"น่าเกลียด"
ร่างสูงยกขานั่งไขว่ห้าง เอนตัวนั่งพิงพนักเก้าอี้ จ้องมองไปยังชุดที่สวมใส่อยู่บนหุ่นลองชุด ทุกคนในห้องต่างก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเองตัวสั่นเพราะความกลัว
"สะ สีนี้ตรงตามที่พระองค์เลือกเลยนะครับ" ชายผู้เป็นเจ้าของห้องเสื้อพูดด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ ชายตรงหน้าปาดสายตามองไปที่เขา
"ไม่ได้บอกว่าสีน่าเกลียด บอกเรื่องการออกแบบและตัดเย็บต่างหาก"
"..." ทั้งห้องเข้าสู่ความเงียบ ไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว
"ออกไปได้แล้ว เอาผ้าขี้ริ้วบนหุ่นนั้นออกไปด้วย"
"คะ ครับ ครับ!" เจ้าของห้องเสื้อและคนของเขาต่างรีบเก็บของทุกอย่างออกจากห้องไปด้วยเวลาที่รวดเร็ว
"อีกแล้วเหรอ" เสียงของหญิงสาววัยกลางคนที่คุ้นเคยดังมาจากทางประตู
"..." เขาหันไปมองผู้หญิงที่เดินเข้ามา ด้านหลังของเธอเป็นเลขาธิการประจำราชวงศ์เดินตามหลังเข้ามาอีกคน
"แบรนด์นี้คือแบรนด์ที่ดีที่สุดติดอันดับโลกแล้วนะเจ้าชาย"
"จริง ๆ ผมใส่อะไรก็ได้นะครับ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นแบรนด์ติดอันดับโลกอะไรทั้งนั้น"
"ขนาดแบรนด์เหล่านั้นยังโดนไล่ แล้วถ้าห้องเสื้อธรรมดาจะรับมือเจ้าชายได้เหรอ" เธอพูดอย่างรู้ทัน ก็ลูกชายผู้เอาแต่ใจของเธอน่ะเดาอารมณ์ยากสุด ๆ
"งั้นก็แล้วแต่แม่เลยครับ" เขาพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน ผู้เป็นแม่จ้องมองลูกชายของตัวเองและก็อดส่ายหัวไม่ได้ ดื้อได้พ่อจริง ๆ เลยลูกคนนี้
"แล้วนี่จะไปไหน"
"กลับที่พักครับ" ผู้เป็นแม่จ้องมองลูกชายของเธออย่างจับผิด นี่พึ่งจะเย็นคนอย่างเขาน่ะเหรอจะกลับที่พักเลย
"เจ้าชาย" ร่างสูงที่กำลังเดินไปทางประตูหันกลับมาอีกครั้งตามเสียงเรียก
"ครับ"
"จะไปไหน" เธอถามย้ำอีกครั้งในขณะที่ลูกชายตัวดีเอาแต่ส่งยิ้มมาให้
"แม่คิดว่ายังไงล่ะ" เมื่อได้ยินคำตอบของเขา เธอก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
กฎที่ทุกคนทำตามอย่างเคร่งครัด มันใช้ไม่ได้กับเขา แต่อย่างน้อยเขาก็ทำในที่ลับตาคนมาตลอด กฎจึงเป็นแค่กระดาษใบเดียวเท่านั้น หญิงสาวผู้เป็นแม่และมีตำแหน่งเป็นควีน จ้องมองแผ่นหลังกว้างของลูกชายคนเล็กจนเขาเดินลับสายตาไป
"ท่านเลขา" เธอหันไปหาผู้ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
"ครับ ท่านมาเรีย"
"ก็เห็นแล้วนะว่าห้องเสื้อที่เราเรียกใช้ในประเทศนี้หมดแล้ว"
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ ทุกคนต่างต้องมีการดูแลเรื่องเสื้อผ้าเพื่อให้เป็นภาพลักษณ์ที่ดีแก่ราชวงศ์ และทุกคนมีห้องเสื้อดูแลส่วนตัวโดยเฉพาะ แต่ลูกชายของเธอไม่มีที่ไหนถูกใจเขาสักที่
แม้ว่าเขาจะมีองค์ประกอบทุกส่วนในร่างกายที่ดูดีมากเพียงใด แต่เรื่องเสื้อผ้าก็ยังสำคัญ การดูแลที่รวมไปถึงเครื่องแบบประจำตัว เครื่องแบบตามวาระโอกาสต่าง ๆ เสื้อผ้าและเครื่องประดับ จึงเป็นเรื่องวุ่นวายในตอนนี้ที่หาคนมาดูแลไม่ได้
"ยังไม่หมดครับ แต่เหลือแบรนด์สุดท้ายแล้ว"
"ที่ไหนอีกล่ะคะ นี่เราก็เรียกมาจนครบก็ไม่มีที่ไหนถูกใจสักที่" เธอได้แต่ถอนหายใจออกมา เพราะหมดหนทางที่จะจัดการกับลูกชายตัวดี
"แบรนด์เวนิสต้าครับ"
"...!"
