LOGINบนกระเป๋านั้นมีปักลายดอกกล้วยไม้เบี้ยว ๆ เป็นฝีมือการปักแบบมิเรียบร้อยนักแต่จู้เฉียงเห็นแวบแรกก็จำได้ทันทีว่า นี่คือกระเป๋าของเหวินจวินเหวินจวินมักจะพกมันไว้ที่อก เขาเคยบอกจู้เฉียงกับพานเจี้ยนไว้ว่า กระเป๋านี้เป็นของที่น้องสาวเขาปักให้ที่ด้านหลังกระเป๋ายังปักชื่อของเหวินจวินไว้ด้วยจู้เฉียงพลิกดู แม้ว่ากระเป๋าจะถูกถูจนเสียหายไปบ้าง แต่ชื่อเหวินจวินที่ด้านหลังก็ยังคงมองเห็นอยู่ราง ๆศพแห้งนี้คือเหวินจวินหรือ?จู้เฉียงราวกับถูกสายฟ้าฟาดลงมาทันที แม่ทัพเจี่ยงบอกว่าเหวินจวินตายอยู่ในปากของสัตว์ประหลาดมิใช่หรือ?จู้เฉียงเปิดกระสอบอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง แล้วนำศพทั้งร่างออกมาจากกระสอบผลก็คือ จู้เฉียงเห็นว่าที่ศพแห้งนั้นขาขาดไปข้างหนึ่ง ซึ่งถูกสัตว์ประหลาดกัดขาดไปแต่เมื่อครู่จู้เฉียงเห็นว่าตอนที่อยู่หน้าที่พักของอ๋องซู่ในกระสอบยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ เช่นนั้นก็แสดงว่าตอนนั้นคนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่สิตอนนี้คนผู้นี้กลายเป็นศพแห้งไปแล้ว!จู้เฉียงคิดแล้วนำตะบันไฟเข้าไปใกล้ ๆ ใบหน้าของศพแม้ว่าเนื้อหนังจะแห้งไปจนหมดแล้ว แต่จู้เฉียงก็ยังคงเห็นได้ชัดว่าบนหน้าด้านซ้ายของศพนั้นมีรอยแผลเป็
หลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนฟังถึงตรงนี้ก็มีสีหน้าตกตะลึงทันทีท่านอ๋องผู้หนึ่งสังหารแม่ทัพมือดีที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตน เรื่องนี้มิเคยได้ยินมาก่อนเลย!พานหลิงอดมิได้ที่จะเอ่ยออกไปว่า “พี่ใหญ่จู้ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”“เหตุใดอ๋องซู่จึงต้องสังหารพี่ใหญ่เหวินเล่า? เขาเลี้ยงดูพวกท่านไว้ก็เพื่อให้ทำงานรับใช้เขามิใช่หรือ? เหตุใดจึงสังหารพวกท่านได้?”จู้เฉียงส่ายหน้า “ข้าหาได้พูดพล่อย ๆ ไม่ แต่ข้าเห็นมากับตา!”“คืนวันนั้น ข้าน้อยมิรู้ว่าเกิดเรื่องกระไรขึ้น หลับอยู่แล้วกลางดึกก็เกิดปวดท้องขึ้นมาอย่างหนัก ข้าน้อยจึงลุกไปส้วม!”“ค่ายทหารของพวกเราสร้างอยู่ติดภูเขา ส้วมก็อยู่ข้าง ๆ ข้าน้อยท้องเสียอยู่สองครั้ง เสร็จจากเข้าส้วมแล้วก็กลับค่ายทหาร!”“ผลก็คือเดินไปได้ครึ่งทาง ก็เห็นองครักษ์สองสามคนหามกระสอบสองใบเดินอยู่อย่างลับ ๆ ล่อ ๆ”“ตอนนั้นข้าน้อยยังคิดว่ามีสายลับลอบเข้ามาในค่ายทหาร จึงตามไปอย่างเงียบ ๆ อยากจะดูว่าพวกเราทำอะไร!”“คาดมิถึงว่า พวกเขาจะแบกกระสอบสองใบนั้นไปที่ค่ายทหารด้านหลัง ซึ่งนั่นเป็นที่พักของอ๋องซู่!”ยามนั้นจู้เฉียงเห็นชัดเจนด้วยว่าองครักษ์เหล่านั้นคือคนสนิท
คำพูดของเซียวหลินเทียนทำให้จู้เฉียงชะงักไป เขามองเซียวหลินเทียนอยู่นิ่ง ๆ สักพักก่อนจะเอ่ยถามไปว่า “ท่านรู้จักแม่ทัพจี้หรือ?”เซียวหลินเทียนจึงพยักหน้ายืนยัน “แน่นอนสิ พวกเราก็มาจากจงโจวเช่นกัน รับคำสั่งจากแม่ทัพจี้ให้ไปสนับสนุนที่เมืองหลวงแดนเทพ!”จู้เฉียงเอ่ยถาม “มีหนังสือราชการจากกองทัพหรือไม่?”เซียวหลินเทียนจึงนำหนังสือราชการจากกองทัพที่แม่ทัพจี้ออกให้พวกเขาก่อนหน้านี้ออกมายื่นให้จู้เฉียงเมื่อจู้เฉียงเห็นตราประทับของแม่ทัพจี้ที่อยู่บนนั้น เขาก็ยื่นส่งคืนให้เซียวหลินเทียนด้วยสองมือ“ท่านอู่ ข้าน้อยล่วงเกินท่านไปแล้ว!”จู้เฉียงเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ข้าน้อยเป็นรองขุนพลพิทักษ์ยุทธที่อยู่ใต้บัญชาของอ๋องซู่ และได้ฝึกทหารร่วมกับแม่ทัพหยวนที่ยอดเขาเกาหลิ่ง!”“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยเป็นเพียงแต่นายกองผู้หนึ่งเท่านั้น แต่เนื่องจากวรยุทธ์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงได้เลื่อนขึ้นเป็นรองขุนพลพิทักษ์ยุทธได้ในเวลามินาน!”“ท่านอู๋ ตอนนี้ข้าน้อยเสียใจยิ่งนัก ข้าน้อยยอมที่จะเป็นทหารธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ดีกว่าไปค่ายกองหมาป่าของอ๋องซู่!”“ท่านอู่ ที่นั่นมิใช่ที่ที่คนจะอยู่ได้จริง ๆ นะขอรับ...”หลิงอวี
หลิงอวี๋ครุ่นคิดแล้วเอ่ย “หม่อมฉันไปกับท่านดีกว่าเพคะ บางทีจู้เฉียงอาจจะให้ข้อคิดอะไรกับหม่อมฉันได้บ้าง!”ทั้งสองมาที่เรือนด้านหน้าด้วยกัน ขณะที่มาถึงทางเข้า ก็ได้ยินว่าพานหลิงกำลังคุยกับใครบางคนอยู่“พี่ใหญ่จู้ ท่านพักฟื้นให้สบายใจเถิด ฮูหยินอู่บอกว่าอีกมินานบาดแผลของท่านก็จะหายดี!”จู้เฉียงจึงรีบเอ่ยไปว่า “พานหลิง พวกเจ้าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องที่ข้ากับพี่ชายของเจ้ากลับมาแล้วออกไปนะ หากคนของอ๋องซู่รู้เข้า อย่าว่าแต่พวกเราเลย พวกเจ้าทั้งหมดไม่มีทางรอดชีวิตเป็นแน่!”หลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนได้ยินเช่นนั้นก็สบตากัน แต่ยังมิทันที่ทั้งสองคนจะพูดอะไร ข้างในก็มีเสียงระแวดระวังของจู้เฉียงดังออกมาเสียก่อน “ข้างนอกนั่นใครกัน?”ชิ้ง!หลิงอวี๋ได้ยินเสียงชักกระบี่ออกมานางจึงรีบลากเซียวหลินเทียนเดินเข้าไป“จู้เฉียง ข้าฮูหยินอู่เอง เจ้าวางใจได้ พวกเรามิได้มีเจตนาร้ายต่อเจ้า!”พานหลิงเห็นหลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนก็รีบดึงจู้เฉียงที่จะพุ่งเข้าไปเอาไว้ ก่อนจะตะโกนว่า “พี่ใหญ่จู้ พวกเขาคือคนที่ช่วยท่านไว้เมื่อคืน!”จู้เฉียงมองหลิงอวี๋กับเซียวหลินเทียนอย่างสงสัย จากนั้นจึงค่อย ๆ เก็บกระบี่เข้าไ
