ม่านอวี้อันจะไม่ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับลูกชายเธอเด็ดขาด เมื่อตั้งมั่นจะเช่นนั้น ภายในห้องครัวจึงมีงานล้นมือ!
ทว่าเมื่อลงมือเข้าครัวกันจริงจัง เซียงเจียวกลับเป็นเด็กที่มีแต่ความน่ารัก เขาพูดเก่ง ขี้อ้อน และสิ่งที่ทำให้ม่านอวี้อันผิดคาดคือ เขาค่อนข้างขี้เกียจ นิสัยแบบนี้หากไม่คอยสอนหรือควบคุมให้ดี โตไปเขาต้องเป็นหนุ่มหล่อที่แผลงฤทธิ์ให้คนเอือมระอาแน่ ๆ ส่วนผิงกั่วของเธอ ไม่ว่าจะบอกให้ปอกกล้วย ร่อนแป้ง หรือนั่งรอนิ่ง ๆ เขาก็ไม่ส่งเสียงบ่น และยังทำงานของตนได้ดีอย่างที่ผู้ใหญ่แบบเยว่จือเทียบไม่ติด
“คนเก่งของแม่”
เธอชมผิงกั่ว และเขาก็ยิ้มเขินอายตอบ ลูกชายคนโตช่างเป็นสุภาพบุรุษแสนน่ารัก พอได้ยินแม่ชมพี่ชาย เซียงเจียวจึงหน้าง้ำหน้างอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ส่งเสียงประท้วง
“เอ ผิงเกอรู้ไหม เวลาเข้าครัวถ้าทำหบ้าบูดบึ้ง วันนั้นจะกินข้าวไม่อร่อย และยังท้องเสียด้วย” ม่านอวี้อันเอ่ย แน่นอนว่าผิงกั่วเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย เขาเลยพยายามยิ้มกว้าง แต่ภาพที่เห็นดูเหมือนอยากร้องไห้มากกว่า
“ผะ ผิงยิ้มเป็น” ผิงกั่วเอ่ย ท่าทางเขาประหม่ามิน้อย
“ใช่ลูกรัก แม่เห็นแล้ว” ม่านอวี้อันหัวเราะ เยว่จือที่ใช้ไข่ไก่ต้มประคบรอยช้ำที่แก้มพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนคนที่หน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่ก่อนหน้านี้ก็ยิงฟันให้ม่านอวี้อัน ก่อนทำเสียงหึ ๆ ๆ เลียนแบบตัวร้ายในทีวี ซึ่งเป็นนักมวยปล้ำที่เขาชอบมาก
เซียงเจียวร้ายได้ใครนะ ม่านอวี้อันพยายามนึก ก่อนจะโทษไปถึงคนเป็นบิดาของเด็กชาย แจ็คสัน หยวน บุรุษผู้นี้ช่างดูลึกลับ และแน่นอนว่าตอนนี้ในหัวสมองเธอไม่มีภาพของเขาหลงเหลืออยู่ ดูเหมือนเจ้าของร่างจะไม่ใช่แค่ชิงชัง ทว่าคงจะเจ็บปวดกับผู้ชายอย่างเขามาก
“ตายไปซะได้ก็ดี!” ม่านอวี้อันหลุดคำพูดนั้นออกมา ทำให้ทุกคนหยุดมองเธออย่างสงสัย หญิงสาวเลยรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เจียวเกอ ไม่อยากกินอาหารอร่อยฝีมือแม่เหรอ อันนี้เขาเรียกว่าไข่ข้นลาวาแสนนุ่ม แม่ผัดด้วยเนย ใส่เกลือนิดหน่อย มีพริกไทยขาวและต้นหอมซอยโรย แล้วยังมีมันฝรั่งบดที่กินแล้วเจียวเกอต้องชอบแน่ ๆ และแม่ยังแบ่งมันฝรั่งส่วนหนึ่งไปเฟรนช์ฟรายส์ทอดกินแบบร้อน ๆ เลย ลูกรู้ไหมว่าเวลาจิ้มกินกับซอสมะเขือเทศ มันจะเด็ดสะระตี่จนต้องเลียนิ้วมือ”
เซียงเจียวฟังแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม เขาชอบที่แม่เล่า และอยากจะกินมันไว ๆ “น้องจะช่วยแม่ทำครัว”
ในที่สุดลูกชายคนเล็กก็ยอมร่วมมือ พร้อมสลัดความขี้เกียจทิ้งไป
