รุ่งอรุณของวันใหม่มิได้นำพาความสดใสมาสู่เรือนตระกูลเซียวที่แสนอ้างว้างนัก แสงเงินยวงของอรุณรุ่งสาดส่องผ่านช่องหน้าต่างที่ผุกร่อน เผยให้เห็นฝุ่นผงที่จับเกาะบนเครื่องเรือนเก่าคร่ำราวกับภาพสะท้อนของความร่วงโรย เสียงจิ้งหรีดที่เคยส่งเสียงกรีดร้องเมื่อยามราตรี บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันที่หนักอึ้งดุจหินผา
เซียวหลัน ลืมตาตื่นขึ้นมาบนฟูกเก่าคร่ำที่ปูอยู่บนพื้นไม้ ภายในห้องนอนเล็กๆ ที่เคยเป็นของ ‘เซียวเหลียน’ ร่างกายของนางยังคงเจ็บปวดรวดร้าวจากพิษบาดแผลภายนอกที่ถูกทำร้ายเมื่อคืนวาน ทว่าภายในกลับมีพลังงานประหลาดไหลเวียนอยู่ ความทรงจำอันท่วมท้นจากโลกที่ต่างออกไปราวฟ้ากับเหว หลั่งไหลเข้าสู่ห้วงสำนึกอย่างไม่ขาดสาย
“นี่ไม่ใช่ความฝัน...” นางพึมพำกับตัวเอง เสียงแหบพร่า แต่แววตาคมกริบประหนึ่งพยัคฆ์แรกตื่นจับจ้องไปยังเพดานห้องที่เต็มไปด้วยรอยร้าว นางรับรู้ว่านี่คือชีวิตใหม่ในร่างของเด็กสาวอายุสิบสี่นามว่าเซียวเหลียน ผู้เป็นบุตรสาวคนเล็กของตระกูลเซียวที่เพิ่งถูกกวาดล้างไปเมื่อคืนก่อน
เมื่อคืนวาน... ภาพเพลิงที่โหมกระหน่ำ เสียงกรีดร้องอันโหยหวนยังคงติดตา ไม่สิ... นั่นคือความทรงจำของร่างเดิม แต่เซียวหลันผู้มาจากโลกศตวรรษที่ 21 ก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดเหล่านั้นได้ประหนึ่งเป็นของตนเอง วิญญาณทั้งสองหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ กลายเป็น ‘เธอ’ ในตอนนี้
นางค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้น แม้จะรู้สึกเจ็บปวดแต่ก็ยังเดินได้ ร่างกายนี้บอบช้ำนัก หากเป็นคนปกติคงไข้ขึ้นหนักและอาจถึงแก่ชีวิต แต่โชคดีที่วิญญาณของเซียวหลันผู้เป็นถึงศัลยแพทย์ฝีมือดีจากโลกอนาคตได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้ พลังพิเศษบางอย่างที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของวิญญาณ ทำให้ร่างกายนี้ฟื้นตัวได้เร็วกว่าปกติ
“คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ!” เสียงอุทานด้วยความดีใจดังขึ้นจากประตูห้อง บ่าวรับใช้สองคน คือ เสี่ยวชุน เด็กสาววัยสิบสองผู้ซื่อสัตย์ และ อาหลง ชายชราผู้จงรักภักดี ผู้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากตระกูลเซียวที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาเข้ามาประคองนางด้วยแววตาเป็นห่วงปนโล่งอก
“ข้าไม่เป็นไร” เซียวหลันตอบเสียงแผ่ว แต่ความเด็ดเดี่ยวในดวงตาทำให้อาหลงและเสี่ยวชุนประหลาดใจนัก คุณหนูเล็กผู้เคยบอบบางและหวาดกลัว กลับดูเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน
“คุณหนู... นายท่านกับฮูหยิน...” เสี่ยวชุนเริ่มสะอื้น อาหลงเองก็ก้มหน้า น้ำตาหยดลงบนพื้นไม้