"สิ่งสุดท้ายที่เราเตรียมไว้ใช้ในเวลาแบบนี้แหละครับ"
"เธอจะยอมเหรอคะ" เธอหันกลับมามองที่เลขาธิการทันที แบรนด์นี้ ผู้เป็นเจ้าของก็คือหลานสาวของเขา ผู้สืบทอดหนึ่งเดียวของตำแหน่งเลขาธิการคนต่อไป
"ยอมครับ เธอต้องยอมแน่" เขามั่นใจกับข้อเสนอที่กำลังจะยื่นออกไปให้เธอ หลานของเขา เขาย่อมรู้จักเธอดีที่สุด
"ฝากด้วยแล้วกันนะคะ ที่พึ่งสุดท้ายแล้ว"
"ครับท่านมาเรีย"
"ส่วนเรื่องข้อจำกัด เคทน่ะไม่ใช่สามัญชนธรรมดาเรื่องของกฎฉันว่าไม่น่าจะมีปัญหานะคะ" ถ้าหากได้เธอมาจริง ๆ ก็น่าจะหมดห่วงเรื่องการปฏิบัติตัว เพราะเธออยู่กับพวกเรามาตั้งแต่เกิดแล้ว
"ครับ ผมจะแจ้งเรื่องนี้กับเธอเอง"
"ฝากด้วยนะคะ"
เธอยิ้มอย่างมีความหวัง ในที่สุดก็จะหาห้องเสื้อมาดูแลเจ้าชายได้สักที และฐานะก็ไม่ถือว่าต่างกันมาก การปฏิบัติและความเคยชิน พวกเขาน่าจะเคยเจอกันบ้างแล้ว ก็พักอยู่ที่เดียวกันนิ
ณ คอนโดส่วนตัวของเชื้อพระวงศ์
รถสปอร์ตคันหรูสีดำวิ่งผ่านรั้วสูงเข้ามายังด้านในได้อย่างง่ายดาย บริเวณรอบที่พักมีคนดูแลอยู่ตามจุดต่าง ๆ มากมาย ฉันขับขึ้นจอดยังชั้นจอดรถ ทั้งชั้นอยู่ในความเงียบสงบ รถยนต์ถูกจอดเข้าช่องอย่างเรียบร้อย ก่อนลงรถก็ไม่ลืมที่จะตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนลงรถ
ปึง!
ติ้ด!
ประตูรถถูกปิดลง ฉันกำลังจะเดินไปยังลิฟต์ก็ต้องหยุดชะงัก หันมองไปตามเสียงของเครื่องยนต์ที่วิ่งมาด้วยความเร็ว ขาเรียวก้าวถอยหลังหลบทันที เมื่อเห็นว่ารถที่วิ่งมาไม่มีท่าทีชะลอความเร็วลงเลย สัญญาลักษณ์และป้ายทะเบียน แค่มองก็รู้ว่าใคร ตอนเช้าก็เจอ ดึกขนาดนี้ยังเจออีก พวกราชวงศ์คือสิ่งมีชีวิตที่เกะกะลูกตาฉันจัง
บรื้น!!
รถยนต์คันหรูวิ่งผ่านหน้าไป สายตาของฉันมองตรงไปยังลิฟต์เบื้องหน้า ต้องรีบเข้าไปในนั้นให้ไวที่สุด ก่อนที่เขาจะมา
ตึก ตึก ตึก!
