“กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องดังประสานกันด้วยความตื่นตระหนก เมื่อร่างของหญิงสาวที่ทุกคนรู้จักดี ได้นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นหน้าโรงแรมชื่อดังของฮ่องกง“นั่นมัน คุณซือเถานี่”หนึ่งในคนที่ยืนตกตะลึงอยู่พูดขึ้น ทำให้ทุกสายตาเงยหน้ามองไปยังด้านบนอีกครั้ง นางร้ายระดับท๊อปทำไมถึงคิดสั้น กระโดดตึกลงมาแบบนี้ มีใครบ้างไม่รู้ว่านางร้ายหน้าสวยคนนี้ ร่ำรวยและมากด้วยฝีมือแค่ไหน ดูยังไงก็ไร้เหตุผลที่จะคิดสั้นฆ่าตัวตาย“เถาเถา! ทำไม! เธอทำไมคิดสั้นแบบนี้ ฮือ ๆ”อวี้จิ้นอิง นางเอกร่วมสังกัด ได้ถลามานั่งร้องไห้อยู่ไม่ห่างร่างที่จมอยู่กลางกองเลือด ทุกคนต่างรู้สึกเห็นใจนางเอกสาว ที่ต้องมาสูญเสียเพื่อนรักไป ครู่เดียวผู้จัดการของหญิงสาว ได้เข้ามาประคองอวี้จิ้นอิงออกไป เพื่อให้เจ้าหน้าที่ ได้เข้ามาจัดการกับร่างไร้วิญญาณของซือเถาข่าวนางร้ายเบอร์หนึ่งของฮ่องกงฆ่าตัวตาย เพราะติดยาจนแฟนหนุ่มขอแยกทางกลายเป็นข่าวดัง ทำให้เพื่อนสาวอย่างอวี้จิ้นอิงมีรายการทีวีมากมาย ติดต่อให้นางเอกสาวไปเปิดใจ เรื่องการสูญเสียเพื่อนรักมิติคู่ขนานถงลู่ลู่ลืมตาขึ้นช้าๆ หลังจากที่นั่งหลับตานิ่งมาครู่ใหญ่ ภาพที่เกิดขึ้นในอีกชีวิตได้ฉายชัดเ
เมื่อสิบกว่าปีก่อน ขบวนรถม้าเก่า ๆ ได้เดินทางออกจากเมืองหลวง โดยภายในรถม้ามีร่างกลมป้อมของเด็กหญิง ที่กำลังกอดกระชับร่างของเด็กชายวัยมิทันขวบดีเอาไว้แน่น น้ำตาไหลอาบสองพวงแก้มขาว ถงลู่ลู่ ไม่กล้าที่จะสะอื้นไห้เสียงดัง ด้วยเกรงว่าน้องน้อยในอ้อมแขนจะตื่นจากการหลับใหล แม้ว่านางยังเล็กอยู่มาก แต่นางเข้าใจความเป็นไปของสกุลขุนนางดี ว่าความริษยาและอำนาจคือสิ่งเย้ายวนที่แหลมคมกว่ากระบี่เสียอีก ซึ่งมารดาคอยพร่ำสอนนางตั้งแต่จำความได้ ว่าอย่าได้วางใจผู้ใดให้มาก ในยามใดที่ไร้มารดาปกป้อง และเวลานั้นช่างรวดเร็วกว่าที่นางจะคาดคิด เมื่อถงเจี้ยนหลางถือกำเนิดได้ไม่นาน แน่นอนในฐานลูกภรรยาเอก ถงเจี้ยนหลางคือทายาทผู้รั้งตำแหน่งประมุขสกุลคนต่อไป ถงลู่ลู่ กัดริมฝีปากแน่น เมื่อนึกถึงภาพที่มารดาสิ้นใจไปต่อหน้า โดยที่นางไม่อาจช่วยสิ่งใดได้ นอกจากแสร้งไม่รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางไม่เคยให้น้องชายได้ห่างกาย คนของมารดาถูกกำจัดจนสิ้น จะมีเหลือก็เพียงคนเลี้ยงม้าอย่างฉีเหอเท่านั้น ที่ถูกมองข้ามและยังรอดชีวิต หลังงานศพมารดาเพียงสิบวัน นางสองพี่น้อง