เมื่อทำไข่ข้นและมันฝรั่งบดเสร็จ ก็เกิดเสียงดังล้งเล้งที่ด้านหน้าบ้านในส่วนที่ทำเป็นร้านอาหาร
“ใครมาตะโกนหน้าบ้านเสี่ยวจือ”
เยว่จือซึ่งคุ้นเคยเสียงนั้นดีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ก่อนเอ่ยว่า
“เดี๋ยวหนูไปดูค่ะ มาดาม”
แต่ม่านอวี้อันไม่ปล่อยให้เด็กสาวไปคนเดียว เธอปิดเตาแก๊ส เช็กเตาอบซึ่งตอนนั้นเค้กกล้วยหอมเสร็จเรียบร้อยพอดี จึงยกออกจากเตานำมาพักบนตะแกรงสแตนเลสข้างนอก
เค้กกล้วยหอมนอกจากหน้าตาดีแล้ว กลิ่นยังลอยฟุ้งอบอวลชวนให้น้ำลายไหล เรียกได้ว่า ทั้งสองแฝด และเยว่จือ ต่างทำตาโต อยากกินจนเธอต้องทำเสียงดุ
“มันยังร้อนอยู่ อีกอย่างนี่คือของดีที่เราจะใช้ล่อเหยื่อ เรียกอาหารอื่น ๆ มาที่บ้านหลังนี้!”
จากนั้นม่านอวี้อันก็สั่งให้ผิงกั่วพาเซียงเจียวไปรอที่ห้องนั่งเล่นซึ่งติดกับห้องนอนพวกเขา พร้อมกำชับว่าหากเธอไม่เรียก เด็ก ๆ ทั้งสองคนห้ามออกมาจากที่นั่นเด็ดขาด
ประตูเหล็กเลื่อนเปิดออกทำให้เกิดเสียงดังน่ารำคาญพอ ๆ กับเสียงโวยวายจากด้านนอก ภาพแรกที่ม่านอวี้อันเห็นคือ สตรีวัยกลางคน อายุคงราว ๆ ห้าสิบกว่าปี
ยามนั้นเยว่จือเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก เธอพยายามออกมายืนอยู่ข้างหน้าม่านอวี้อัน แต่ก็มีอาการกล้า ๆ กลัว ๆ จนน่าสงสาร
“ป้าลี่ มีเรื่องอะไรหรือจ๊ะ” เมื่อเยว่จือคลำหาเสียงตัวเองพบก็ถามไถ่อีกฝ่าย
“หน็อย นังเด็กเหลือขอ ยังกล้าเรียกฉันว่าป้าอีกเหรอ แล้วคุณนายอันของแกก็เหมือนกัน มุดหัวอยู่ในบ้านสี่ห้าวัน แหม แกล้งทำเป็นสำออย อยากให้ลูกชายฉันวิ่งเต้นตามหมอให้สินะ มารยาชั้นต่ำอย่างกับละครรักดอกไม้โรยที่ฉายช่วงกลางวัน พวกเธอทั้งนายทั้งบ่าวมีดีตรงไหนหา ถึงกล้าคิดอยากให้คนอื่นเขาดูแล”
ลี่ฮุ่ยสาดคำพูดร้ายกาจราวกับปากของเธอมีของเน่าและหนอนตัวเป้ง ๆ อยู่ในนั้นจนม่านอวี้อันเกือบเหลืออด เธอกำหมัดแน่น พยายามข่มใจที่เดือดเอาไว้ อย่างไรเธอก็ต้องฉลาดให้มาก ด้วยจำเป็นต้องรู้ว่าที่ผ่านมาเยว่จือกับนายของเธอรับมือกับคนที่มาหาเรื่องอย่างไร
“พูดอะไรเกรงใจกันบ้างนะป้าลี่ อีกอย่างเป็นเพราะเฮียข่ายเขามีจิตใจดี ชอบแบ่งปันหนูกับคุณผู้หญิง เอ่อ มาดามอันต่างหาก”
ขณะเดียวกันลี่ฮุ่ยก็นึกว่าตนเองหูฝาด นอกจากเยว่จือจะกล้าต่อปากต่อคำกับตนราวกับมีใครหนุนหลัง เด็กสาวยังเรียกม่านอวี้อันว่า ‘มาดาม’ ผับผ่า นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“นี่คงป่วยหนักทั้งนายและขี้ข้าสินะ ถึงพูดจาพิลึกหูอย่างนี้” ลี่ฮุ่ยยังไม่หยุดล้งเล้งเสียงดัง ก่อนกวาดตามองหน้าของเยว่จือ
“แล้วนั่น หน้าแกไปโดนอะไรมาฮึ” ลี่ฮุ่ยจ้องใบหน้าแดงช้ำที่ตอนนี้เริ่มเขียวขึ้นของเยว่จือ ซึ่งอันที่จริง ช่วงที่ทำงานในครัว ม่านอวี้อันก็ให้เด็กสาวประคบไข่ต้มแล้ว
“หูหนวกรึ ป้าถามว่าหน้าแกไปโดนใครตบมา!”