ขาเรียวบนรองเท้าส้นสูงก้าวเดินไปอย่างคล่องแคล่ว นิ้วเรียวกดลูกศรชี้ขึ้นของลิฟต์ด้วยความใจร้อน
"เร็วสิ เร็ว เร็วกว่านี้..." ทำไมวันนี้มันช้าขนาดนี้ ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเลย
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าที่ดังมาจากที่ไกล ลานจอดรถทั้งชั้นมีแค่เขาและฉันเท่านั้น
ติ้ด ติ้ด!
ฉันกดปุ่มลิฟต์รัว ๆ ทั้งที่รู้ว่าต่อให้กดยังไงมันก็มาด้วยความเร็วเท่าเดิม แต่อยู่ ๆ สายตาเหลือบมองไปยังภาพสะท้อนด้านหลังจากประตูลิฟต์สีดำ
ร่างสูงกำลังเดินตรงมาทางนี้ นี่ฉันต้องขึ้นลิฟต์ไปกับเขาเหรอ ไม่นะ ฉันไม่อยากอยู่ใกล้พวกเขา ในขณะที่เขากำลังเดินใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ฉันรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาแนบหูและหมุนตัวกลับหลังเดินสวนเขาไปทันที ปากก็พูดคนเดียว สายตามองตรงไปยังด้านหน้าทำทีเดินไปที่รถ
"เดี๋ยวไปดูที่รถให้นะ" คุยคนเดียวด้วยความจริงจัง
ฉันต้องทำอะไรขนาดนี้เลยเหรอในแต่ละวัน ปกติกลับมาดึกขนาดนี้ไม่เคยเจอใคร แล้วอีกอย่างเจอใครไม่เจอต้องมาเจอเขาอีก
ตึก ตึก ตึก
ฉันชะลอฝีเท้าตัวเองลงและหยุดยืนหน้ารถ พร้อมกับทำทีเป็นยืนคุยโทรศัพท์ แต่จริง ๆ รอเวลาให้เขาขึ้นไปก่อนเท่านั้นเอง
ร่างบางหยุดยืนรอสักพักและค่อย ๆ หันไปแอบมองด้านหลังของตัวเอง ตรงหน้าลิฟต์ไม่มีใครอยู่ แสดงว่าขึ้นไปแล้วสินะ ทางสะดวกแล้ว เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ใจต้องการก็วิ่งกลับไปที่ลิฟต์ด้วยอาการดี๊ด๊าสุดขีด นิ้วเรียวจิ้มกดไปที่ปุ้มลูกศรชี้ขึ้น ยืนรอไม่นานนักลิฟต์ที่เฝ้ารอก็ลงมาถึง
ประตูถูกเปิดออกช้า ๆ ขาเรียวกำลังก้าวเดินก็ต้องหยุดชะงักลง ดวงตากลมเบิกโตจ้องมองบุคคลที่อยู่หลังประตู ร่างสูงยืนพิงกดโทรศัพท์ในมือ เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างช้า ๆ เราทั้งคู่สบตากัน ไม่ได้หวานซึ้งโรแมนติก แต่ฉันที่ยืนแข็งทื่อไม่กล้าขยับ เขามองด้วยสายตาเรียบเฉย ไร้ความรู้สึก
"ไง" เสียงเข้มเอ่ยทักทาย ในขณะที่ฉันยังยืนนิ่ง เขา...ทำไมลงมาอีกเนี่ย! ลงมาทำไมอีก!
