“คุณย่าไปรับมาครับ”เด็กวัยสี่ขวบตอบเขาเท่าที่จะตอบได้ ต้นไผ่เดินไปหาคุณย่าที่ยืนยิ้มอยู่ หมอมาร์คหันไปทักทายและพูดคุยกับเมตตาอยู่พักหนึ่ง “คุณน้าบอกว่าอยากมาเยี่ยมคุณชมจันทร์เหรอครับ”“ที่จริงน้าก็รู้ว่าอาจจะไม่เหมาะในตอนนี้ แค่อยากจะหาทางช่วยมาร์คน่ะ เพราะได้ยินเรื่องจากต้นน้ำแล้ว น้าเองก็รู้สึกผิดก็เลยคิดว่าควรจะทำอะไรบ้าง”“ผมพอจะมีหนทางอยู่ครับแต่อาจจะไม่ใช่วันนี้ คุณน้ารอสักหน่อย แต่ว่าวันนี้ผมขอยืมตัวต้นไผ่สักครู่ได้ไหมครับ”“พี่มาร์คจะพาตาไผ่ไปไหนเหรอคะ น้ำรับปากพี่แก้วตาเอาไว้ว่าจะพาแกกลับบ้านก่อนห้าโมงเย็น”“ใช้เวลาไม่นานหรอก ต้นไผ่ครับ ไปเยี่ยมคนไข้กับลุงมาร์คไหมครับ”“มีของเล่นไหมครับ”“ดูสิเด็กคนนี้”ทุกคนหันมายิ้มให้กับหลานชายตัวเล็กที่หันมาถามหมอมาร์ค เขารู้ทันทีว่าจะต้องทำอะไรบ้างจึงได้ตอบต้นไผ่ไป“เอาแบบนี้นะครับ วันนี้หลังจากที่ไปเยี่ยมคนไข้กับลุงมาร์คแล้วจะพาไปซื้อของเล่นตามที่สัญญากันเอาไว้ ดีไหมครับ”“เย้ ลุงมาร์คใจดีที่สุดเลย”“ต้องแบบนี้สิ ต้นน้ำกับคุณน้ากลับก่อนได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมพาต้นไผ่กลับเอง”“แต่น้ำว่า…”“พี่รับรองว่าจะส่งตาไผ่กลับบ้านอย่างปลอดภัย ไม่ต้
“คุณเป็นบ้าอะไร กินยาระงับประสาทเสียบ้างนะถ้าระงับอารมณ์ไม่อยู่ขนาดนี้”“อย่ามาพูดมาก แล้วเลิกมายุ่งกับเมียคนอื่นเสียที”“หมอมาร์ค คุณหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”เขาหยุดและหันมามองเธอทั้ง ๆ ที่มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก คนเริ่มเดินมามุงดูเหตุการณ์ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรก็เลยเดินผ่านไป มาร์คหันไปชี้หน้าภูริชที่กำลังหันไปบ้วนเลือดทิ้ง“วันก่อนผมเห็นเขากับผู้หญิงอีกคนในร้านกาแฟ พวกเขาหอมแก้มกัน ไม่อายคนในร้านเลยสักนิด”เฟรย์หันไปมองหน้าภูริชสลับกับมองหมอมาร์ค“นั่นยังไม่เท่าไหร่ พวกเขาเดินขึ้นรถคันเดียวกันและยังจูบกันด้วย เขาทำถึงขนาดนี้แล้วคุณยังหน้ามืดตามัวให้มันอยู่ใกล้ ๆ อีกเหรอ!”“ฉันรู้แล้ว!”“อะไรนะ… นี่คุณ…”เฟรย์ถอนหายใจและหันไปมองภูริชที่ยืนอยู่ห่าง ๆ ทั้งคู่เอาไว้ ตอนนี้เขามานั่งที่โต๊ะม้าหินในสวนแล้ว เฟรย์จึงหันมามองหมอมาร์คที่ทำสีหน้าแปลกใจอยู่“คุณรู้แต่ก็ยังปล่อยให้มันจับมือคุณอีกเหรอ”“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ ฉันเคยบอกไปแล้วว่าพวกเราไม่ได้เป็นอะไรกัน”“จะไม่เป็นได้ยังไงคุณกับผม…”“หมอคะ! พอได้แล้ว”“แต่เขากับผู้หญิงคนนั้น…”“ก็เขาเป็นแฟนกัน! จะทำแบบนั้นแล้วมันผิดตรงไหน”“พวกเขา