ม่านอวี้อันทนฟังคนพูดจาไม่เข้าหูนานเกินไปแล้ว เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า
“เอ่อ... ป้าลี่ ฉันไม่ค่อยสบาย ตอนนี้ลูกรอกินข้าวอยู่ หากไม่มีธุระอะไร ฉันขอตัวก่อน”
“ต๊าย คุณนายอัน เปิดปากพูดเป็นแล้วรึ ป้านึกว่าที่ผ่านมาเธอกลัวทองจะร่วงจากปากเสียอีก เห็นกันมาสามสี่ปี นี่คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ส่งเสียงตอบโต้ป้าเกินห้าคำ!”
ลี่ฮุ่ยเล่นใหญ่เล่นโต เธอคงไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือผู้หญิงเลือดร้อนและพร้อมบวกแบบจัดหนัก
“แล้วป้าลี่ล่ะ ยืนตะโกนป่าว ๆ อย่างนี้ ทำเหมือนฉันกับเย่วจือไปสร้างความเดือดร้อนให้”
“โอ๊ย เดือดร้อนสิ นี่ถ้าลูกชายป้าอยู่บ้าน คงวิ่งเต้นหาหมอมารักษาเธอแล้ว และไหนจะของกินของใช้อีก คอยแอบเอามาให้กันยามกลางค่ำกลางคืน เธอน่ะหัดเจียมตัวเสียบ้าง ลูกก็มีแล้ว หากไม่อายคนอื่นก็เห็นแก่ผมหงอกบนหัวฉันสักหน่อยเถอะ วัน ๆ คิดแต่จะให้ท่าทอดสะพานให้ลูกชายฉันอยู่ตลอด เห็นแล้วขัดหูขัดตาจริง ๆ”
ในที่สุดม่านอวี้อันก็รับรู้ความในใจของลี่ฮุ่ย อีกฝ่ายคงเป็นนางสิงห์หวงลูกชาย และ ‘อาข่าย’ หรือเจิ้งข่ายคงมีใจให้เจ้าของร่างนี้ไม่น้อย
“เรื่องหัวใจห้ามกันไม่ได้นะป้าลี่ ใครจะรักจะชอบกัน หรือแม้แต่เกลียดชัง ก็คงต้องปล่อยกันไป แล้วถ้ามีเรื่องอยากระบายแค่นี้ ฉันไม่ว่างรับฟัง!” ม่านอวี้อันเอ่ยจบ ก็ดึงแขนเยว่จือที่ยังยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นให้เข้าบ้าน แต่เป็นลี่ฮุ่ยที่เอ่ยขัดเสียก่อน
“ฮึ ป้าจะบอกอะไรให้ ตอนนี้อาข่าย เขาไม่อยู่ร้านหรอก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็กลัวผิงเกอกับเจียวเกอจะถูกเธอตบตี หรือไม่คงเอาไปขายให้แก๊งมังกรซิ่ง จึงขอร้องให้ฉันมาสอดส่องอยู่บ่อย ๆ”
ลูกหมาหลงทาง ในห้องครัวที่เพิ่งอบขนมปังเสร็จใหม่ๆ ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ทำให้ความอยากอาหารเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว “อาหารกลางวันของเด็กหรือคะมาดาม” เยว่จือถาม และมองขนมปังผสมมันฝรั่งบดตรงหน้าที่ม่านอวี้อันพึ่งอบเสร็จใหม่ๆ มันหอมจัด พออีกฝ่ายฉีกขนมปังส่งให้ เด็กสาวก็ยิ้มขอบคุณ เมื่อกัดคำแรก เธอจึงเอ่ยว่า “นุ่มและอร่อยที่สุดเลยค่ะ ขนมปังแบบนี้มาดามจะทำเป็นอาหารกลางวันเด็กๆ หรือคะ” “น่าจะเป็นส่วนหนึ่งในมื้ออาหาร ฉันอยากทำเป็นเบอร์เกอร์ไก่ มีสลัดผักง่ายๆ และขนมกินเล่นสักอย่าง” “แต่เด็กในโรงเรียนสมาคมบางคน มาจากครอบครัวฐานะยากจน อาหารกลางวันคืออาหารเช้า หลายคนเก็บไปกินมื้อเย็นด้วย” ม่านอวี้อันได้ยินแบบนั้นก็ใจหาย ฐานะเธอในโลกที่จากมามีเงินมีทองเหลือใช้ไปสามชาติ กระนั้นก่อนย้ายมาอยู่กับบิดา มีช่วงหนึ่งที่แม่อาศัยอยู่กับคุณตาซึ่งทำร้านเช่าวีดีโอ ถึงไม่ร่ำรวย หากเป็นช่วงที่อบอุ่นและมีความสุขที่สุดในชีวิต ซึ่งเธอเรียนรู้การทำอาหารจากตาและยาย กินข้าวพร้อมครอบครัว ทั้งแบ่งปันผู้อื่นที่ยากลำบาก “จำได้ว่าหนูเคยเห็นไซซีขายหมากคนหนึ่ง มีลูกหลายคน เด็กพวก
ติดกระดุมเม็ดแรกผิด ก่อนงานเลี้ยงต้อนรับม่านอวี้อัน ไห่ถังมาพร้อมเจ้าอิง ทั้งคู่มีสีหน้าเครียดจัด จากนั้นไห่ถังจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณนายอัน อั๊วเห็นว่าเธอทำอาหารพอใช้ และช่วงนี้ยังไม่เปิดร้าน” ไห่ถังกล่าว และลดน้ำเสียงไม่ให้น่าหมั่นไส้จนเกินไป หญิงสาวมองไห่ถังพร้อมพรรคพวกที่มากับเขา และกวาดตาไล่สำรวจทีละคนเพื่อประเมินสถานการณ์ แจ็คสันที่ดูแลสองแฝดอยู่เตรียมก้าวมาช่วยไกล่เกลี่ย ทว่าม่านอวี้อันยกมือห้าม ส่งสัญญาณให้เขาดูแลลูกจะดีกว่า ด้วยเขาใจร้อน อาจไม่ทันได้คุยเรื่องใดอาจเกิดการปะทะเสียก่อน “มีเรื่องอะไรล่ะ ถ้าจะมาคิดบัญชีที่ค้าง ไม่ต้องห่วงหรอกนะ อีกไม่นานฉันจ่ายครบทุกเหรียญแน่นอน แต่หนนี้ฝากบอกคุณเหวินทำหนังสือยอมรับการใช้หนี้ของฉันให้เรียบร้อยด้วย และสำหรับที่แล้วมา ฉันยอมรับว่าพลาดไปหลายสิ่ง แต่ต่อไปอย่าได้คิดจะลักไก่กันได้ง่ายๆ อีก” ไห่ถังพ่นลมหายใจร้อนๆ ระบายความอึดอัดใจ เหวินเฉียงมีคำสั่งว่า ยามนี้เขาไม่ต้องการเงินจากม่านอวี้อัน แต่ให้หาวิธีบีบเธอเพื่อจะเอาที่ดินของร้านอาหารแห่งนี้ให้ได้มากกว่า “คุณเหวิน อยากให้เธอ ช่วยคิ