ณ สุสานประจำเมืองดอกบลูบอนเน็ทพลิ้วไหวตามแรงลม ดอกไม้แห่งความเศร้า การบอกลา ความเสียใจปนเหงา ความหมายของมันยังลึกซึ้งมากกว่านั้น 'แม้จะเจ็บปวด แต่จะขอจดจำเอาไว้ไม่ลืมเลือน' แม้ความหมายของมันจะเศร้าโศก แต่ความงามของดอกไม้กับชโลมใจของผู้มาเยือนได้อย่างน่าตกตะลึงกระถางดอกฮิกันบานะหรือพลับพลึงสีแดง ถูกวางลงข้างป้ายหินขนาดใหญ่ ชื่อบนป้ายสลักเคียงคู่กันสองชื่อ ฉันใช้มือลูบปัดเศษดินที่ปลิวมาเปื้อนออกและจ้องมองชื่อตรงหน้า ก่อนจะส่งยิ้มให้กับป้ายหลุมฝังศพของพ่อและแม่"ที่นี่อากาศดีไม่เปลี่ยนเลยนะคะว่ามั้ย" ปกติจะมาที่นี่คนเดียวลำพัง แต่ต่อจากนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะฉันจะมีฮาเซลมาด้วยทุกครั้ง"..." ฮาเซลยืนรอเงียบ ๆ"อาทิตย์หน้าเคทจะแต่งงานแล้วนะคะ" พูดออกไปแม้ว่าจะไม่มีเสียงตอบกลับมาก็ตาม แต่ฉันก็อยากให้ทั้งคู่ได้รับรู้"..." รอบตัวเงียบสงบมีเพียงเสียงของฉันเท่านั้นที่พูดอยู่คนเดียว"ขอบคุณสิ่งที่พ่อบอกวันนั้นนะคะ...ตอนนี้เคททำตามแล้วนะ" ฉันใช้มือลูบไปตรงชื่อของพ่อและเปลี่ยนมาเป็นชื่อของแม่"อวยพรให้เคทกับฮาเซลด้วยนะคะแม่" แม้จะไม่มีคำตอบกลับมา แต่ฉันก็เชื่อว่าทั้งคู่ต้องอวยพรเราทั้งสอง
(มาร์ชิน)(หลังจากที่โทมัสให้ของขวัญกับเคท)คอนโดใจกลางเมืองติ้ง!ตึก ตึก ตึก !เสียงฝีเท้าดังไปตามทางเดินตรงยังห้องพักของตัวเอง ร่างสูงกำกุญแจรถในมือแน่น ตอนนี้เขาคิดอยู่อย่างเดียวคือต้องออกไปเมืองนี้ให้เร็วที่สุดแม้ในใจจะอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาด แต่เงินจำนวนมหาศาลที่ไม่ว่ายังไงชาตินี้ก็ไม่มีทางหาได้ทำให้เขายอมร่วมมือกับเกรซี่ ผู้หญิงที่เข้ามาเป็นเจ้านายคนใหม่ของเขาติ้ด ติ้ด ติ้ด!เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวดังขึ้น ทำให้เขาสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ มือไม้สั่นล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูชื่อของคนโทรเข้า ก่อนจะกดรับสาย"ครับ ครับ คุณเกรซี่" ขายาวยังคงก้าวเดินไปยังห้องของตัวเองที่อยู่สุดทางเดิน(ยัยนั่นรับไหม) เสียงในสายถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย"รับครับ เธอรับไปแล้ว"(ดีมาก แล้วก็รีบไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ)"ครับ ผมกำลังรีบไป" เขาหยุดยืดหน้าห้องและควานหาคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตู(นี่โทมัส...) เสียงเรียกชื่อเขาจากคนในสาย ทำให้ต้องหยุดทุกการกระทำและตั้งใจฟังในสิ่งที่เธอกำลังจะพูด"...ครับ"(...โชคดีนะ ติ้ด!) พูดจบปลายสายก็ตัดไปทันทีตอนนี้เขาไม่มีเวลามาสนใจคำอวยพรของเธอแล้ว เพราะทุ
