หลิงอวี๋คิดเพียงเล็กน้อยก็ส่ายหัวแล้วเอ่ยออกมา “หม่อมฉันคิดว่ามิน่าจะมีกับดักอีกเพคะ!”“ท่านเห็นประตูด้านนอกหรือไม่? หากมิใช่ความบังเอิญที่หม่อมฉันครอบครองปิ่นนกกระเรียนอยู่ พวกเราไม่มีทางเปิดประตูสองบานนั้นได้หรอกเพคะ!”“มิรู้ว่าผู้ใดเป็นผู้สร้างที่นี่ขึ้นมา แต่เขาสร้างตำหนักใต้ดินแห่งนี้ด้วยเจตนาดี ผู้ที่สามารถเข้ามาได้ย่อมมีชะตาต้องกันกับเขา เขาน่าจะมิคิดร้ายกับพวกเราเพคะ!”“เซียวหลินเทียน ไม่มีเวลาแล้ว รีบไปเถิด จำไว้ด้วยเถิดเพคะ มิว่าจะเห็นอะไรด้านใน ก็จะต้องออกไปภายในครึ่งชั่วยามให้จงได้!”เซียวหลินเทียนคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลเช่นกัน เจ้าของตำหนักใต้ดินเปิดประตูไว้แล้ว เวลาที่นาฬิกาทรายนี้กำหนดไว้ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตาม บางทีนี่อาจจะเป็นกับดักที่แท้จริงของเจ้าของตำหนักใต้ดินก็เป็นได้“อืม เช่นนั้นเจ้าก็ระวังด้วย!”เซียวหลินเทียนกับหลิงอวี๋สบตากัน ก่อนจะแยกย้ายกันไปในสิบสองนักษัตรนับปีชวดเป็นตัวแรก เซียวหลินเทียนจึงเดินเข้าไปทางประตูของปีชวดก่อนโดยมิลังเลเมื่อผลักประตูหนัก ๆ บานนั้นไป เซียวหลินเทียนก็เห็นชั้นวางของเรียงรายอยู่ ซึ่งบนนั้นเต็มไปด้วยตำราเซียวหลิ
ฉากที่ทำให้เซียวหลินเทียนและหลิงอวี๋ต้องตกตะลึงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาพลันปรากฏว่าไข่มุกเม็ดนั้นได้ฝังเข้าไปในดวงตาของมังกรอย่างมั่นคง ในทันใดนั้นเอง มังกรที่ขดตัวอยู่เหนือประตูเหล็กทั้งสองบานก็พลันมีชีวิตขึ้นมาทั่วทั้งร่างของมังกรเปล่งประกายแสงสีทองออกมา ทำให้เกล็ดที่แกะสลักไว้บนนั้นดูราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมา แสงสีทองเหล่านี้สาดกระจายออกไป ส่องกระทบลงบนอักขระเร้นลับบนประตูเหล็กอักขระเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมาเช่นกัน อักขระและภาพวาดต่าง ๆ พลันปรากฏขึ้นต่อหน้าคนทั้งสองเซียวหลินเทียนเห็นอักขระเหล่านั้นราวกับกำลังเคลื่อนไหว เมื่อเพ่งมองอย่างตั้งใจก็พบว่าเป็นกระบวนท่าวรยุทธ์นับมิถ้วน มีทั้งเพลงกระบี่ เพลงมวย เพลงทวนและอื่น ๆ อีกมากมายเซียวหลินเทียนมิสนใจกระบวนท่าวรยุทธ์อื่น ๆ เขามุ่งความสนใจไปที่เพลงกระบี่เพียงอย่างเดียว เขารวบรวมสมาธิ มิกล้าแม้แต่จะกะพริบตา พยายามจดจำเพลงกระบี่เหล่านั้นอย่างสุดชีวิตในขณะที่หลิงอวี๋มองไปที่ตัวอักษรเหล่านั้นตัวอักษรเหล่านี้เป็นเหมือนสารานุกรมขนาดใหญ่ที่บันทึกความรู้ในทุกสาขาอาชีพ ทั้งการเกษตร การค้า การแพทย์และอื่น ๆหลิงอวี๋เองก