ขอเป็นเหล่ากงของอาหมวย ลี่ฮุ่ยไม่ได้อยากรีดไถ่เงินแจ็คสัน แต่หล่อนยื่นคำขาดว่า ยามนี้อีกฝ่ายคือลูกสาวบุญธรรมของตน ฉะนั้นหากอยากได้ม่านอวี้อันเป็นภรรยา เขาต้องแสดงให้ประจักษ์ว่า เป็นผู้ชายที่สามารถพึงพาและดูแลเธอกับสองฝาแฝดได้ “เงินทอง ฉันไม่ติดขัดหรอก แต่คุณต้องมีหลักประกันที่มั่นคง ให้อันเอ๋อร์” หญิงวัยกลางคนเรียกม่านอวี้อันราวกับเป็นลูกสาวของตนที่เบ่งคลอดออกมาเสียอย่างนั้น พลอยให้เจ้าตัวที่ฟังอยู่ รู้สึกปลื้มปิติ “เอ่อ..ปะ ป้า...ไม่ใช่สิ แม่บุญธรรม” ม่านอวี้อันเอ่ยอย่างนั้น ลี่ฮุ่ยจึงยกมือขึ้นห้ามและบอกว่า “เรียกแม่ก็แม่สิ ทำไมต้องมีอะไรต่อท้ายด้วย” “อย่างไร ฉันกับแจ็คสัน ก็ไม่ใช่เด็กด้วยกันทั้งคู่ แม่...ก็ผ่อนปรนเขาบ้าง อีกอย่างสองแฝดเป็นเขาเลี้ยงดูมาระยะหนึ่งแล้ว และอาจดูแลได้ดีกว่าฉันเสียอีก แม่ก็เห็นนี่นา” ลี่ฮุ่ยส่ายหน้า และกล่าวขึ้น “ถึงจะรู้จะเห็นอย่างนั้น แต่ฉันมีลูกสาวคนสวย แถมหลานชายทั้งสองยังว่านอนสอนง่าย ในอนาคตยังจะมี เด็กๆ อีกกี่คนก็ไม่รู้ที่จะคลานตามก้นกันมา อย่างไรต้องเชื่อมั่นว่า ลูกเขยคนนี้จริงใจมากพอ ผู้หญิงอ
มื้อนี้มีแต่ความรัก ม่านอวี้อันยังไม่ทันเดินไปถึงโต๊ะอาหาร เธอต้องจามเสียแล้ว และกลิ่นที่ได้รับคือกลิ่นไหม้ ซึ่งไม่ได้รุนแรง แต่คาดเดาได้ว่า อาหารคืนนี้คงไม่สบายท้องสักเท่าไหร่ “อาหมวยฉันตั้งใจทำสุดฝีมือเลยนะ” ดวงตากลมโตมองแจ็คสัน ก่อนเลื่อนสายตาไปยังลูกชายทั้งสองคน จากนั้นจึงเป็นอาหารบนโต๊ะ ซึ่งเธอมั่นใจว่าสิ่งที่กินได้คงเป็นไข่เจียวนั่นแหละ ส่วนข้าวต้มม่านอวี้อันยิ้มแหยๆ กลิ่นไหม้ตีขึ้นจมูก ส่วนไก่ทอดเธอต้องยกมือปิดปาก ไม่ว่าจะเป็นส่วนปีก น่องไก่ ต่างมีแป้งหนาบางส่วนเป็นสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ “น่องไก่ทั้งอวบทั้งใหญ่เลยนะ ฉันทำตามสูตรที่เขาบอกว่า ขายในร้านดังๆ เลย” ชายหนุ่มคงผสมแป้งหลายชนิดเข้าด้วยกัน และนำไข่มาชุปแล้วลงไปทอด ทว่าเขาคงชุปแป้งหลายรอบ ผลที่ออกมาเลยชิ้นใหญ่กว่าปกติ “กลัวฟันหักน่ะค่ะ แล้วนี่จะให้ผิงเกอ เจียวเกอ กินแบบนี้จริงๆ เหรอ” เมื่อเธอเอ่ยอย่างนั้นออกไป แจ็คสันจึงทำหัวคิ้วชนกัน ส่วนสองฝาแฝดก็เหมือนจะหัวใจสลายในตอนนั้น พลอยให้ม่านอวี้อันรู้สึกผิดขึ้นมา เธอปากไวเกินไป และตอนนี้ต้องหาวิธีแก้ไข “น้องช่วยปะ