ย้อนกลับไปตอนเคทกำลังคุยโทรศัพท์"คิมฉันอยู่ร้านXXX คอลเลคชั่นใหม่ออกมาแล้ว"(มาจริง ๆ ด้วยสินะ มาเยอะไหม) เสียงทุ้มต่ำของฮาเซลดังผ่านโทรศัพท์ที่แนบหู"ใช่มีเยอะเลยคิม" ปากเรียกชื่อคิม แต่คนในสายไม่ใช่คิมนี่ทำเอาฉันจะหลุดปากเหมือนกันเนี่ย(นับให้หน่อยสิว่าต้องใช้กี่คน)"ได้สิ อืม~ แบบใหม่เยอะมากเลยนะเนี่ย" ฉันหันมองไปรอบร้าน สายตาก็นับจำนวนคนที่ยืนล้อมฉันอยู่(...) ปลายสายก็รออย่างตั้งใจ"ถ้าแกจะเอาหมดเลยก็ได้นะ ทั้งหมดสิบสี่แบบ" พูดจบฉันก็หันหลังให้พวกคนที่ยืนอยู่และทำเป็นเลือกชุดชั้นในต่อเดินตามกันแบบไม่เกรงใจเลยนะคนพวกนี้ ยัยเกรซี่ส่งมาแต่ละคนภายนอกก็น่ากลัวอยู่หรอก แต่ไม่เนียนเอาซะเลย(กำลังให้คนไปรอรับนะ จะมาทางไหน)"ชอปXXXไง ที่อยู่ใกล้ประตูG...ใช่ ออกคอลเลคชั่นใหม่ก่อนที่อื่นอีกนะ"(หึ! เก่งมาก เดี๋ยวจะให้รางวัลเมียคนเก่งนะครับ) คำพูดของเขาทำเอาฉันเกือบหลุดยิ้ม มันใช่เวลาไหมเนี่ย"โอเค ๆ ฉันเอาหมดเลยแล้วกันนะ"(ถ้าพ้นประตูแล้วหลับตาและปิดหูเลยนะครับ) เมื่อเขาพูดจบก็วางสายทันที แล้วเรียกพนักงานของร้านให้เข้ามาหา เพื่อสั่งให้จัดเตรียมของตามที่ต้องการ เมื่อได้ของตามที่ต้องการแล้
ณ พระราชวังประจำราชวงศ์"อีกไม่กี่วันปู่ก็ออกจากตำแหน่งแล้วใช่ไหม""ใช่" ปู่ส่งยิ้มให้ในระหว่างที่กำลังเก็บของจากลิ้นชักโต๊ะทำงาน อีกไม่กี่วันจะมีประกาศเรื่องของเลขาธิการคนใหม่อย่างเป็นทางการ ซึ่งเท่ากับว่าปู่จะได้พักผ่อนตามความต้องการอย่างแท้จริง"แล้วปู่จะกลับไปอยู่ที่บ้านหรือจะอยู่กับเคท" ฉันเดินเข้าไปกอดท่านจากด้านหลังและซบหน้าลงบนไหล่"ใครเขาจะอยู่บ้านกัน ช่วงชีวิตต่อจากนี้แหละปู่จะไปเที่ยว""ต้องแบบนี้!" ฉันไม่เคยขัดขว้างหรือไม่เห็นด้วยกับชีวิตหลังวัยเกษียณของคุณปู่ ตลอดที่ผ่านมาท่านดูแลฉันเป็นอย่างดีไม่เคยขาดตกบกพร่อง ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ปู่จะได้ทำตามใจตัวเองสักที"แล้ว...เรื่องที่แม่ของเกรซี่พูด" เมื่อนึกขึ้นได้ปู่ก็หันกลับมาถามด้วยสายตาของความเป็นห่วง"เคทรู้และเข้าใจทุกอย่างแล้วค่ะ""ปู่ขอโทษ..." ปู่จับแขนฉันที่โอบกอดท่านเอาไว้"ปู่ไม่ต้องขอโทษนะ ปู่ทำถูกแล้วไม่ว่าปู่จะทำอะไรเคทเชื่อว่าปู่ทำทุกอย่างเพื่อเคท""ไม่โกรธแม่เขานะลูก" เรื่องที่เกิดขึ้นฉันรู้ว่าไม่มีใครไม่เสียใจ ยิ่งเป็นปู่ท่านต้องเข้มแข็งต่อหน้าฉันมาตลอด"เคทไม่โกรธค่ะแล้วก็ควีนไม่เคยโกรธแม่เหมือนกัน""..." เมื่อฉัน
