สายลมฤดูเหมันต์โชยพัดพาความหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ ราตรีอันมืดมิดไร้จันทร์ส่อง เมื่อแสงดาวเลือนหายไปจากผืนนภา ราวกับจะกลืนกินทุกสรรพสิ่งให้จมดิ่งสู่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด ณ ลานกว้างเบื้องหน้าตำหนักใหญ่แห่งตระกูลเซียว... เพลิงอัคคีโหมกระหน่ำ กลืนกินไม้แกะสลักโอ่โถง เสียงกรีดร้องโหยหวนและคมกระบี่กระทบกันดังก้องกังวาน ปะปนกับกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
เซียวเหลียน ในวัยเพียงสิบสี่หนาว ร่างน้อยบอบบางสั่นสะท้านภายใต้ผ้าคลุมที่บิดาเพิ่งโยนคลุมให้ ดวงตาอันบอบช้ำจับจ้องไปยังเงาร่างสูงโปร่งเบื้องหน้า นางรู้ดีว่านั่นคือบิดาผู้เป็นที่รัก ซึ่งในตอนนี้กำลังยืนหยัดต้านทานคมกระบี่นับสิบด้วยกระบี่เดียวดาย เสียงทุ้มแหบพร่าของท่านยังคงดังก้องในโสตประสาท
“เหลียนเอ๋อร์... จงมีชีวิตอยู่ต่อไป”
น้ำตาเอ่อล้นอาบแก้มใส นางกำมือแน่นจนเล็บจิกเนื้อ พลังอำนาจที่เคยยิ่งใหญ่ของตระกูลเซียวซึ่งเคยขึ้นชื่อว่าเป็นเสาหลักแห่งแคว้น กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏ เพียงชั่วข้ามคืน ทุกสิ่งทุกอย่างก็พังทลายลงสิ้น แสงเพลิงสะท้อนในดวงตาของเซียวเหลียน ราวกับจะตราตรึงภาพความสูญเสียนี้ไว้ในห้วงลึกของจิตวิญญาณชั่วนิรันดร์
เสียงตะโกนก้องของมารดาผู้เปี่ยมด้วยเมตตา เสียงหัวเราะสดใสของพี่ชายที่รักยิ่ง... ภาพเหล่านั้นราวกับภาพหลอนที่วนเวียนอยู่ในหัวใจที่แตกสลาย นางกอดร่างของตนเองแน่น หวังเพียงจะหลีกหนีจากฝันร้ายอันแสนโหดร้ายนี้ แต่ยิ่งพยายามเท่าไร เพลิงแค้นในใจก็ยิ่งโหมกระหน่ำรุนแรงเท่านั้น
ไม่นานนัก... เสียงกรีดร้องก็ดับหายไปพร้อมกับเปลวเพลิงที่มอดไหม้เหลือเพียงซากปรักหักพัง ความหนาวเหน็บกัดกินทุกสรรพสิ่ง เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าและความมืดมิด ทว่าในความมืดนั้น... แสงสว่างจางๆ ได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของเซียวเหลียน พลังบางอย่างที่นางไม่เคยรู้จักค่อยๆ ตื่นขึ้นในส่วนลึกของจิตวิญญาณ ความรู้บางอย่างที่แปลกแยกจากยุคสมัยนี้หลั่งไหลเข้าสู่ห้วงความคิดของนางอย่างบ้าคลั่ง
“ข้า... เซียวหลัน” เสียงแผ่วเบาดังก้องในลำคอ ราวกับคำสัตย์ปฏิญาณที่หลุดออกจากจิตวิญญาณ นางรับรู้ถึงความทรงจำจากภพที่แตกต่าง ความรู้ทางการแพทย์เหนือล้ำที่เคยร่ำเรียนมาในโลกที่เจริญก้าวหน้าอย่างยิ่งยวด บัดนี้ได้หลอมรวมเข้ากับความเจ็บปวดและความแค้นของเซียวเหลียน
ชะตาฟ้ามิอาจกำหนด หากแต่มนุษย์คือผู้ลิขิต... เพลิงแค้นนี้จะมอดดับลงไม่ได้ ตราบใดที่ความอยุติธรรมยังคงอยู่ นางจะใช้พรสวรรค์ที่ได้รับมานี้ ทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เสียไป กอบกู้ชื่อเสียงที่แปดเปื้อน และล้างแค้นให้แก่ทุกหยดเลือดที่หลั่งริน
ในค่ำคืนที่แสนยาวนานนั้น... เซียวเหลียนได้จากไปแล้ว มีเพียง เซียวหลัน ผู้ถือกำเนิดขึ้นใหม่ ท่ามกลางเถ้าถ่านแห่งความพินาศ พร้อมจะเผชิญหน้ากับโชคชะตาที่รอคอยนางอยู่เบื้องหน้า มธุรสแห่งความแค้นนี้ จะถูกปรุงแต่งด้วยวิชาโอสถ และจะหอมหวานกว่าสิ่งใดในแผ่นดินนี้... นางจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาบงการชีวิตของนางได้อีกต่อไป