“จริงเหรอคะ! นะ นี่มัน… เหลือเชื่อเลยนะคะ”“ตอนนี้หน้าที่ที่สำคัญสำหรับคุณก็คือตาไผ่ ที่เป็นตัวแทนของต้นกล้า เอาไว้ผมจะแวะมาเยี่ยมหลานบ่อย ๆ หวังว่าคุณจะไม่คิดมากเรื่องนี้อีกนะครับ ขอตัวก่อน”“ขอบคุณนะคะหมอมาร์ค”เขาพยักหน้ารับไหว้เธอและเดินกลับมาที่รถทันที พอเห็นต้นไผ่แล้วเขาก็เริ่มจินตนาการเรื่องลูก หากว่าเขาอยากจะมีลูกสักคน แม่ของลูกก็คงจะต้องเป็นเฟรย์ แต่เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็เริ่มจิตใจห่อเหี่ยวลง“ไม่ได้สิจะถอยตอนนี้ไม่ได้ ยังไงนั่นก็เมียจะง้อไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป สู้หน่อยสิวะอย่าไปกลัว ถึงเธอจะ…ดุสักหน่อย เวลางอนแล้วจะง้อยากไปบ้าง…ฉิบหาย! ยากทุกอย่างเลยนี่หว่า ใครจะไปรู้ว่ามันจะยุ่งเหยิงแบบนี้ละโว้ย!”โรงพยาบาลเมื่อเขากลับมาที่โรงพยาบาล ก็รู้ว่าคุณลุงของเฟรย์มาเยี่ยมคุณชมจันทร์ เขามีโอกาสได้เจอลุงกับป้าของเธอตอนที่เข้าไปตรวจชมจันทร์ ซึ่งเฟรย์ไม่อยู่ในห้อง“สวัสดีครับ”“อ้าวคุณหมอสวัสดีครับ แหมงานยุ่งเลยนะครับเนี่ย”“นิดหน่อยครับ วันนี้คึกคักเลยนะครับมีคนมาเยี่ยมเยอะ ๆ แบบนี้กำลังใจดีเลยสิครับ”“โอ๊ย ที่ไหนละครับคุณหมอนี่ก็ออกไปคนหนึ่งแล้ว อีหนูไปส่งอยู่ใครนะ ใช่แฟนยัยหนูไหมคนหล่อ ๆ
หมอมาร์คหันไปมองเด็กน้อย ที่มีแม่ของเขาบอกให้ไหว้และทักทายญาติคนอื่น ๆ ในห้อง เดิมทีคิดว่าเป็นญาติที่เขาไม่เคยเห็นหน้า ไม่คิดว่าจะเป็นภรรยาและลูกของต้นกล้า“เด็กคนนั้นอายุ...”“สี่ขวบไปเมื่อสามเดือนก่อน พูดได้แล้วแต่ยังติดแม่อยู่ ไม่ค่อยชอบคนเยอะ”“แล้วเรื่องนี้พี่เฟรย์รู้ไหมคะแม่”มาร์คหันไปมองหน้าเมตตาที่หลับตาลง เหมือนว่าเธอแบกรับความเจ็บปวดนี้มานานกว่าสี่ปี วันนี้จึงต้องการพูดออกไปให้หมด“เฟรย์รู้แค่ว่ากล้านอกใจเธอและมีแก้วตา แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าแก้วตาจะท้องลูกของต้นกล้า”“คุณน้าแน่ใจแล้วใช่ไหมครับว่าลูก เอ่อ ผมหมายความว่าแน่ใจใช่ไหมว่า ลูกของเธอเป็นลูกของต้นกล้า”“น้าแน่ใจโดยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอเลย ตอนที่ต้ากล้ายังเด็กก็หน้าตาแบบนี้ อีกอย่างเรื่องที่มีแก้วตาน้าก็รู้มาตั้งแต่แรก แต่ว่ากล้าไม่อยากเลิกกับเฟรย์ ดังนั้นเขาถึงได้รู้สึกผิดและเสียใจจนป่วย ทุกอย่างเป็นความผิดของน้าเอง”“แม่หมายความว่ายังไงคะ ทำไมแม่ต้องผิดด้วย”“ตอนนั้นแม่รู้เรื่องของแก้วตาเพราะเธอมาบอกกล้าว่าเธอท้อง แม่ไม่ยอมรับเธอก็เลยพาลูกหนีไป กล้าเครียดจนหาทางออกไม่ได้ก็เลยตัดสินใจ...สุดท้ายหลังจากกล้าตายไปแล้ว แม่ก็
