องกลายเป็นแบบนี้
หลินจื่ออิงที่กลายเป็นคนเสียสติ เธอขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกมาพบเจอผู้คน ไม่พบเจอแม้กระทั่งคนเป็นสามีและบุตรสาว จะยอมออกมาจากห้องก็ตอนที่ไม่มีใครอยู่ในบ้าน แม้ว่าหลี่เฉินจะพยายามเข้าหาเธอมากเพียงใด แต่ทุกครั้งที่ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปและเข้าใกล้เธอ หญิงสาวก็จะกรีดร้องออกมาและทำร้ายตัวเองจนบาดเจ็บ หลี่เฉินจึงทำได้เพียงยอมถอยออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ
เป็นเช่นนั้นอยู่สามปีเต็ม แต่แล้วเช้าวันหนึ่งก็มีเสียงหญิงสาวผู้หนึ่งดังลอดเข้ามาในบ้าน หลินจื่ออิงที่ซุกตัวอยู่ข้างหน้าต่างเงยหน้าขึ้น แอบมองผ่านทางช่องหน้าต่าง ดวงตาที่เคยไร้แววพลันสะท้อนภาพบุคคลสามคน
หลี่เฉิน
เหยียนเหยียน
และหญิงสาวแปลกหน้า
จื่ออิงมองพวกเขา หญิงสาวปริศนาอุ้มบุตรสาวของเธอเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานของสามีเธอ
จักรยานคันนั้นเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ หญิงสาวจ้องมองภาพตรงหน้านิ่ง สายตาทอดยาวไล่หลังพวกเขาไปจนลับสายตา
ริมฝีปากแห้งผากค่อยๆ คลี่ยิ้ม ในขณะที่ใบหน้าเปื้อนหยาดน้ำตา ซึ่งเป็นรอยยิ้มแรกในรอบสามปี และเป็นรอยยิ้มสุดท้ายของชีวิต
คงถึงเวลาที่เธอจะต้องชดใช้และคืนชีวิตให้หลี่เฉินเสียที
นั่นคือความคิดในตอนนั้นของหลินจื่ออิง เย็นวันนั้นร่างของ หลินจื่ออิง จึงถูกพบว่าแขวนคอตายอยู่กลางห้อง
และนั่นคือเรื่องราวของตัวละครนามว่า หลินจื่ออิง ตัวประกอบผู้แสนอาภัพและหญิงสาวผู้เสียสละ
"โครก~"เสียงท้องร้องดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของคนที่จะเป็นคนใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ก่อนที่ หลินจื่ออิง คนนี้ จะลงมือเปลี่ยนแปลงเรื่องราวทั้งหมด ความหิวโหย กลับเป็นสิ่งที่เร่งเร้าให้เธอต้องลงมือทำอะไรเกี่ยวกับปากท้องเสียก่อนจื่ออิงยกมือกดหน้าท้องแบนราบเบาๆ พลางถอนหายใจ คำกล่าวที่ว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ดูจะเป็นความจริงที่เถียงไม่ออก เพราะต่อให้เธอจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าปวดหัวเพียงใด แต่ร่างกายกลับเรียกร้องสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งในเวลานี้ก็คืออาหาร อย่างน้อยเธอก็ควรหาอะไรใส่ท้องเสียก่อน สมองของเธอจะได้ปลอดโปร่ง พอท้องอิ่มเธอจะได้คิดลงมือทำสิ่งอื่นต่อ เพราะตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาในร่างนี้ เธอยังไม่ได้แตะต้องอาหารเลยสักนิดหวังว่าคงจะพอมีอาหารหลงเหลือให้เธอประทังความหิวได้บ้างจื่ออิงไม่ลืมที่จะคว้าแอปเปิ้ลลูกนั้นขึ้นมากัดกินอย่างหิวโหย ในขณะที่เดินไปยังห้องครัวซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังของตัวบ้าน เมื่อมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู เธอกลับรู้สึกลังเลขึ้นมาอย่างประหลาด เธอไม่รู้เลยว่าข้างในนั้นจะมีอะไรให้กินบ้างไหม ตอนเดินสำรวจก็เพียงกวาดตามองผ่านๆ เพราะไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความทรงจำเกี่ยวกับร่าง