สามพ่อครัว สองวันต่อมา แจ็คสันหัวหมุนหนัก นั่นเป็นเพราะเขาอยากเอาใจม่านอวี้อันและสองแฝด ตอนแรกเยว่จือตั้งใจช่วยในครัว แต่เขาประกาศอว่าคืนนี้ขอแสดงฝีมือเอง “อาหมวยเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ให้ฉันดูแลเธอดีกว่า...ส่วนเสี่ยวจือ คอยช่วยหยิบจับอะไรใกล้ๆ ดีแล้ว” “เอ มั่นใจหรือคะ อาหารเย็นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ” ชายหนุ่มยิ้มและตอบอย่างภูมิใจ “เชื่อมือพ่อบ้านเถอะ อย่างไรฉันก็มีอาหารขึ้นโต๊ะแน่ๆ” “รู้ไหม แม่บ้านเวลาโมโหหิวเป็นอย่างไร” แจ็คสันได้ยินแล้วก็ทำตัวสั่น เขาย่อมรู้เรื่องนั้นดี “อาหมวยก็จะกินฉันทั้งตัว โดยเฉพาะตรงนี้ ตรงนี้แล้วก็ตรงนี้” ม่านอวี้อันหรือจะทนฟังอีกฝ่ายได้ เธอเพิ่งออกจากโรงพยาบาลก็จริง เรี่ยวแรงไม่ค่อยมีหรอก แต่ความหมั่นไส้มากล้น จึงคว้าหมอนฟาดใส่ชายหนุ่มไปหลายที “นี่ถ้าฉันหายดีเมื่อไหร่ อย่าคิดนะคะว่าคุณจะ ยั่วโมโหแบบนี้ได้” “คนสวย รู้ไหม เขาว่าสามีภรรยายิ่งมีปากเสียงกัน ตกดึกก็จะขยันบอกรัก และทำการบ้านจนถึงรุ่งเช้าเลย” ม่านอวี้อันอับอายจัด ด้วยแจ็คสันเป็นคนลามก และหน้าด้านที่สุด
ฝากตัวเป็นลูกเขย ผิ่งกั่วหัวเราะและยิ้มตลอด และเสียงเขาสร้างความสุขให้ทุกคน นอกจากหัวเราะ เด็กชายยังร้องเพลงให้น้องชายเต้นด้วย ภาพคู่แฝดที่สนุกสนานเช่นนั้น ทำให้ผู้ใหญ่ต่างมีความสุข เรื่องซึ่งเหมือนจะบานปลายก่อนหน้าจึงคลี่คลายไปในทางที่ดี ซึ่งหลังขายของช่วยเยว่จือเรียบร้อย ผิงกั่วได้กระปุกออมสินใหม่ ถึงสองอัน มีเงินใส่เกือบเต็ม “ให้ผิง หยอด อะ เอง... พี่ไม่ต้องหยอด” ผิงกั่วบอกเจ้าอิง คนที่ซื้อออมสินใหม่ให้เขาคือไห่ถัง มันไม่ใช่รูปหมู หากเป็นรูปตู้โทรศัพท์สีแดง เด็กชายไม่ใช่คนเรื่องมาก ยิ่งรู้ว่าข้างในมีเงิน เขาก็พอใจ “เก็บไว้ซื้อชุดนักเรียน นะผิงเกอ” เจ้าอิงบอกเขา ผิงกั่วมองอีกฝ่าย และช่างใจอยู่ประเดี๋ยว จึงเอ่ยว่า “ขะ ของเจียวเกอด้วย ยะ ยังไม่มีเงิน” ไห่ถังได้ยินแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะห้าวใหญ่ ก่อนตอบว่า “อั๊วฝากเงินไว้กับเสี่ยวจือแล้ว เขาจะใส่ให้ลื้อและเจียวเกอ” เด็กชายพยักหน้ารับ แต่เซียงเจียวกลับถามว่า “นั่นมันเงินค่าปาท่องโก๋ไม่ใช่เหรอ” คราวนี้ทั้งโรส และลี่ฮุ่ยต้องผสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน ด้วย