แสงจันทร์นวลผ่องสาดส่องเข้ามาในหอโอสถเซียว แป้งฝุ่นสีขาวลอยอวลในอากาศ ปะปนกับกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ เซียวหลันกำลังง่วนอยู่กับการจัดเรียงยาบนชั้นวางไม้ หลังจากการจากไปของกลุ่มคนชุดดำ หอโอสถก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง แต่ความประหลาดใจจากการปรากฏตัวของหลี่หยางยังคงค้างคาอยู่ในใจของนาง
“คุณหนู... ท่านเจ้าสำนักผู้นั้น... เขาเป็นใครกันเจ้าคะ” เสี่ยวชุนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนหวาดระแวง นางยังคงรู้สึกหวาดกลัวกับบรรยากาศเมื่อครู่ไม่หาย
เซียวหลันหันมามองเสี่ยวชุน “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” นางตอบตามตรง “แต่เขาดูไม่เหมือนคนทั่วไป”
อาหลงที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่หน้าหอโอสถก็เดินเข้ามาสมทบ “ดูจาก วรยุทธ์แล้วไม่ธรรมดาขอรับคุณหนู ท่วงท่ากระบี่ดุดัน รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ยอดฝีมือในยุทธภพที่ข้ารู้จักไม่มีใครมีกระบวนท่าเช่นนี้” ชายชราครุ่นคิด “แต่ที่น่าแปลกใจคือคนพวกนั้นเรียกเขาว่า ท่านเจ้าสำนัก”
“เจ้าสำนัก?” เซียวหลันพึมพำกับตัวเอง
‘หรือจะเป็นสำนักกระบี่ล่องลอย?’
หรือเขาคือเจ้าสำนักที่ลี้ลับแห่งนั้นงั้นหรือ?
ยิ่งคิด นางก็ยิ่งรู้สึกว่าหลี่หยางยิ่งลึกลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
คืนนั้น เซียวหลันไม่ได้นอน นางเฝ้าทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด การที่ตระกูลเซียวถูกใส่ร้าย การที่เธอมาอยู่ในร่างนี้ และการปรากฏตัวของหลี่หยาง ชายผู้เต็มไปด้วยปมปริศนา นางรู้สึกว่าโชคชะตากำลังนำพาเธอเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวที่ใหญ่หลวงกว่าที่คิดไว้ในตอนแรก
เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้คนยังคงหลั่งไหลมายังหอโอสถเซียวอย่างไม่ขาดสาย แม้จะเกิดเรื่องวุ่นวายเมื่อวาน แต่ดูเหมือนผู้คนจะยิ่งเชื่อมั่นในตัวเซียวหลันมากขึ้น เพราะเห็นว่านางมีผู้ทรงอำนาจอย่างหลี่หยางคอยคุ้มครองอยู่ลับๆ
ขณะที่เซียวหลันกำลังตรวจรักษาคนไข้รายหนึ่งอยู่ ก็มีเงาร่างสูงโปร่งก้าวเข้ามาในหอโอสถ กลิ่นหอมจางๆ ของไม้จันทน์และกลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ซ่านเข้ามาในห้อง
หลี่หยางก้าวเข้ามา เขาสวมชุดคลุมสีดำสนิทเช่นเคย ใบหน้ายังคงถูกบดบังด้วยผ้าผืนใหญ่ แต่เซียวหลันรู้สึกได้ถึงสายตาคู่คมที่จับจ้องมาที่นาง
“ท่านมาแล้ว” เซียวหลันเอ่ยทักทายอย่างนุ่มนวล นางไม่ได้รู้สึกประหลาดใจนักกับการมาของเขา เพราะลึกๆ แล้วนางก็คาดหวังการมาของเขาอยู่แล้ว
หลี่หยางไม่ตอบ เขายืนนิ่งอยู่ข้างๆ เฝ้ามองนางรักษาคนไข้อย่างเงียบๆ ดวงตาของเขาฉายแววสนใจเมื่อเห็นความคล่องแคล่วและแม่นยำในการรักษาของนาง ราวกับเขาไม่เคยเห็นใครมีฝีมือทางการแพทย์ถึงเพียงนี้มาก่อน
หลังจากที่เซียวหลันตรวจรักษาคนไข้รายนั้นเสร็จ เธอก็หันมาเผชิญหน้ากับหลี่หยาง “ท่านบาดเจ็บอีกหรือไม่”
หลี่หยางส่ายหน้า “ไม่ได้บาดเจ็บ” เขาตอบเสียงเรียบ “เพียงแต่... อยากให้เจ้าตรวจดูให้แน่ใจ”
เซียวหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย ชายผู้นี้ช่างแปลกนัก นางผายมือไปยังเก้าอี้ “เชิญนั่งเจ้าค่ะ”
หลี่หยางนั่งลงตรงหน้าเซียวหลัน นางยื่นมือออกไปจับชีพจรของเขา นิ้วเรียวของนางแตะลงบนข้อมือของเขา เซียวหลันสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งยวดที่ไหลเวียนอยู่ในกายของเขา แต่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
“ลมปราณท่านปั่นป่วนเล็กน้อย มีร่องรอยของการฝืนใช้พลังมามาก” นางวินิจฉัย “และ... ที่แขนซ้ายของท่าน” นางใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ ที่แขนซ้ายของเขาผ่านเนื้อผ้า “มีรอยแผลเก่าที่ยังไม่หายสนิท”
หลี่หยางชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมฉายแววประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดคิดว่านางจะรับรู้ถึงรอยแผลเก่านั้นได้ง่ายดายถึงเพียงนี้
“รอยแผลนี้เกิดจากอะไรเจ้าคะ” เซียวหลันถามด้วยความอยากรู้ “ดูเหมือนไม่ใช่รอยแผลจากการต่อสู้ธรรมดา”
หลี่หยางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นเล็กน้อย “เป็นรอยแผลที่ไม่อาจรักษาได้”
“ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ไม่อาจรักษาได้เจ้าค่ะ” เซียวหลันโต้แย้งอย่างมั่นใจ “หากท่านอนุญาต ข้าขอตรวจดูบาดแผลให้ท่านได้หรือไม่”
หลี่หยางลังเล เขามองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของเซียวหลัน ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความหลอกลวง ความบริสุทธิ์ใจของนางเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
ในที่สุด เขาก็พยักหน้าช้าๆ “ได้”
เซียวหลันค่อยๆ คลายผ้าคลุมแขนของหลี่หยางออก เผยให้เห็นต้นแขนซ้ายที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นสีแดงคล้ำ มันเป็นรอยแผลไหม้ขนาดใหญ่ที่ดูน่ากลัว ราวกับถูกเผาด้วยไฟที่มีอำนาจมหาศาล และที่น่าตกใจคือ รอยแผลนั้นมีกระแสพลังประหลาดไหลเวียนอยู่ ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นดูซีดเซียวและบิดเบี้ยว
“นี่มัน...” เซียวหลันอุทานด้วยความตกใจ นี่ไม่ใช่รอยแผลที่เกิดจากเพลิงธรรมดา แต่มันคือพลังที่รุนแรงจนสามารถทำลายเส้นลมปราณได้
“เป็นบาดแผลจากพลังอัคคีที่ไม่อาจควบคุม” หลี่หยางกล่าวเสียงเรียบ “มันทำให้เส้นลมปราณของข้าได้รับความเสียหาย จึงทำให้ลมปราณของข้าปั่นป่วนอยู่เสมอ”
“ท่านเคยใช้พลังอัคคีหรือเจ้าคะ” เซียวหลันถามด้วยความสนใจ
“เป็นพลังของสำนัก” หลี่หยางตอบสั้นๆ
เซียวหลันแตะปลายนิ้วลงบนรอยแผลนั้นอย่างแผ่วเบา นางหลับตาลง พยายามใช้พลังพิเศษของตนเพื่อตรวจสอบความเสียหายภายใน พลังจากอีกภพหนึ่งหลั่งไหลเข้าสู่ปลายนิ้วของนาง นางสัมผัสได้ถึงเส้นลมปราณที่ถูกเผาไหม้และบิดเบี้ยวจนไม่อาจฟื้นฟูได้ด้วยวิธีปกติ
“ท่านอาศัยอยู่กับบาดแผลนี้มานานเท่าไหร่แล้วเจ้าคะ” เซียวหลันถาม
“หลายปีแล้ว” หลี่หยางตอบ “ข้าเคยหาวิธีรักษามามากมาย แต่ไม่มีใครทำได้”
เซียวหลันเงียบไปครู่หนึ่ง “บาดแผลนี้ลึกซึ้งนัก... ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาธรรมดา แต่ข้าสามารถช่วยบรรเทาอาการและฟื้นฟูเส้นลมปราณให้ท่านได้บางส่วน เพื่อให้ลมปราณของท่านไหลเวียนได้ราบรื่นขึ้น”