อีกทั้งร่างเดิมนั้นก็ครอบครองหยกหล้าสุขาวดีอยู่แล้ว ในชะตาลิขิตจึงได้ยอมรับในตัวของหลิงอวี๋หากจะกล่าวให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก หลิงอวี๋ทั้งสองคนอาจจะเป็นคนคนเดียวกัน พวกนางเพียงแค่หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์โดยผ่านหยกหล้าสุขาวดีแน่นอนว่าเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้เซียวหลินเทียนย่อมมิอาจเข้าใจได้ในทันทีแต่เขาเคยได้ประจักษ์ถึงการมีอยู่ของแดนเทพ ทั้งยังได้เห็นกับตาว่าตนสามารถเดินทางข้ามสองแผ่นดินได้ในพริบตา การจะยอมรับเรื่องนี้จึงมิใช่เรื่องยากเลยเซียวหลินเทียนมิสนใจว่าหลิงอวี๋ที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นดวงวิญญาณหรือไม่ เขาสามารถสัมผัสถึงตัวตนของนางได้อย่างแท้จริง และมิว่านางจะเป็นใคร นางก็มิเคยมีเจตนาร้ายต่อเขาคนที่เขารักก็คือหลิงอวี๋ผู้นี้ มิใช่ใครอื่น!“อาอวี๋!”เซียวหลินเทียนโอบกอดหลิงอวี๋ไว้ พลางกล่าวอย่างจริงใจว่า “มิว่าเจ้าจะเป็นใคร เจ้าก็คือคนที่ข้ารัก!”“ข้าโชคดีเหลือเกินที่สวรรค์ส่งเจ้ามาอยู่เคียงข้าง ทำให้ข้าได้มีเจ้า!”เซียวหลินเทียนแนบหน้าผากของตนเข้ากับหน้าผากของหลิงอวี๋เขารู้สึกว่าตนเองโชคดีมากจริง ๆในขณะนี้ เซียวหลินเทียนนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหล
เมื่อหลิงอวี๋คิดตามแนวทางนี้ต่อไป ก็พลันนึกถึงหยกหล้าสุขาวดีที่อยู่กับตัวนางขึ้นมาสิ่งของที่แม่นมอูมิจำเป็นต้องเอ่ยเตือน แต่นางก็มีอยู่กับตัว นั่นก็คือหยกหล้าสุขาวดีหลิงอวี๋พลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แม่นมอูกับหลานฮุ่ยจวนมารดาของนางเป็นสหายสนิทที่รู้ใจกันที่สุดนั่นอาจหมายความว่า หลานฮุ่ยจวนเองก็ล่วงรู้ความลับบางอย่างของแม่นมอู หลิงอวี๋คิดพลางนึกไปถึงกล่องเหล็กใบหนึ่งที่เคยค้นพบในสระน้ำของมิติหยกหล้าสุขาวดีตอนนั้นนางได้พบคัมภีร์ฝึกพลังวิญญาณและตำราแพทย์บางเล่มอยู่ข้างใน หลังจากนั้นนางก็มิได้สำรวจกล่องเหล็กใบนี้อีกเลยบางทีกล่องเหล็กใบนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับประตูบานนี้ก็เป็นได้เมื่อคิดได้ดังนั้น จิตของหลิงอวี๋ก็เข้าสู่มิติในทันทีหลังจากค้นหาอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็พบกล่องเหล็กใบที่เคยเก็บไว้นางนำมันออกมาพิจารณาอย่างละเอียดจึงได้พบว่าบนฝาด้านใน และใต้ก้นกล่องมีอักขระอาคมที่คล้ายคลึงกับบนประตูเหล็กปรากฏอยู่ขณะเดียวกัน หลิงอวี๋ก็เห็นปิ่นปักผมรูปนกกระเรียนของหลานฮุ่ยจวนที่นางเก็บไว้ในกล่องเหล็กด้วยในใจของหลิงอวี๋พลันเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา นางจึงหยิบปิ่นปักผมรูปนกก