เซียวหลันถอนหายใจช้าๆ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียยังคงมีอยู่ แต่ปัญญาและความเยือกเย็นจากอีกภพหนึ่งสอนให้นางรู้จักควบคุมอารมณ์ นางตระหนักดีว่าการร่ำไห้คร่ำครวญไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะทำให้ศัตรูเย้ยหยันและครอบครัวที่ล่วงลับไปอย่างไม่เป็นธรรมต้องนอนตายตาไม่หลับ
“ความตายมิใช่จุดจบของทุกสิ่ง” นางกล่าวเสียงเรียบ “หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของบางสิ่ง"
อาหลงและเสี่ยวชุนเงยหน้ามองนางด้วยความงุนงง
“เราจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้” เซียวหลันกล่าวต่อ “ตระกูลเซียวถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ ผู้คนยังคงหวาดกลัวและรังเกียจ หากเราอยู่ตรงนี้ ก็เท่ากับรอความตาย”
“แล้วเราจะไปที่ใดกันเจ้าคะคุณหนู” เสี่ยวชุนถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เราจะไปที่... เมืองชายแดน” เซียวหลันตอบ แววตาฉายประกายแห่งความมุ่งมั่น “ที่นั่นผู้คนหลากหลายกว่า ไม่ยึดติดกับชนชั้นเท่าในเมืองหลวง เราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น”
การตัดสินใจของนางเด็ดเดี่ยวนัก แม้อาหลงจะกังวล แต่เมื่อเห็นประกายความมุ่งมั่นในดวงตาของคุณหนู เขาก็เลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวนาง
การเดินทางจากเมืองหลวงสู่เมืองชายแดนหลี่เฉิงใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนเต็ม พวกเขาเดินทางอย่างระมัดระวัง พลางอำพรางตัวไม่ให้ผู้ใดจำได้ เซียวหลันใช้ความรู้ทางการแพทย์จากภพเดิมในการรักษาอาการบาดเจ็บเล็กน้อยระหว่างทาง รวมถึงความรู้ด้านการเอาชีวิตรอดที่ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางผ่านป่าเขาได้อย่างปลอดภัย
เมื่อมาถึงเมืองหลี่เฉิง เมืองชายแดนที่คึกคักแต่ไม่แออัดเท่าเมืองหลวง ผู้คนดูเปิดกว้างและไม่สนใจฐานะที่มาของผู้อื่นมากนัก เซียวหลันสัมผัสได้ถึงอิสระที่นี่
“แล้วอยู่ที่นี่... เราจะทำมาหากินอะไรกันเจ้าคะคุณหนู” เสี่ยวชุนถามเมื่อพวกเขาหาเรือนเล็กๆ เก่าๆ พอซุกหัวนอนได้หนึ่งหลัง
เซียวหลันมองไปยังซากปรักหักพังของเรือนไม้ที่แม้จะดูโทรม แต่ก็พอจะปรับปรุงให้เป็นที่อยู่อาศัยได้ แล้วสายตาของนางก็ไปสะดุดกับป้ายร้านค้าไม้เก่าๆ ที่อยู่ด้านหน้าเรือน สายตาของนางจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยพูดออกมา
“เราจะเปิดหอโอสถ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
อาหลงกับเสี่ยวชุนถึงกับอ้าปากค้าง คุณหนูจะเปิดหอโอสถ? คุณหนูที่ไม่เคยย่างกรายเข้าครัว ไม่เคยจับเข็ม ไม่เคยแตะต้องสมุนไพรน่ะหรือ?