หลี่หยางมองนางด้วยความหวังในแววตาเล็กน้อย “เจ้าทำได้จริงหรือ”
“ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เจ้าค่ะ” เซียวหลันตอบด้วยความมุ่งมั่น นางเริ่มลงมือจัดเตรียมสมุนไพรหายากบางชนิด และใช้เข็มเงินบรรจงปักลงบนจุดชีพจรสำคัญรอบรอยแผลของหลี่หยาง
ระหว่างที่เซียวหลันกำลังรักษา หลี่หยางเฝ้ามองใบหน้าของนางอย่างเงียบๆ นางดูตั้งใจและมุ่งมั่นอย่างยิ่ง ความรู้ที่เหนือล้ำของนางทำให้เขาประหลาดใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่เขากำลังมองนางอยู่นั้น ภาพในอดีตก็ฉายซ้อนขึ้นมาในห้วงความคิดของเขา
“หยางเอ๋อร์! เจ้ากล้าใช้พลังต้องห้ามหรือ!” เสียงดุดันของชายชราผู้หนึ่งดังก้องอยู่ในความทรงจำ เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกท่วม มือของเขากำลังไหม้เกรียม
“ท่านอาจารย์! ข้าไม่ได้ตั้งใจ!” เด็กหนุ่มหลี่หยางในวันนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ความทรงจำอันเลวร้ายนั้นมักจะตามหลอกหลอนเขาอยู่เสมอ รอยแผลบนแขนซ้ายเป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความผิดพลาดในอดีตที่เขาไม่อาจลืม
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” เสียงของเซียวหลันดึงเขากลับสู่ปัจจุบัน
หลี่หยางมองดูแขนของตนเอง เขารู้สึกว่ารอยแผลนั้นดูดีขึ้นเล็กน้อย อาการปวดและแสบร้อนที่เคยเป็นประจำบรรเทาลงอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญ... เขารู้สึกได้ถึงกระแสลมปราณที่ไหลเวียนได้ดีขึ้นกว่าเดิม
“ขอบคุณ” หลี่หยางเอ่ยคำขอบคุณเป็นครั้งแรก น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด
เซียวหลันยิ้ม “ท่านต้องมาให้ข้ารักษาอีกหลายครั้งเจ้าค่ะ บาดแผลนี้ใช้เวลานาน”
“ข้าจะมา” หลี่หยางตอบสั้นๆ แต่หนักแน่น
ก่อนจะจากไป หลี่หยางได้ทิ้งถุงเงินจำนวนมากไว้บนโต๊ะ “นี่คือค่ารักษา”
“มากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เซียวหลันปฏิเสธ
“นอกจากค่ารักษา ให้ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่เจ้าช่วยขับไล่คนพวกนั้นเมื่อวาน” หลี่หยางกล่าว ก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมของไม้จันทน์จางๆ
หลังจากได้อ่านคัมภีร์โบราณแล้ว เซียวหลัน หลี่หยาง และเฉินเหวิน ก็ตระหนักได้ว่าสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของพลังอำนาจ แต่เป็นเรื่องของคำทำนายที่ถูกสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน และพวกเขาทั้งสามก็คือผู้ที่จะต้องเข้ามามีบทบาทในสงครามนี้"ในคัมภีร์ไม่ได้ระบุวิธีหยุดยั้งสงครามไว้" เซียวหลันกล่าวด้วยความผิดหวัง "มันมีเพียงแค่คำทำนายเกี่ยวกับผู้ที่จะมาช่วยโลกเท่านั้น""แต่เราก็มาถูกทางแล้ว" หลี่หยางปลอบโยน "อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่าพลังที่แท้จริงของพวกเราคืออะไร และเราจะสามารถใช้มันในการต่อสู้กับคนพวกนั้นได้อย่างไร""ข้ามีแผน" เฉินเหวินกล่าว "เราจะกลับไปที่วังหลวง"เซียวหลันและหลี่หยางมองหน้ากันด้วยความไม่เชื่อ “อะไรนะ!?" เซียวหลันถาม "ท่านจะให้เรากลับไปที่นั่นได้อย่างไร ในเมื่อที่นั่นเป็นกับดัก""ใช่... มันเป็นกับดัก" เฉินเหวินตอบ "แต่ตอนนี้... เราก็สามารถใช้มันให้เป็นประโยชน์ได้เช่นกัน" เขามองไปยังแผนที่บนผนังถ้ำ "ในแผนที่นี้... มีสถานที่ลับอีกแห่งหนึ่