หลังจากได้อ่านคัมภีร์โบราณแล้ว เซียวหลัน หลี่หยาง และเฉินเหวิน ก็ตระหนักได้ว่าสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของพลังอำนาจ แต่เป็นเรื่องของคำทำนายที่ถูกสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน และพวกเขาทั้งสามก็คือผู้ที่จะต้องเข้ามามีบทบาทในสงครามนี้"ในคัมภีร์ไม่ได้ระบุวิธีหยุดยั้งสงครามไว้" เซียวหลันกล่าวด้วยความผิดหวัง "มันมีเพียงแค่คำทำนายเกี่ยวกับผู้ที่จะมาช่วยโลกเท่านั้น""แต่เราก็มาถูกทางแล้ว" หลี่หยางปลอบโยน "อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าพลังที่แท้จริงของพวกเราคืออะไร และเราจะสามารถใช้มันในการต่อสู้กับคนพวกนั้นได้อย่างไร""ข้ามีแผน" เฉินเหวินกล่าว "เราจะกลับไปที่วังหลวง"เซียวหลันและหลี่หยางมองหน้ากันด้วยความไม่เชื่อ “อะไรนะ!?" เซียวหลันถาม "ท่านจะให้เรากลับไปที่นั่นได้อย่างไร ในเมื่อที่นั่นเป็นกับดัก""ใช่... มันเป็นกับดัก" เฉินเหวินตอบ "แต่ตอนนี้... เราก็สามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้เช่นกัน" เขามองไปยังแผนที่บนผนังถ้ำ "ในแผนที่นี้... มีสถานที่ลับอีกแห่งหนึ่
พันธมิตรที่เปราะบางได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วในถ้ำลับอันมืดมิด เฉินเหวินที่เคยเป็นศัตรูร้าย บัดนี้ยืนอยู่เบื้องหน้าเซียวหลันและหลี่หยางในฐานะสหายร่วมชะตากรรม"ก่อนที่เราจะเริ่ม" เซียวหลันเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของนางยังคงเจือความระแวง "ท่านต้องบอกความจริงทั้งหมด... ว่าท่านเกี่ยวข้องอะไรกับอดีตของพวกเรา"เฉินเหวินยิ้มอย่างขมขื่น เขามองไปยังแผนที่บนผนังถ้ำ "เจ้าคิดว่าข้าชื่นชอบการเป็นหมากในเกมอำนาจของตระกูลข้าหรือ"เขาเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตให้เซียวหลันและหลี่หยางฟังอย่างละเอียด เขาเกิดในตระกูลที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและต้องการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ พลังที่เขาใช้ในการต่อสู้ไม่ใช่พลังของตนเอง แต่เป็นพลังที่ถูกผนึกไว้ในตัวเขาตั้งแต่ยังเด็ก เขาถูกฝึกฝนให้กลายเป็นอาวุธที่มีชีวิต เพื่อที่จะใช้ในการทำลายศัตรูของตระกูล"ข้าถูกบังคับให้ทำร้ายครอบครัวของเจ้า" เฉินเหวินกล่าว "และข้าก็ถูกบังคับให้ทำร้ายครอบครัวของมัน" เขาชี้ไปที่หลี่หยาง "ข้า... เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไร้หัวใจ"
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือนเมืองหลวงอีกครั้งเซียวหลันและหลี่หยางก็เดินทางมาถึงนอกกำแพงเมืองที่เคยเป็นเสมือนกรงขังเมื่อคืนวานนี้แล้ว พวกเขายังคงสวมชุดที่มอมแมมและเต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ แต่ดวงตาของทั้งสองกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเดินไปบนเส้นทางที่พวกเขาเลือกแล้ว"เราจะไปไหนกันดี" เซียวหลันถามขณะมองดูเมืองที่เงียบสงบในยามเช้า"เราต้องไปหาคนที่จะช่วยเราได้" หลี่หยางตอบ "และข้ารู้ว่าใครคือคนผู้นั้น"เซียวหลันพยักหน้าอย่างเข้าใจ พวกเขาทั้งสองเริ่มเดินทางไปยังทิศทางที่หลี่หยางบอก เส้นทางที่พวกเขาเลือกนั้นคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตรายและอุปสรรค พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มโจรที่ดักซุ่มอยู่ตามเส้นทาง และต้องต่อสู้กับสัตว์ร้ายในป่าที่รกทึบแต่ด้วยความสามารถของพวกเขา ทั้งสองคนก็สามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ในที่สุด หลี่หยางใช้พลังอัคคีที่เพิ่งฟื้นคืนมาในการต่อสู้ ในขณะที่เซียวหลันก็ใช้พลังแห่งแสงในการรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้น และนั่นก็ทำให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้ที่จะร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบ
ดูเหมือนว่าโชคชะตาของเซียวหลันและหลี่หยางจะอยู่ในกำมือของเฉินเหวินไปเสียแล้ว คำพูดของเฉินเหวินเป็นดังคำประกาศศักดิ์สิทธิ์ที่ลิดรอนอิสระไปจากพวกเขาทั้งคู่ ชะตากรรมของพวกเขาเหมือนถูกขังเอาไว้ในกรงขนาดใหญ่ ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าเป็นเรื่องยากที่จะหนีไปจากโชคชะตาในครั้งนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกเขาก็ยังมีความมุ่งมั่นมากพอที่จะจับมือเดินไปข้างหน้าด้วยกันตามเส้นทางที่ตัดสินใจเลือก"เราจะทำอย่างไรกันดี" เซียวหลันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง"เราจะออกจากที่นี่" หลี่หยางตอบอย่างหนักแน่น "เราจะไปจากวังแห่งนี้และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสร้างขึ้น"เซียวหลันส่ายหน้า “แต่... เราทำไม่ได้... ที่นี่เต็มไปด้วยทหารของเขา และท่านก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะต่อสู้""ข้าไม่เป็นไร" หลี่หยางกล่าว "ข้ายังมีพลังที่เหลืออยู่" เขามองเข้าไปในดวงตาของเซียวหลัน "เชื่อข้า... เราต้องไปจากที่นี่"เซียวหลันมองเขาด้วยความรู้สึกที่สับสน แต่ในที่สุดนางก็พยักหน้าอย่างจำยอม นางรู้ดีว่าห
เซียวหลันและหลี่หยางมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ คำพูดของเฉินเหวินยังคงดังก้องอยู่ในห้องอันเงียบสงบ พวกเขาทั้งคู่ต่างก็แบกรับความลับที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะจินตนาการได้ และบัดนี้ความลับนั้นได้กลายเป็นภาระที่พวกเขาต้องแบกรับร่วมกัน"ท่าน... ไม่เป็นไรใช่ไหม" เซียวหลันถามเสียงแผ่ว นางยังคงรู้สึกผิดที่ทำให้หลี่หยางต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้หลี่หยางพยักหน้าเล็กน้อย "ข้าไม่เป็นไร... แต่เราไม่มีเวลาแล้ว""เราจะทำอย่างไรกันดี" เซียวหลันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง "เราถูกขังอยู่ที่นี่ และพลังของท่านก็... หายไปแล้ว""พลังของข้าไม่ได้หายไป" หลี่หยางกล่าว "มันแค่หลับใหลไปชั่วคราว" เขามองเข้าไปในดวงตาของเซียวหลัน "เจ้าต้องช่วยปลุกมันขึ้นมาอีกครั้ง"เซียวหลันส่ายหน้า "ข้าทำไม่ได้... ข้าเคยลองแล้ว และข้าก็เกือบจะเสียชีวิต""เชื่อข้า" หลี่หยางกล่าวอย่างหนักแน่น "ในตอนนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยข้าได้"เซียว
เซียวหลันมองเฉินเหวินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น เพราะคำพูดของเขาฟังดูไม่เข้าหูนางเลยสักนิด คำพูดเหล่านั้นเป็นดั่งคมมีดกรีดลึกเข้าไปในจิตใจของนาง แต่นางก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้นอกไปจากความรู้สึกยอมจำนน"ท่าน... ทำเช่นนี้ทำไม" เซียวหลันถามเสียงสั่นเครือ "ท่านต้องการอะไรกันแน่"เฉินเหวินยิ้มเล็กน้อย เขามองไปยังหลี่หยางที่นอนอยู่บนเตียง "ข้าต้องการพลังที่แท้จริงของเจ้า และข้าต้องการผู้ที่สามารถต่อกรกับคนพวกนั้นได้" เขาหันกลับมามองเซียวหลัน "ส่วนเรื่องการกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลเจ้า... มันเป็นเพียงสิ่งล่อใจให้เจ้าเข้ามาในวังของข้า"เซียวหลันกำหมัดแน่น นางรู้สึกราวกับถูกหลอกใช้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกไร้หนทางที่จะหลีกหนี"แล้ว... ท่านจะทำอย่างไรกับข้า" เซียวหลันถาม"เจ้าไม่ต้องห่วง" เฉินเหวินตอบ "ข้าจะช่วยเจ้าฝึกฝนพลังของเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้น... เจ้าก็จะเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของข้า"เซียวหลันส่ายหน้า "ข้าจะไม่ยอม