ลู่ปินได้ยินการซักถามของเซียวหลินเทียนจึงเอ่ยว่า “ท่านอู่ เรื่องนี้ข้าน้อยสั่งการสายลับไปแล้ว แต่พวกเขายังตรวจสอบมิพบเบาะแสใดขอรับ!”“จริงสิ สายลับบอกว่าข้างกายอ๋องซู่มีสตรีอยู่นางหนึ่งขอรับ สตรีผู้นี้แต่งกายเป็นบุรุษ และมักจะติดตามอยู่ข้างกายอ๋องซู่อยู่บ่อยครั้ง!”“สายลับบอกว่า พลังของสตรีผู้นี้น่าจะสูงกว่าอ๋องซู่เสียอีก นางมีนามว่าเจี่ยงชิง ได้ยินว่าได้รับความไว้วางใจจากอ๋องซู่อย่างมากทีเดียวขอรับ!”เจี่ยงชิง?ชื่อนี้เป็นได้ทั้งบุรุษและสตรี เซียวหลินเทียนฟังแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นพลังสูงกว่าอ๋องซู่ เช่นนั้นมิใช่ว่าอาจเท่ากับตน หรืออาจถึงขั้นเหนือกว่าตนไปแล้วหรอกหรือ?“ท่านอู่ อ๋องซู่มีกองกำลังอยู่บนยอดเขาเกาหลิ่ง กองกำลังนี้ฝึกฝนกันบ่อยยิ่งนัก ได้ยินมาว่าที่ยอดเขาเกาหลิ่งก็มีการคุ้มกันเข้มงวดด้วยขอรับ!”ลู่ปินเอ่ย “ข้าน้อยให้สายลับไปตรวจสอบกองกำลังบนยอดเขาเกาหลิ่งที่ว่านี้แล้ว อีกมินานก็น่าจะได้ข่าวคราวมาขอรับ!”หลิงอวี๋ฟังอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินเรื่องเจี่ยงชิงสตรีที่อยู่ข้างกายของอ๋องซู่ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาหยางรั่วหลานกับอ๋องซู่ต่างก็ตกลงเรื่องการอภิเษกสมรสแล้ว อีกมินานก็จะแต่ง
ครั้นแม่นางพานได้ยินว่าชีวิตของพานเจี้ยนปลอดภัยแล้ว ก็ตื้นตันจนน้ำตาคลอยิ่งได้ฟังว่าใบหน้าของพานเจี้ยนเพียงแค่ดูแลรักษาอย่างถูกวิธี ในภายภาคหน้าก็จะมิทิ้งรอยแผลเป็นที่น่าเกลียดไว้ นางก็ยิ่งตื้นตันใจอย่างหาที่สุดมิได้ ทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้น“ฮูหยินอู่เปรียบประดุจพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดใหม่แก่เจี้ยนเอ๋อร์ของข้า ครอบครัวเราซาบซึ้งในบุญคุณอย่างหาที่สุดมิได้!”“ฮูหยินอู่ ข้าขอโขกศีรษะคารวะท่าน ขอบคุณ... ขอบคุณ...”พานหลิงรีบคุกเข่าตามลงไป มิทันที่หลิงอวี๋จะได้เอ่ยปากห้าม นางก็โขกศีรษะลงกับพื้นติดต่อกันหลายครั้ง“ฮูหยินอู่ ข้าขอโขกศีรษะขอบคุณแทนพี่ชายของข้าเจ้าค่ะ ขอบคุณ! ขอบคุณ!”หลิงหว่านและหลิงอวี๋รีบเข้าไปประคองคนทั้งสองให้ลุกขึ้นมาคนละข้างเถ้าแก่พานเองก็ซาบซึ้งจนน้ำตารื้นยามที่พานเจี้ยนถูกส่งกลับมาเมื่อกลางดึก เถ้าแก่พานเห็นสภาพเลือดเนื้อแหลกเหลวของบุตรชายก็สิ้นหวังแล้ว ไหนเลยจะคาดคิดว่าพานเจี้ยนจะมีวาสนาได้พบปาฏิหาริย์รอดชีวิตมาได้!“น้องหญิง เข้าไปดูข้างในก่อนเถิด!”เถ้าแก่พานเป็นห่วงบุตรชาย จึงประคองแม่นางพานเดินเข้าไปด้านในเมื่อเห็นพานเจี้ยนนอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าพันแผลพัน