พันธมิตรที่เปราะบางได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วในถ้ำลับอันมืดมิด เฉินเหวินที่เคยเป็นศัตรูร้าย บัดนี้ยืนอยู่เบื้องหน้าเซียวหลันและหลี่หยางในฐานะสหายร่วมชะตากรรม"ก่อนที่เราจะเริ่ม" เซียวหลันเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของนางยังคงเจือความระแวง "ท่านต้องบอกความจริงทั้งหมด... ว่าท่านเกี่ยวข้องอะไรกับอดีตของพวกเรา"เฉินเหวินยิ้มอย่างขมขื่น เขามองไปยังแผนที่บนผนังถ้ำ "เจ้าคิดว่าข้าชื่นชอบการเป็นหมากในเกมอำนาจของตระกูลข้าหรือ"เขาเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตให้เซียวหลันและหลี่หยางฟังอย่างละเอียด เขาเกิดในตระกูลที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและต้องการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ พลังที่เขาใช้ในการต่อสู้ไม่ใช่พลังของตนเอง แต่เป็นพลังที่ถูกผนึกไว้ในตัวเขาตั้งแต่ยังเด็ก เขาถูกฝึกฝนให้กลายเป็นอาวุธที่มีชีวิต เพื่อที่จะใช้ในการทำลายศัตรูของตระกูล"ข้าถูกบังคับให้ทำร้ายครอบครัวของเจ้า" เฉินเหวินกล่าว "และข้าก็ถูกบังคับให้ทำร้ายครอบครัวของมัน" เขาชี้ไปที่หลี่หยาง "ข้า... เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไร้หัวใจ"
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือนเมืองหลวงอีกครั้งเซียวหลันและหลี่หยางก็เดินทางมาถึงนอกกำแพงเมืองที่เคยเป็นเสมือนกรงขังเมื่อคืนวานนี้แล้ว พวกเขายังคงสวมชุดที่มอมแมมและเต็มไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ แต่ดวงตาของทั้งสองกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเดินไปบนเส้นทางที่พวกเขาเลือกแล้ว"เราจะไปไหนกันดี" เซียวหลันถามขณะมองดูเมืองที่เงียบสงบในยามเช้า"เราต้องไปหาคนที่จะช่วยเราได้" หลี่หยางตอบ "และข้ารู้ว่าใครคือคนผู้นั้น"เซียวหลันพยักหน้าอย่างเข้าใจ พวกเขาทั้งสองเริ่มเดินทางไปยังทิศทางที่หลี่หยางบอก เส้นทางที่พวกเขาเลือกนั้นคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตรายและอุปสรรค พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มโจรที่ดักซุ่มอยู่ตามเส้นทาง และต้องต่อสู้กับสัตว์ร้ายในป่าที่รกทึบแต่ด้วยความสามารถของพวกเขา ทั้งสองคนก็สามารถเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ในที่สุด หลี่หยางใช้พลังอัคคีที่เพิ่งฟื้นคืนมาในการต่อสู้ ในขณะที่เซียวหลันก็ใช้พลังแห่งแสงในการรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้น และนั่นก็ทำให้ทั้งสองคนได้เรียนรู้ที่จะร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบ
ดูเหมือนว่าโชคชะตาของเซียวหลันและหลี่หยางจะอยู่ในกำมือของเฉินเหวินไปเสียแล้ว คำพูดของเฉินเหวินเป็นดังคำประกาศศักดิ์สิทธิ์ที่ลิดรอนอิสระไปจากพวกเขาทั้งคู่ ชะตากรรมของพวกเขาเหมือนถูกขังเอาไว้ในกรงขนาดใหญ่ ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าเป็นเรื่องยากที่จะหนีไปจากโชคชะตาในครั้งนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกเขาก็ยังมีความมุ่งมั่นมากพอที่จะจับมือเดินไปข้างหน้าด้วยกันตามเส้นทางที่ตัดสินใจเลือก"เราจะทำอย่างไรกันดี" เซียวหลันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง"เราจะออกจากที่นี่" หลี่หยางตอบอย่างหนักแน่น "เราจะไปจากวังแห่งนี้และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันสร้างขึ้น"เซียวหลันส่ายหน้า “แต่... เราทำไม่ได้... ที่นี่เต็มไปด้วยทหารของเขา และท่านก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะต่อสู้""ข้าไม่เป็นไร" หลี่หยางกล่าว "ข้ายังมีพลังที่เหลืออยู่" เขามองเข้าไปในดวงตาของเซียวหลัน "เชื่อข้า... เราต้องไปจากที่นี่"เซียวหลันมองเขาด้วยความรู้สึกที่สับสน แต่ในที่สุดนางก็พยักหน้าอย่างจำยอม นางรู้ดีว่าห
เซียวหลันและหลี่หยางมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ คำพูดของเฉินเหวินยังคงดังก้องอยู่ในห้องอันเงียบสงบ พวกเขาทั้งคู่ต่างก็แบกรับความลับที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะจินตนาการได้ และบัดนี้ความลับนั้นได้กลายเป็นภาระที่พวกเขาต้องแบกรับร่วมกัน"ท่าน... ไม่เป็นไรใช่ไหม" เซียวหลันถามเสียงแผ่ว นางยังคงรู้สึกผิดที่ทำให้หลี่หยางต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้หลี่หยางพยักหน้าเล็กน้อย "ข้าไม่เป็นไร... แต่เราไม่มีเวลาแล้ว""เราจะทำอย่างไรกันดี" เซียวหลันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง "เราถูกขังอยู่ที่นี่ และพลังของท่านก็... หายไปแล้ว""พลังของข้าไม่ได้หายไป" หลี่หยางกล่าว "มันแค่หลับใหลไปชั่วคราว" เขามองเข้าไปในดวงตาของเซียวหลัน "เจ้าต้องช่วยปลุกมันขึ้นมาอีกครั้ง"เซียวหลันส่ายหน้า "ข้าทำไม่ได้... ข้าเคยลองแล้ว และข้าก็เกือบจะเสียชีวิต""เชื่อข้า" หลี่หยางกล่าวอย่างหนักแน่น "ในตอนนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยข้าได้"เซียว
เซียวหลันมองเฉินเหวินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น เพราะคำพูดของเขาฟังดูไม่เข้าหูนางเลยสักนิด คำพูดเหล่านั้นเป็นดั่งคมมีดกรีดลึกเข้าไปในจิตใจของนาง แต่นางก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้นอกไปจากความรู้สึกยอมจำนน"ท่าน... ทำเช่นนี้ทำไม" เซียวหลันถามเสียงสั่นเครือ "ท่านต้องการอะไรกันแน่"เฉินเหวินยิ้มเล็กน้อย เขามองไปยังหลี่หยางที่นอนอยู่บนเตียง "ข้าต้องการพลังที่แท้จริงของเจ้า และข้าต้องการผู้ที่สามารถต่อกรกับคนพวกนั้นได้" เขาหันกลับมามองเซียวหลัน "ส่วนเรื่องการกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลเจ้า... มันเป็นเพียงสิ่งล่อใจให้เจ้าเข้ามาในวังของข้า"เซียวหลันกำหมัดแน่น นางรู้สึกราวกับถูกหลอกใช้ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกไร้หนทางที่จะหลีกหนี"แล้ว... ท่านจะทำอย่างไรกับข้า" เซียวหลันถาม"เจ้าไม่ต้องห่วง" เฉินเหวินตอบ "ข้าจะช่วยเจ้าฝึกฝนพลังของเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้น... เจ้าก็จะเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของข้า"เซียวหลันส่ายหน้า "ข้าจะไม่ยอม