สิ้นคำของชายหนุ่ม ร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มได้ก้าวเข้าประชิดในทันที มือหนายืนไปสัมผัสร่างในอ้อมแขน ก่อนจะล่วงเข้าไปในอกเสื้อ ห่อผ้าขนาดไม่ใหญ่มากถูกนำออกมา ผู้ติดตามของเด็กหนุ่ม รีบเข้ามาช่วยถือห่อผ้า ทุกการกระทำของคนแปลกหน้า สร้างแววตาแห่งความหวังให้แก่ชายหนุ่ม จะมีเพียงเด็กหญิงเท่านั้น ที่ยังคงมีความหวาดระแวงอยู่มาก เพียงครู่เดียวเด็กหนุ่มได้หยิบขวดเล็ก ๆ ออกมา จากขวดที่มีอยู่หลายอัน ก่อนจะเปิดออก กลิ่นตัวยาล้ำค่าโชยเข้าจมูกของชายหนุ่ม แววตาแห่งความหวังฉายชัดขึ้นกว่าคราแรกหลายเท่าตัวนัก ถงลู่ลู่เองอยากที่จะขัดขวาง ทว่าอาการของน้องชายนั้น เป็นตายเท่ากัน เด็กหนุ่มบีบปากน้อย ๆ ให้อ้าออก ก่อนจะเทยาลงไปในปริมาณพอเหมาะ เด็กหนุ่มหันไปรับผ้าที่เปียกน้ำมาช่วยเช็ดตามใบหน้า ให้แก่เด็กชายตัวน้อย “เราไปนั่งใต้ร่มไม้นั่นก่อนจะดีกว่า อากาศจะได้ถ่ายเท มิอบอ้าวเช่นในรถม้า” เด็กหนุ่มชี้ไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่เวลานี้ถูกปูด้วยผ้าผืนใหญ่ โดยเบื้องล่างมีใบไม้รองจนหนานุ่มแล้วนั่นเอง ทั้งหมดก้าวไปยังใต้ร่มไม้ จากนั้นฉีเหอได้ทำการเช็ดเนื้อตัวให้แก่ค
‘นายหญิงคุ้มครองคุณหนูกับคุณชายด้วยขอรับ ฉีเหอจะมิทำให้นายหญิงต้องผิดหวังขอรับ’ สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือปกป้องนายทั้งสอง เพื่อที่จะพาทั้งคู่กลับไปยังบ้านเกิดของผู้เป็นนายหญิง ที่ตายจากไปแล้ว ‘เพียงความริษยาของสตรี ทำให้เกิดความสูญเสียมากมาย’ ชายหนุ่มมองไปยังคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาจำคนผู้นี้ได้เป็นอย่างดี ชัดเจนแล้วว่าผู้บุกรุกในคืนนี้ หาได้เป็นศัตรูของผู้มีพระคุณ แต่เป็นของนายน้อยทั้งสองของเขานั่นเอง “ข้าเพิ่งรู้ว่าเด็กเลี้ยงม้าของฮูหยินใหญ่ ถือดาบเป็นด้วย” น้ำเสียงที่หลุดออกจากปากของผู้มาเยือน ปนไปด้วยความเย้ยหยัน สำหรับเขาซึ่งเป็นนักฆ่ามือหนึ่ง หาได้ใส่ใจกับเด็กเลี้ยงม้าตรงหน้าแม้แต่น้อย เขาไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใด ผู้เป็นนายจึงได้ส่งเขามากำจัดแค่คนเลี้ยงม้ากับเด็กสองคน “ข้าจะทำสิ่งใดได้หรือไม่ ก็มิจำเป็นต้องรายงานคนเช่นเจ้า สุนัขย่อมสัตย์ซื่อต่อเจ้าของ จะลงมือต่อนายข้า ข้ามศพข้าไปให้ได้เสียก่อน” ฉีเหอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในสายตาเขาคนตรงหน้า หาได้ทำให้คนเช่นเขาหวั่นไหวแม้แต่น้อย บางทีมันคงถึงเวลาแล้วเช่นกัน ที่เขาจะสลัดครา