ในตอนนั้นหลิงอวี๋กำลังติดอยู่ในห้วงสติของหยกหล้าสุขาวดี จึงมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัวเมื่อเห็นแววตาที่มืดครึ้มลงในทันใดของเซียวหลินเทียน หัวใจของนางก็พลันกระตุกวูบ“เซียวหลินเทียน เกิดเรื่องอะไรที่หม่อมฉันมิรู้ขึ้นหรือ?”เซียวหลินเทียนคิดว่ามิช้าก็เร็วหลิงอวี้ก็ต้องล่วงรู้เรื่องนี้อยู่ดี เขาจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่ตนประมือกับหลงหมิงในยามนั้นออกมาเขากล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า “ตอนนั้นข้ากำลังรับมือกับแส้เพลิงแดงของหลงหมิง เย่หรงก็พุ่งออกมารับฝ่ามือนั้นแทนข้า เขาจึงถูกพลังของหลงหมิงซัดกระเด็นตกหน้าผาไป!”“หลงเพ่ยเพ่ยก็กระโดดตามลงไป!”หัวใจของหลิงอวี๋พลันจมดิ่ง ยอดเขาเฟยหวงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นถึงเพียงนั้น การที่เย่หรงกับหลงเพ่ยเพ่ยตกลงไปจากหน้าผาเช่นนี้ จะยังมีทางรอดอีกหรือ?แต่แล้วในทันใดนั้น หลิงอวี๋ก็นึกถึงลูกแก้ววิญญาณที่เย่ซงเฉิงมอบให้แก่เย่หรงก่อนหน้านี้เย่หรงยังไม่มีโอกาสได้ใช้ลูกแก้ววิญญาณเลย เมื่อตกลงไปจากหน้าผา ด้วยความหลักแหลมของเขา มีหรือจะนึกถึงการใช้มันมิทัน!“อย่าได้กังวลไปเลยเพคะ เย่หรงมีลูกแก้ววิญญาณที่ท่านปู่เย่ซงเฉิงให้ไว้ เขาจะมิเป็นอะไรแน่นอน!”หลิงอวี๋
“อาอวี๋...อาอวี๋…”เซียวหลินเทียนจุมพิตเส้นผมของนาง เรียกชื่อของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างมิอยากจะเชื่อการรอคอยอันยาวนานเช่นนี้ เขาหลงลืมไปแล้วว่าตนเองผ่านมาได้อย่างไร!เขาเคยคิดว่า ตนจะต้องยอมรับหลิงอวี๋ที่ลืมเขาไปแล้วไปตลอดชีวิต แต่กลับมิคิดว่าสวรรค์จะเมตตาส่งนางกลับมาให้เขาอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน“หม่อมฉันอยู่นี่!”“หม่อมฉันอยู่นี่!”หลิงอวี๋ก็ตอบสนองอย่างมิลังเล นางกล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า “หม่อมฉันจะไม่มีวันจากไปอีกแล้ว!”นางจะไม่มีวันยอมให้ใครมาพรากความทรงจำของนางไปอีก!นางจะจดจำผู้คนอันเป็นที่รักเหล่านี้ไว้ในใจไปชั่วชีวิตนางจะสลักทุกเรื่องราวที่พวกเขาเคยเผชิญร่วมกันครั้งแล้วครั้งเล่าไว้ในใจ!หลิงอวี๋ประทับจูบลงบนริมฝีปากของเซียวหลินเทียน ริมฝีปากและลิ้นที่พัวพัน ราวกับโชคชะตาของพวกเขาทั้งสองที่ผูกพันอยู่ด้วยกันหลังจากผ่านพ้นความทุกข์ยากเหล่านี้มาได้ การได้โอบกอดและจุมพิตกันเช่นนี้ยิ่งล้ำค่าหาใดเปรียบเซียวหลินเทียนถอนหายใจอย่างเปี่ยมสุข นี่คือความจริง!เขามิได้ฝันไป!ทั้งสองจุมพิตกันและกัน ลืมเลือนทุกสิ่งรอบกายไปจนหมดสิ้นราวกับว่าระหว่างฟ้ากับดิน มีเพียงแค่พวกเขาสองคน