กันตารู้สึกเหมือนเลือดในกายเย็นเฉียบ ที่ตัวเองมาอยู่ในร่างของตัวประกอบไร้ค่าผู้น่าสงสาร เป็นเพียงตัวประกอบตัวหนึ่งที่ถูกนักเขียนทรมาทรกรรมต่างๆ นานา แล้วกำจัดทิ้งอย่างเลือดเย็น เพื่อเป็นการเปิดทางให้พระเอกกับนางเอกได้สานสัมพันธ์กันสวรรค์ องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ พวกท่านกำลังเล่นตลกอะไรกันชีวิตก่อน เธอเลือกเป็นฝ่ายหลีกทางให้คนรักได้ครองคู่กับหญิงอื่น เพื่อให้เขามีความสุขกับชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ทั้งที่ตัวเธอเองเจ็บปวดใจเจียนตาย พอได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง สวรรค์กลับให้เธอมาเกิดใหม่ในร่างของคนบ้า ไม่พอ ยังจะให้เธอเป็นผู้เสียสละ ยอมตาย เพื่อให้ผู้อื่นครองคู่กันอีกไม่มีทางเธอขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่า เธอไม่มีวันแขวนคอตัวเองเหมือนในนิยายเด็ดขาด ส่วนใครจะรักกับใครยังไงก็เชิญ ขอแค่อย่าเอาชีวิตของเธอไปข้องเกี่ยวด้วยก็พอ เธอยินดีหลีกทางให้ชีวิตก่อนนั้นเธอยอมหลีกทางให้อดีตคนรักได้สุขสมหวังก็จริง แต่เธอไม่ได้อยากตาย เธอยังต้องการมีความสุขในฐานะสาวโสด แต่กลับต้องตายเพราะอุบัติเหตุส่วนในชีวิตนี้เธอก็ไม่คิดอยากตายเช่นกัน เธอมีบุตรสาวที่น่ารักน่าชังอย่างเหยียนเหยียน จะให้เสียสละตัวเองเพื่อให้ค
เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งหลินจื่ออิงคลอดลูกสาวตัวอวบอ้วนออกมา ลูกสาวตัวน้อยของพวกเขา หลี่ซูเหยียนเหยียนเหยียนน้อย ลืมตาดูโลกพร้อมกับเสียงร้องไห้แผ่วเบา แต่กลับเติมเต็มหัวใจของหลี่เฉินจนเต็มเปี่ยมชายหนุ่มที่เคยเย็นชา รอยยิ้มที่หายไปจากใบหน้าหวนกลับมาอีกครั้งหลินจื่ออิงเห็นแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้ แม้ว่าเธอจะเหนื่อยล้าจากการคลอดลูก ร่างกายของหลินจื่ออิงอ่อนแอเพราะมีลูกในตอนที่อายุยังน้อย แต่หัวใจของเธอกลับรู้สึกอบอุ่น และถึงแม้ว่าหลินจื่ออิงจะคลอดลูกแล้ว หลี่เฉินก็ยังดูแลเธออย่างดีแต่ความสุขก็มักจะอยู่ไม่นานวันเวลาผ่านไปจนเหยียนเหยียนน้อยอายุครบหนึ่งเดือนเต็ม หลินจื่ออิงเตรียมจัดพิธีเล็กๆ ฉลองให้ลูกสาวตามธรรมเนียม แต่แล้ว... ข่าวใหญ่ก็ดังไปทั่วหมู่บ้านรัฐบาลประกาศให้มีการสอบเกาเข่าอีกครั้ง หลังจากที่ถูกระงับไปหลายปี ตอนนี้เหล่ายุวปัญญาชนที่ถูกส่งมาก็ได้รับโอกาสให้กลับไปสอบ และหากสอบผ่านก็จะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยข่าวนี้เป็นที่ฮือฮาของเหล่ายุวปัญญาชนและคนในหมู่บ้าน พวกเขาต่างก็พูดคุยถึงข่าวใหญ่นี้ ทำให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความคึกคัก ผู้คนต่างถกเถียงกันด้วยความตื่น
กันตารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพลิกคว่ำอย่างรุนแรง สมองของเธอประมวลผลข้อมูลที่ได้รับอย่างบ้าคลั่ง แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งตกตะลึง เสียงหัวใจเต้นรัวดังสะท้อนอยู่ในหู ลมหายใจติดขัดราวกับอากาศรอบตัวถูกดูดหายไป ความหนาวเย็นแล่นขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง มือทั้งสองสั่นระริกขาของเธอเหมือนจะอ่อนแรงลงทุกวินาที หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความกลัว ความตกใจ และข้อมูลที่ไหลบ่ามาอย่างท่วมท้นเกินกว่าที่เธอจะรับไหว ภาพเบื้องหน้ากะพริบวูบวาบ ร่างทั้งร่างเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้นเมื่อไม่อาจพยุงตัวเอาไว้ได้อีกนี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับเธอต้องย้อนมาอยู่ในยุคที่แร้นแค้น แล้วยัง... แล้วยัง...