เวลาผ่านไปนานเท่าใดนางมิอาจรู้ได้ กับการนั่งมองคนที่ช่วยชีวิต หลับใหลอยู่เคียงข้างน้องชายของตนเอง รถม้าเคลื่อนเข้าสู่ตัวเมืองข้างหน้า เพื่อจะได้ทำการรักษาเด็กหนุ่ม ใบหน้าที่เคยหล่อเหลา บัดนี้มีรอยแผลหน้ารังเกียจพาดผ่าน มันคือความผิดของนางแต่ผู้เดียว “ความเขลาของพี่เอง ที่ทำให้เขาต้องเป็นเช่นนั้น” ถงลู่ลู่ พูดเหมือนคนกำลังละเมอ “พี่ใหญ่ ท่านยินยอมที่จะแต่งแก่เขา เพราะบุญคุณเช่นนั้นหรือขอรับ”ในที่สุดถงเจี้ยนหลางก็ถามออกมา เมื่อสิ้นสุดเรื่องราวจากปากของพี่สาว ซึ่งทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น เขาไม่เคยรับรู้มันมาก่อนเลย จะมีเพียงคำพูดจากฉีเหอ ที่คอยย้ำเตือนให้เขารู้ว่าในชีวิตนี้ อย่าได้วางใจผู้ใดนอกจากพี่สาวเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น “เด็กโง่ หากข้าไร้ใจ ไยข้าต้องเอาตัวไปผูกติดกับเขาด้วยเล่า” ถงลู่ลู่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ทว่าใบหน้างามพลันเห่อร้อนขึ้นมาบ้างแล้ว “ฮ่า ๆ ในที่สุดพี่สาวของข้าก็มีรักเสียที ข้านึกว่าชาตินี้ พี่ใหญ่จะไร้ไมตรีต่อบุรุษเสียแล้ว” เพี๊ยะ! มือนางตีลงไปยังท่อนแขนของน้องชาย เมื่อถูกล้อเรื่อง
“เพราะนางคือแม่ทัพ ทุกอย่างย่อมต้องมีเบื้องหลัง ลู่ลู่เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม แต่นางยังคงมีข้อผิดพลาดอยู่ นั้นคือความเชื่อมั่นในตนเองจนเกินไป นี่คือจุดที่นางจะพลาดให้กับเหล่าจิ้งจอกเฒ่า ใช้เป็นเครื่องมือ ส่วนอีกหนึ่งเหตุผล ที่ท่านพูดมาก็คิดได้ในอีกแง่มุมเช่นกัน นั่นคือนางกับบิดา อาจกำลังร่วมมือกันล่วงตาพวกเราก็เป็นได้ ทุกอย่างในโลกเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาเสมอ” ชายหนุ่มเองก็ยังคงหาข้อโต้แย้ง เพื่อมิให้ความเชื่อมั่นในใจ เป็นสิ่งชี้นำจนมากเกินไป เพราะหากมันไม่เป็นเช่นที่คิดเอาไว้ คนที่เจ็บปวดที่สุด คงนี้ไม่พ้นตัวเขานั่นเอง “กระหม่อมไม่เถียงในข้อนี้ บางทีลูกแกะน้อยในสายตาผู้อื่น อาจเป็นพยัคฆ์ตัวเมีย ที่รอเวลาตะครุบเหยื่อก็เป็นได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ชายชราพูดกลั้วหัวเราะ เมื่อผู้เป็นนายพยายามที่จะปกปิดความรู้สึกอันแท้จริง เขาเลี้ยงท่านอ๋องมากับมือ ย่อมรู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้า รู้สึกเช่นไรในตอนนี้ “หึ ๆ ความชราของท่าน ทำให้ดวงตาฝาฟางแล้วก็เป็นได้” กล่าวจบร่างสูงได้เดินตรงไปยังหน้าประตู เพื่อไปยังจุดหมายซึ่งก็คือหน้าจวน วันนี้เขาคงต้องไปพบนางสัก