“คุณหนูจะ... รักษากับเขาได้หรือเจ้าคะ” อาหลงถามด้วยความกังวลใจ เซียวเหลียนคนเดิมนั้นบอบบางยิ่งกว่ากิ่งหลิว จะไปรู้เรื่องการแพทย์ได้อย่างไร
เซียวหลันเพียงยิ้มเล็กน้อย “ท่านอาหลง ท่านเชื่อข้าหรือไม่”
อาหลงมองแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของคุณหนูเล็ก เขาเคยสาบานว่าจะภักดีต่อตระกูลเซียวตราบชีวิตจะหาไม่ และเขาก็เชื่อมั่นในสายเลือดของตระกูลนี้เสมอมา “เชื่อขอรับคุณหนู”
“ดี” นางกล่าว “เราจะเริ่มต้นใหม่จากตรงนี้”
การเปิดหอโอสถเล็กๆ ในเมืองที่ไม่คุ้นเคยไม่ใช่เรื่องง่าย เซียวหลันเริ่มจากการไปสำรวจร้านขายสมุนไพรในตลาด นางใช้ความรู้ที่ได้รับมาจากการรวมวิญญาณ เลือกสรรสมุนไพรคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสม ความรู้ที่เหนือล้ำทำให้เจ้าของร้านสมุนไพรหลายคนถึงกับอึ้งในความเชี่ยวชาญของเด็กสาวผู้นี้
“เด็กน้อย เจ้ามาจากสำนักแพทย์ใด เหตุใดจึงมีความรู้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้” เถ้าแก่ร้านสมุนไพรเก่าแก่ถามด้วยความสงสัยระคนชื่นชม
“ข้ามิได้มาจากสำนักใดเจ้าค่ะ เพียงแต่ศึกษาด้วยตนเอง” เซียวหลันตอบเลี่ยงๆ นางไม่สามารถเปิดเผยที่มาของความรู้ที่แท้จริงได้
ด้วยเงินที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดจากการเดินทาง เซียวหลันและอาหลงรวมถึงเสี่ยวชุนลงมือทำความสะอาดและตกแต่งหอโอสถด้วยตนเองอย่างเรียบง่าย ป้ายไม้เก่าๆ ถูกเช็ดถูจนสะอาดตา แล้วนางก็ใช้พู่กันเขียนชื่อ “หอโอสถเซียว” ตัวอักษรเรียบง่ายแต่แฝงด้วยความหมายอันลึกซึ้ง
“หอโอสถเซียว...” อาหลงพึมพำ “เหมือนกับนามตระกูล...”
เซียวหลันยิ้ม “เพื่อมิให้ผู้คนลืมว่าตระกูลเซียวเคยมีอยู่”
วันแรกที่เปิดหอโอสถ ผู้คนยังคงไม่มั่นใจนัก จะมีใครกล้าให้เด็กสาวบอบบางอายุเพียงสิบสี่หนาวมารักษาโรคได้อย่างไร มีเพียงชาวบ้านไม่กี่คนที่เดินผ่านไปมาและมองอย่างสงสัย
จนกระทั่งบ่ายคล้อย... ชายชราคนหนึ่งใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม ผิวหนังซีดเหลือง ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนล้า เขาเดินกะ เผลกๆ เข้ามาในหอโอสถ เสียงไอโขลกๆ ดังอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะทรุดตัวลงบนเก้าอี้ไม้
“ช่วย... ช่วยข้าด้วย” ชายชรากล่าวเสียงแผ่ว “ข้าป่วยมานานนัก หาท่านหมอมาหลายคนแล้ว แต่ไม่มีใครรักษาได้เลย”
เซียวหลันเดินเข้าไปตรวจอาการนางจับชีพจรอย่างชำนาญ ก่อนจะตรวจสอบตาและดูลิ้นอย่างละเอียด ใบหน้าของนางนิ่งเฉย ยากจะคาดเดาความรู้สึก
“ท่านผู้นี้ป่วยด้วยโรคไข้ป่าเรื้อรัง พิษไข้ได้ทำลายอวัยวะภายในจนอ่อนแอ” เซียวหลันกล่าวอย่างมั่นใจ “แต่ยังพอรักษาได้”
ชายชราและเสี่ยวชุนต่างตกตะลึงกับคำวินิจฉัยที่แม่นยำ นางพูดราวกับว่าเห็นโรคภัยไข้เจ็บของเขาด้วยตาเปล่า ไม่ใช่แค่การจับชีพจร
เซียวหลันเขียนตำรับยา นางสั่งสมุนไพรให้เสี่ยวชุนไปจัดเตรียม และปรุงยาด้วยตนเองด้วยความชำนาญทุกขั้นตอน ราวกับทำมานับพันครั้ง การต้มยา กรองยา ล้วนทำได้อย่างประณีตและแม่นยำ