ณ เพนท์เฮ้าส์ชั้นบนสุด"น่าจะประมาณสองปีที่พ่อใช้เวลาทั้งหมดง้อแม่" ฮาเซลกำลังเล่าถึงเรื่องราวต่อจากนั้นให้ฉันได้ฟัง ในระหว่างที่เรากำลังทานอาหารเช้า"เวลาโกรธจริงก็น่ากลัวเหมือนกันนะ""ก็ ทำให้พ่อหยุดและกลัวแม่ได้เลย" ถ้าเป็นฉันจะอดทนเพื่อรักได้เท่าเธอหรือเปล่านะ"ต้องเข้มแข็งขนาดไหนถึงอยู่จุดนั้นได้""แม่เป็นผู้หญิงที่ใจดีมากนะ แม้ว่าพ่อจะรู้สึกตัวช้าไปหน่อยก็เถอะ""อะไรกันนี่ลูกชายกำลังบ่นพ่อตัวเองเหรอเนี่ย" ฉันพยายามกลั้นขำเพราะฮาเซลไม่ได้เข้าข้างพ่อเลยสักนิด แม้จะทะเลาะหรือดื้อกับควีนแต่เขาก็อยู่ข้างแม่มาตลอด"ที่พูดมาเรื่องจริงทั้งนั้น" แม้แต่ฮาเซลยังกลั้นขำ เมื่อนินทาถึงพ่อของเขา"แล้ว...ควีนไม่โกรธจริง ๆ ใช่ไหม" คำถามของฉันทำให้มือที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มหยุดชะงัก เขาวางแก้วกาแฟลงบนจานรอง แล้วเท้าคางจ้องมองมาที่ฉัน"ที่ผ่านมาแม่ไม่ได้เสียใจน้อยไปกว่าใคร แล้วอีกอย่างตอนนี้น่ะเหรอ อะไร ๆ ก็เคท""หมายความว่าไง""ก็อย่างเช่นเมื่อวานที่โทรมาก็ถามหาแต่เคท เคทกลับมายัง ทำไมไม่พาเคทไปดินเนอร์บ้างและอีกมากมาย""งั้นเหรอ" ฉันอมยิ้มให้กับสิ่งที่ฮาเซลพูด"แม่คงยังไม่รู้สินะ ว่าแม่สาวนัก
สุดท้ายช่วงเวลาแห่งความสุขและความหวังของเขากับเคทก็หยุดลง เวลาแห่งความฝันและความรักหยุดชะงักเพียงเพราะการกระทำที่บิดเบี้ยวของบางความสัมพันธ์ตุบ!"ฉันคงไม่ต้องถามว่าคือนี่อะไร แต่ฉันจะถามว่าทำแบบนี้ทำไม!" รูปถ่ายจำนวนหนึ่งถูกปาลงบนพื้นกระจัดกระจายต่อหน้าชายผู้เป็นสามีและเพื่อนสาวคนสนิทเพียงคนเดียวของเจ้าหญิงมาเรีย เสียงพูดคุยดังเล็ดลอดออกจากห้อง ลูกชายทั้งสองคนของพวกเขายืนแอบฟังหน้าห้อง"..." ทั้งห้องเข้าสู่ความเงียบ มีเพียงเสียงแม่ของเขาเท่านั้นที่พูดอยู่ฝ่ายเดียว"เป็นใครก็ได้ฉันไม่เคยสนใจ! ทำได้ยังไง เห็นฉันเป็นอะไร!""...""พระองค์ก็รู้ว่าฉันอยู่เพราะอะไร เพราะรักใข่ไหม...รู้อยู่แล้วเลยทำลายความรักของฉัน ฮึก! กี่ครั้งไม่เคยว่า แต่ครั้งนี้...ฮึก! ฉันไม่ไหวจริง ๆ" เสียงสะอื้นของแม่ทำให้ฮาเซลรู้สึกโกรธขึ้นมาทีละนิด"มาเรีย" เสียงของผู้ชายเพียงคนเดียวที่อยู่ในห้องเรียกภรรยาตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา"อย่าเข้ามา!" เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงของแม่ตัวเองเจ็บปวดได้ขนาดนี้"ออกไปก่อนโมอา" พ่อต้องเป็นฝ่ายบอกให้แม่ของเคทออกจากห้องนี้ไป เพราะดูเหมือนว่าแม่จะไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา"...ค่ะ"