“ท่านรู้แก่ใจดี ไยต้องให้ข้าสาธยายมันออกมาให้มากความด้วยเล่า เอาเป็นว่าน้ำชาบ่ายนี้ เชิญทุกคนตามสบาย ข้ากับเจี้ยนหลางขอตัว” ถงลู่ลู่จงใจปิดการสนทนา นางไม่ยินดีจะเสียเวลากับคนสกุลถง จึงได้ตัดบทเสียดื้อ ๆ “กำแหง!” ถงหยางตะคอกบุตรสาวคนโตเสียงลั่น เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า สิ่งที่ผ่านมาในอดีต จะทำให้บุตรสาวกลายเป็นอีกคนไปได้ ยิ่งกับถงเจี้ยนหลางแล้วด้วย เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับบุตรชายเลย “จะอย่างไร พี่สาวข้าก็เมตตาต่อบุตรสาวท่านมากนะ ที่ยินยอมแต่งเข้าจวนอ๋องอัปลักษณ์ผู้นั้น หรือท่านเสนาบดีอยากให้คุณหนูถงอี้หลิง แต่งแทนท่านพี่ของข้า หากต้องการเช่นนั้นก็ย่อมได้นะขอรับ ข้าล่ะเฝ้ารอคำนี้จากปากท่านเสนาบดียิ่งนัก” ถงเจี้ยนหลาง พูดขึ้นก่อนจะมองไปยังถงอี้หลิง พร้อมรอยยิ้มกว้างที่ดูเป็นธรรมดา ทว่ากลับแฝงไปด้วยอันตราย ใบหน้างามของถงอี้หลิงถึงกลับซีดเผือด นางมิคุ้นเคยกับน้องชายต่างมารดา จึงไม่อาจที่จะคาดเดาคำพูดของเขาได้เลย “จะ...เจ้า” ถงหยาง ทำได้เพียงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงติดขัด ทว่ามิกล้าที่จะต่อว่าบุตรชายนอกสายต
“ไม่! ท่านพี่”ถงเจี้ยนหลางตะโกนก้อง เมื่อภาพตรงหน้าเขา ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้นเลยก็ว่าได้ เพียงแต่เขาพ้นกองทัพของพี่สาวมายังด้านหลังได้เท่านั้น สายตาก็ปะทะเข้ากับภาพของพี่สาวต้องศรของศัตรู ฉึก! อึก! ตุบ! ถงลู่ลู่พลัดตกจากหลังม้า พร้อมมีลูกธนูปักอยู่บนไหล่ ความแรงและเร็วของลูกธนูนั้น ดูได้จากตอนนี้ หัวลูกศรโผล่ออกมาให้เห็น หญิงสาวขบกรามแน่น ก่อนจะลงมือหักหัวลูกศรออก แม้ว่าจะเจ็บเจียนตาย นางก็จะไม่ยินยอมให้ความรู้สึกเหล่านั้น มาอยู่เหนือหน้าที่ ถงลู่ลู่กระชับทวนในมือแน่น โดยไม่ได้สนใจกับเลือดสีแดงฉาน ที่กำลังไหลออกจากบาดแผล เวลาของนางมีไม่มากแล้ว อย่างไรก็ต้องเร่งจบศึกนี้ หากศีรษะแม่ทัพเช่นนางอยู่ในมือของศัตรู นั่นคือการประกาศถึงความพ่ายแพ้ของผู้คนทั้งแคว้น ต่อให้ต้องตายนางก็จะไม่มีวันมอบศีรษะนี้ให้แก่ผู้ใด ถงลู่ลู่มองไปยังศัตรูที่กำลังตรงใกล้เข้ามา โดยไม่ได้หันไปมองด้านหลังซึ่งเป็นทหารของนาง สิ่งที่หญิงสาวกระทำในตอนนี้คือสัญญาณห้ามหยุดทัพ แม้นางรู้ดีว่าเวลานี้ ทหารหลายคนของนางกำลังฝ่าฝืนคำสั่ง โดยการกลับมายืนข้างกายนาง “พวกเจ้ารู้โทษของการ