หลังจากที่ชายชราดื่มยาถ้วยแรกไป อาการไอก็ลดลง สีหน้าเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย ความหวังเริ่มก่อตัวในใจเขา
“ข้าจะมาอีกในวันพรุ่งนี้” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีเรี่ยวแรงขึ้น
“อีกสามวันท่านจะดีขึ้น และอีกเจ็ดวันท่านจะหายขาด” เซียวหลันกล่าวอย่างมั่นใจ “แต่ต้องมารับยาตรงตามกำหนด”
ชายชราพยักหน้ารับก่อนจากไปพร้อมกับความหวังที่เปี่ยมล้นในใจ
ข่าวคราวของ “หมอเทวดา” แห่งหอโอสถเซียวเริ่มแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลี่เฉิงอย่างรวดเร็ว จากปากต่อปากของผู้ป่วยที่หายขาดด้วยฝีมือของเซียวหลัน ไม่นานนัก หอโอสถเล็กๆ แห่งนี้ก็เริ่มมีผู้คนมาเข้าคิวรอรับการรักษาตั้งแต่เช้าจรดเย็น ชื่อเสียงของนางขจรขจายไปไกลเกินกว่าเมืองชายแดนเล็กๆ แห่งนี้
ในวันหนึ่ง... เมื่อเซียวหลันกำลังง่วนอยู่กับการตรวจรักษาคนไข้ จู่ๆ ก็มีกลุ่มคนในชุดคลุมสีดำเข้มปรากฏตัวขึ้น พวกเขามีฝีมือวรยุทธ์สูงส่ง ใบหน้าปิดบังไว้ด้วยผ้าดำ เพียงดวงตาที่ฉายแววดุดันก็ทำให้ผู้คนรอบข้างหวาดกลัวและถอยหนี
“หมอเทวดาผู้นี้ใช่หรือไม่” ชายในชุดดำคนหนึ่งกล่าวเสียงห้าว ดวงตาจับจ้องไปยังเซียวหลัน
เซียวหลันเงยหน้ามองพวกเขา นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายจากคนกลุ่มนี้ แต่แววตาของนางยังคงนิ่งสงบ
“พวกเจ้าต้องการอะไร” นางถาม
“เรามาเพื่อตามหาคน” ชายชุดดำตอบ พลางกวาดสายตาไปรอบๆ หอโอสถ “มีชายคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อคืนวานนี้ ได้เข้ามาหลบซ่อนอยู่ที่นี่หรือไม่”
“ที่นี่เป็นหอโอสถ รักษาผู้ป่วยไม่เลือกหน้า” เซียวหลันตอบ แต่ภายในใจเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล
ชายชุดดำหัวเราะเยาะ “อย่ามาเล่นลิ้น! หากเจ้าไม่ยอมบอกออกมาดีๆ พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องสุภาพ”
ทันใดนั้น ชายชุดดำอีกคนก็พุ่งเข้าใส่เซียวหลันด้วยความเร็วสูง หมายจะจับตัวนาง ทว่าในชั่วพริบตา... ร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีดำที่คุ้นตา ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเซียวหลันราวกับเงา เขาใช้กระบี่ในมือฟาดฟันออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ บังเกิดเสียงคมกระบี่กระทบกันดุจเหล็กกล้า ชายชุดดำที่พุ่งเข้าใส่ก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นออกไปทันที
หลี่หยาง ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเซียวหลัน ร่างสูงสง่าในชุดสีดำสนิท ใบหน้ายังคงปิดบังไว้ด้วยผ้าคลุมผืนใหญ่ แต่แววตาภายใต้ผ้าคลุมนั้นคมกริบราวกับใบมีด เขามองไปยังกลุ่มชายชุดดำด้วยสายตาเย็นชา ดุจเหยี่ยวที่จ้องมองเหยื่อ
“พวกเจ้ากล้ามาสร้างความวุ่นวายในที่แห่งนี้ได้อย่างไร” เสียงทุ้มเย็นดุจน้ำแข็งของหลี่หยางดังก้องขึ้น บ่งบอกถึงพลังอำนาจที่ซ่อนอยู่ภายใน