กันตาเบิกตาโพลงแทบจะปล่อยโฮออกมา หัวใจราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบแน่น เมื่อคิดได้ว่าตัวเองคือใครในเรื่องนี้เธอคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก หญิงบ้าเสียสติ "หลินจื่ออิง"ชื่อที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบาง ทำให้กันตาอยากจะกลั้นใจตาย เป็นใครไม่เป็น ดันมาเป็นคนบ้าหลินจื่ออิง... หญิงสาวที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนบ้า ภรรยาของ หลี่เฉิน พระเอกของเรื่อง ผู้เป็นมารดาของเหยียนเหยียน คนที่เธอคิดว่ามีชะตาอาภัพและน่าสงสารที่สุด หล
กันตาแนบใบหูเข้ากับบานประตูที่ปิดสนิท พร้อมกับหัวใจที่เต้นตึกตักราวกับจะทะลุออกมานอกอก ผิวของบานประตูเย็นเฉียบและหยาบกระด้าง แต่เธอกลับไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นเลยในเวลานี้ สิ่งเดียวที่เธอจดจ่อคือเสียงที่ดังขึ้นจากอีกฟากของประตูเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินไปมาอยู่ไม่ไกล ราวกับใครบางคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าห้อง จากนั้นเสียงเรียกของผู้ชายคนเดิมที่ดังขึ้นก่อนหน้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง "เหยียนเหยียนเร็วเข้า พ่อต้องรีบไปแล้ว พี่สาวเจียงกำลังรอเราอยู่นะ"เสียงของผู้ชายคนนั้นฟังดูเร่งรีบแต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน กันตานิ่งฟังอย่างสงบ เธอไม่ได้ยินเสียงขานรับจากคนที่ถูกเรียกว่า เหยียนเหยียน แต่ยังคงได้ยินเสียงกุกกักดังอยู่หน้าห้องเสียงของคนด้านนอกเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำนุ่มนวลของชายคนนั้นจะดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเอื้ออาทร"เด็กดี แม่ของลูกไม่สบาย ลูกไปอยู่กับพี่สาวเจียง ไปวิ่งเล่นกับถังถังดีกว่านะ มาเถอะ พ่อจะพาไปส่ง"ยังคงไม่มีคำตอบรับจาก เหยียนเหยียน เช่นเดิม แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ขยับออกไปจากหน้าห้อง เสียงนั้นดังห่างออกไปจากบริเวณหน้าประตูเรื่อยๆ นั่นจึง
"โอ๊ย...ปวดหัวชะมัด"กันตายกมือขึ้นกุมหัวที่หนักอึ้งทันทีที่รู้สึกตัว ลมหายใจแรกหลังจากฟื้นคืนสติเป็นไปอย่างติดขัดเหมือนโดนไข้หวัดเล่นงาน ร่างกายหนักอึ้งราวกับถูกพันธนาการด้วยความมึนงง เมื่อสติเริ่มกลับคืนมา เปลือกตาของเธอกะพริบถี่ๆ อย่างสับสน นี่เธอยังไม่ตายหรอกหรือเธอจำได้ว่าเมื่อคืนนี้เธอเมามาก ภาพเหตุการณ์สุดท้ายที่จำได้คือเธอถูกรถชนเข้าอย่างจังจนร่างกระเด็น แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดตามเนื้อตัวเลยล่ะกันตาหรี่ตาลง มือของเธอค่อยๆ ขยับลูบไล้ไปตามเนื้อตัว ที่ไม่มีแม้แต่ร่องรอยฟกช้ำดำเขียวทั้งที่เธอควรจะเจ็บหนัก แต่ที่น่าตกใจเสียยิ่งกว่าคือผิวพรรณหยาบกระด้างและเสื้อผ้าสีหม่นที่สวมอยู่บนร่าง สิ่งที่เห็นทำให้นิ้วมือของเธอสั่นระริก เกิดอาการงุนงงและความไม่แน่ใจขึ้นมา หัวคิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน เผยให้เห็นความสับสนที่ตีตื้นขึ้นมาในห้วงความคิด พยายามระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า นอกจากภาพตอนถูกรถชนเธอก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย หัวใจของกันตาเต้นแรงขึ้น ความรู้สึกไม่มั่นคงแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เธอรู้ตัวดีว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นอะไรหญิงสาวเริ