มาร์คและต้นน้ำเดินเข้ามาในบ้าน ซึ่งตอนนี้เหลือแค่ญาติพี่น้องกลุ่มเล็ก ๆ ที่ยังนั่งทานข้าวร่วมกันอยู่ที่ห้องอาหาร เมื่อคุณเมตตาแม่ของต้นกล้าที่กำลังเล่นกับเด็กผู้ชายอยู่ เมื่อเห็นต้นน้ำและเขาเดินเข้ามา เธอก็รีบเดินมาหาทั้งคู่ทันที“มากันแล้วเหรอ…น้ำ มีเรื่องอะไรกันเหรอลูก ทำไมทำหน้าแปลก ๆ แบบนั้นละ ไปเถอะไปกินข้าวกันก่อน”“คุณน้าครับ ผมมีบางเรื่องอยากจะคุยกับคุณน้าหน่อยครับ”คุณเมตตารู้ทันทีว่าเรื่องนี้คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ อีกอย่างสีหน้าของหลานชายก็ดูร้อนรนจนน่าตกใจ เธอจำได้ว่าอติวิชญ์มักจะเป็นคนที่สุขุม ดูเป็นผู้ใหญ่เพราะเขาเป็นหมอ แต่อาการใจร้อนแบบนี้พึ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทั้งสามคนเลยเดินมานั่งคุยที่ห้องรับแขก ซึ่งไม่ไกลจากห้องอาหารที่มีคนนั่งอยู่“แม่คะ วันก่อนน้ำพาดารินไปหาพี่มาร์คที่โรงพยาบาล”“อะไรนะ! ยัยน้ำเรานี่เหลวไหลใหญ่แล้ว แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าเพื่อนของเราคนนี้น่ะนิสัยก๋ากั่นเกินไป ไม่เหมาะกับตามาร์คทำไมยังพาไปหาพี่เขาแบบนั้นรู้อยู่ว่าพี่เขาไม่ชอบ ยังไงน้าต้องขอโทษด้วยนะ”“ไม่เป็นไรครับเรื่องนั้นมันไม่ได้สำคัญอะไร ผมจัดการไปเรียบร้อยแล้วครับ ที่จริงแล้วผมก็หาโอกาสปฏ
“ผมยังให้คำตอบกับคุณตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอดูอาการโดยรวมของผู้ป่วยก่อน หากว่าอาการไม่ดีก็คงต้องนอนพักฟื้นจนถึงช่วงกายภาพบำบัด อย่าลืมว่าอาการทางสมองสำคัญมาก ต่อให้คุณคิดว่ามันดีสำหรับคุณแม่ แต่อย่าลืมว่าในด้านการรักษา ยังไงก็เสี่ยงอยู่ดี”“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”“ไม่เป็นไร คุณ… กินข้าวหรือยัง”เฟรย์หันมาดึงผ้าห่มให้คุณแม่เพื่อจะได้ไม่ต้องมองหน้าเขา หมอมาร์คกำลังจะเดินเอื้อมมือไปหาเธอ เสียงมือถือของเฟรย์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน เธอกดรับสายทันที“สวัสดีค่ะ…พี่ภูริช มีอะไรด่วนเหรอคะ”แค่รู้ว่าใครโทรมาก็ทำเอาคนที่ยืนอยู่ชักสีหน้าตึงทันที เขายืนนิ่งไม่ยอมไปไหนและหันไปมองหน้าของเธอ เฟรย์ทำตัวไม่ถูกจึงได้เดินเลี่ยง แต่เขาก็ยืนขวางเอาไว้ “อะไรนะคะ เที่ยงนี้เหรอคะเฟรย์อยู่ที่…”“แย่แล้ว!”เฟรย์หันไปมองหมอมาร์คที่ทำสีหน้าไม่สู้ดีข้าง ๆ เตียงและกำลังปรับบางอย่างเธอจึงตัดสินใจตัดสายภูริชทันที“ขอโทษด้วยค่ะพี่ภูริช ช่วงนี้เฟรย์ไม่ค่อยว่างเลย เอาไว้นัดกันวันหลังนะคะ ค่ะ ๆ สวัสดีค่ะ”เธอวางหูทันทีและรีบวิ่งเข้ามามองใกล้ ๆ หมอมาร์คที่กำลังปรับสายน้ำเกลือให้คุณแม่ที่กำลังหลับสนิท เธอเผลอเดินมาชิดกับเข