กลุ่มชายชุดดำดูจะรู้จักหลี่หยางเป็นอย่างดี เมื่อได้ยินเสียงของเขา พวกเขาก็แสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“ท่าน... ท่านเจ้าสำนัก... เหตุใดท่านจึงมาที่นี่” ชายชุดดำคนเดิมถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“ไสหัวไปซะ” หลี่หยางกล่าวเสียงเรียบ แต่แฝงด้วยโทสะที่ยากจะควบคุม
กลุ่มชายชุดดำไม่กล้าขัดขืน พวกเขารีบถอยร่นออกจากหอโอสถไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและความตกตะลึงของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์
เซียวหลันมองไปยังแผ่นหลังกว้างของหลี่หยาง นางจำได้ว่าเขาคือชายที่เคยเข้ามาให้เธอรักษาเมื่อหลายวันก่อน ชายผู้ลึกลับที่ดูเหมือนจะมาจากยุทธภพ และในตอนนี้... เขาก็ได้แสดงพลังอำนาจที่เหนือกว่าใคร
“ท่าน... เหตุใดท่านจึงกลับมาที่นี่” เซียวหลันถามเสียงแผ่ว
หลี่หยางหันมาสบตากับนาง ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมฉายแววบางอย่างที่เซียวหลันไม่อาจเข้าใจ เขามองนางนิ่งๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย
“ข้าแค่ผ่านมา”
คำตอบเรียบง่าย แต่กลับแฝงด้วยความหมายบางอย่างที่ยากจะหยั่งถึง เซียวหลันรู้สึกถึงกระแสความรู้สึกบางอย่างที่เชื่อมโยงระหว่างนางกับเขาในห้วงลึกของจิตใจ ราวกับว่าการพบกันของพวกเขามิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว...
บรรยากาศในห้องโถงกว้างของวังหลวงเต็มไปด้วยความตึงเครียด เซียวหลันมองหน้าหลี่หยางและเฉินเหวินสลับกันไปมา หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความสับสนและความเจ็บปวด"ถ้าเป็นเรื่องจริง แล้วพวกเจ้า... จะทำอย่างไรกับข้า"คำพูดของเฉินเหวินดังก้องอยู่ในหัวก้องเธอ เธอไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายทำอย่างนั้นกับพวกเธอได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะระแวดระวังกันมาตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะใจร้ายขึ้นมาจริงๆ“เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้ เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” เฉินเหวินเอ่ยขึ้น สายตาของเขาจับจ้องมาที่เซียวหลัน“ข้าไม่เข้าใจ ทำไมท่านถึงทำเช่นนั้น" เซียวหลันถามเสียงสั่นเครือ "ทำไมท่านถึงหลอกใช้เรา""ข้าไม่ได้หลอกใช้พวกเจ้า" เฉินเหวินตอบ "ข้าแค่... ทำตามหน้าที่ของข้า""หน้าที่ของเจ้าคือการทำลายพวกเราอย่างนั้นหรือ!" หลี่หยางตะโกนด้วยความโกรธแค้น "เจ้าทำลายครอบครัวของข้า! ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้ามี!""ไม่ใช่ข้า" เฉินเหวินปฏิเสธ "เป็นตระกูลของข้าต่างหาก... ที่ต้องการพลังที่ซ่อนเร้นในตัวพวกเจ้า""แล้วทำไมท่านถึงไม่บอกเราแต่แรก!" เซียวหลันถาม"เพราะข้า... อยากที่จะสร้างโชคชะตาของข้าเอง" เฉินเหวินตอบ "ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าต้องมาเกี่ยวข้อง
การฝึกฝนของเซียวหลันภายใต้การดูแลของเฉินเหวินดำเนินไปอย่างเข้มข้น วันแล้ววันเล่าที่เธอต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายทั้งทางร่างกายและจิตใจ พลังแห่งแสงของเธอนับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่เธอก็รู้สึกถึงความมืดที่คืบคลานเข้ามาในจิตใจเช่นกัน"เจ้าต้องควบคุมมันให้ได้" เฉินเหวินกล่าวขณะมองเซียวหลันที่กำลังควบคุมพลังแสงในมือของเธอให้แปรเปลี่ยนเป็นอาวุธที่ทรงพลัง "หากเจ้าปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำ... เจ้าก็จะกลายเป็นพวกมัน"เซียวหลันเข้าใจดี นางไม่ต้องการที่จะกลายเป็นคนเช่นนั้น นางจึงพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองและใช้พลังในทางที่ถูกต้องในขณะเดียวกัน... หลี่หยางที่นอนป่วยอยู่ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างช้า ๆ แม้พลังของเขาจะหายไปจนหมดสิ้น แต่เขาก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความผูกพันที่เชื่อมโยงระหว่างเขากับเซียวหลัน และเขาก็ตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือนาง"ข้าจะต้องช่วยเซียวหลัน" หลี่หยางพึมพำกับตนเอง "ข้าจะต้องฟื้นฟูพลังของข้าให้กลับมา"เขาเริ่มค้นหาวิธีที่จะฟื้นฟูพลังของตนเองโดยเริ่มจากการค้นหาตำราโบราณที่เฉินเหวินเก็บไว้ในห้องสมุดของเขา ในตำราเหล่านั้นมีบันทึกเกี่ยวกับการฝึกฝนพลังอัคคีที่บร
การเดินทางออกจากหุบเขาต้องห้ามเต็มไปด้วยความยากลำบากเซียวหลันพยุงร่างที่ไร้สติของหลี่หยางไว้ในอ้อมแขนขณะที่เฉินเหวินคอยนำทางและระวังภัยให้ การเสียสละของหลี่หยางทำให้พลังในตัวเขาหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงร่างกายที่อ่อนแรง และเซียวหลันเองก็รู้สึกถึงความสูญเสียครั้งใหญ่ที่เข้ามาในชีวิตของเธอ"เราจะไปไหนกันต่อ" เซียวหลันถามเสียงแผ่ว"เราจะไปที่สำนักแพทย์หลวงในเมืองหลวง" เฉินเหวินตอบ "ที่นั่นมีหมอที่ดีที่สุด และพวกเขาก็จะสามารถดูแลหลี่หยางได้"เซียวหลันพยักหน้าอย่างเข้าใจ นางรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นทางเลือกเดียวที่พวกเขาจะทำได้ในตอนนี้เมื่อเดินทางมาถึงสำนักแพทย์หลวง เซียวหลันก็รีบพาหลี่หยางไปให้หมอหลวงตรวจดูอาการ หมอหลวงวินิจฉัยว่าหลี่หยางได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง และไม่มีวิธีใดที่จะสามารถรักษาเขาได้เลย นอกจากปล่อยให้เขาฟื้นตัวด้วยตนเอง"ไม่... ไม่จริง!" เซียวหลันกล่าวด้วยความสิ้นหวัง "ท่านต้องช่วยเขา!""ข้าขอโทษ" หมอหลวงกล่าว "ข้าไม่มีทางเ
แสงจากคันธนูแห่งแสงเลือนหายไปในความมืดมิดของถ้ำ เหลือไว้เพียงร่างที่ไร้สติของเซียวหลันที่นอนอยู่บนพื้น หลี่หยางรีบเข้าไปประคองนางขึ้นมาอย่างร้อนรน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด"เซียวหลัน! เซียวหลัน!" หลี่หยางเรียกชื่อนางซ้ำๆ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากนางเฉินเหวินเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว เขามองไปยังเซียวหลันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "นาง... ต้องมาเจอกับเรื่องนี้เพราะข้า""ไม่ใช่ความผิดของท่าน" หลี่หยางกล่าว "เป็นความผิดของข้าต่างหาก... ที่ปล่อยให้นางต้องมาเสี่ยงชีวิต"หลี่หยางใช้พลังอัคคีที่เหลืออยู่ทั้งหมดเพื่อรักษาเซียวหลัน แต่นางก็ยังคงไม่ฟื้น และลมหายใจของนางก็เริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ"ไม่... ไม่จริง!" หลี่หยางร้องไห้ออกมาอย่างหมดหวัง "เจ้าต้องไม่เป็นไรนะ... เซียวหลัน!"เฉินเหวินเดินเข้ามาใกล้หลี่หยาง "ยังมีทางเดียวที่จะช่วยนางได้""วิธีอะไร" หลี่หยางถามด้วยความหวังอันริบหรี่
ในที่สุดอาวุธในตำนานก็ตกอยู่ในมือของเซียวหลัน คันธนูส่องแสงประกายสว่างท่ามกลางความมืดมิดของหุบเขาต้องห้าม พลังอันยิ่งใหญ่ที่ไหลเวียนออกมาจากอาวุธนั้นทำให้ทั้งหลี่หยางและเฉินเหวินรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่น่าเกรงขาม"มันคือ... คันธนูแห่งแสง" เฉินเหวินเอ่ยเสียงแผ่ว "อาวุธที่ถูกกล่าวถึงในคำทำนาย"เซียวหลันรับรู้ได้ถึงพลังมหาศาลที่ผสานเข้ากับพลังแห่งแสงในตัวเธออย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับว่าอาวุธชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ"แต่เราจะใช้มันอย่างไร" เซียวหลันถาม"เจ้าจะต้องใช้จิตใจที่บริสุทธิ์เพื่อควบคุมมัน" หลี่หยางกล่าว "พลังของเจ้าจะหลอมรวมเข้ากับคันธนูแห่งแสง และเมื่อถึงตอนนั้น... เจ้าก็จะเป็นผู้เดียวที่จะสามารถใช้มันในการต่อสู้ได้"ขณะที่ทั้งสามกำลังสนทนากันอยู่นั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านนอกถ้ำ ตามมาด้วยเงาร่างที่ปรากฏขึ้นในความมืดมิด"พวกเราตามพวกเจ้ามานานแล้ว" เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น "และในที่สุด... เราก็เจอตัวผู้สืบทอดพลังแห่งแ
หลังจากความจริงอันน่าตกตะลึงถูกเปิดเผยในคัมภีร์โบราณ เซียวหลันและหลี่หยางก็เข้าใจแล้วว่าชะตากรรมของพวกเขาไม่ได้ผูกพันเพียงแค่การกอบกู้ตระกูล แต่ยังเกี่ยวพันกับสงครามที่จะตัดสินชะตาของโลกเฉินเหวินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศัตรู บัดนี้ได้กลายเป็นพันธมิตรที่ไม่อาจขาดไปได้"ในคัมภีร์ระบุว่ามีอาวุธโบราณถูกซ่อนไว้ในที่ลับแห่งหนึ่ง" เฉินเหวินกล่าวขณะมองแผนที่ที่เพิ่งค้นพบ "หากเราได้อาวุธนี้มา จะช่วยให้เรามีพลังที่จะต่อสู้กับคนพวกนั้นได้""แล้วอาวุธนั้นอยู่ที่ไหน" หลี่หยางถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น"มันถูกซ่อนไว้ใน... หุบเขาต้องห้าม" เฉินเหวินตอบ "สถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายและพลังที่ชั่วร้าย"เซียวหลันและหลี่หยางมองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พวกเขาก็ไม่ลังเลเลยที่จะยอมเสี่ยง"เราจะไป" เซียวหลันกล่าวอย่างหนักแน่น "เราต้องไปเอาอาวุธนั้นมาให้ได้"การเดินทางสู่หุบเขาต้องห้ามเต็มไปด้วยอุปสรรค พ