สกุลถงในค่ำคืนถัดมา ทุกคนภายในสกุลต่างเฝ้ารอการมาของแขกสำคัญ มื้อค่ำวันนี้ถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เพียงเพื่อเอาใจท่านอ๋องจ้าวเทียนหลงและพระชายา รวมถึงถงเจี้ยนหลางด้วยเช่นกัน “เรียนนายท่าน ท่านอ๋อง พระชายาและคุณชายรองมาถึงแล้วขอรับ”พ่อบ้านรีบเข้ามารายงานให้ผู้เป็นนายได้ทราบ ว่าเวลานี้แขกที่ทุกคนรอคอยได้มาถึงแล้ว “ออกไปกันได้แล้ว และจำไว้ห้ามทำให้ข้าเสียหน้า” ถงหยางเอ่ยกำชับทุกคน สมาชิกที่นั่งอยู่ภายในห้องต่างตอบรับประมุขของบ้าน ก่อนจะพากันออกไปยังหน้าจวน เพื่อตอนรับแขกคนสำคัญ ทางด้านจ้าวเทียนหลงนั้น เพียงก้าวลงจากรถม้า ความเรียบเฉยที่มีต่อภรรยาก็พลันเกิดขึ้น ซึ่งไม่ต่างอันใดกับถงลู่ลู่ สองสามีภรรยาดูไร้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีต่อกันยิ่งนัก ส่วนถงเจี้ยนหลาง ได้แต่ปรับสีหน้าเป็นปกติ ไม่ได้แสดงอาการใด ๆ ออกมาเช่นกัน เมื่อพี่เขยกับพี่สาวต้องการจะทำสิ่งใด ตัวเขาก็ทำตามนั้นอย่างไร้ซึ่งข้อโต้แย้ง “คารวะท่านพ่อตา”จ้าวเทียนหลงประสานมือให้แก่พ่อภรรยา ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะกลับมายืนในท่วงท่าสง่างามเช่นเดิม
แต่เพราะนี่คือคืนแรกของเขาและนาง ทุกอย่างต้องสวยงามที่สุด มือหนาลูบไล้สลับเค้นคลึงไปตามร่างของภรรยา ก่อนจะถอนริมปากออกจากเรียวปากอวบอิ่ม จ้าวเทียนหลง เคลื่อนไปซุกไซ้ยังลำคอขาวเนียน มือหนาเลื่อนไปยังสายคาดเอวของคนในอ้อมแขน ก่อนจะกระตุกเบา ๆ ปมที่ผูกอยู่ก็หลุดออก ทางด้านถงลู่ลู่ยังคงใช้มือขยุ้มเสื้อของสามีเอาไว้แน่น ร่างบางถึงกับสะดุ้งเมื่อมือสากเลื่อนผ่านเอี๊ยมตัวเล็ก ถูกเนื้อในใต้ร่มผ้า เพียงครู่เดียวชุดบนกายนาง ได้หลุดร่วงกองอยู่ยังพื้นเบื้องล่าง จ้าวเทียนหลงช้อนอุ้มร่างงามวางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ก่อนจะเคลื่อนกายทาบทับบนร่างบอบบางของภรรยา ริมฝีปากหนาเคลื่อนโลมเลียไปทั่วลำคอไล่จนถึงเนินอกอวบอิ่ม มือหยาบกอบกุมเค้นคลึงยังดอกบัวคู่งามอย่างถนอม ลิ้นสากตวัดดูดกลืนสลับขมเม้มเม็ดบัวสีชมพูอย่างหิวกระหาย “อื้อ...อ๊ะ!” เสียงครางในลำคอได้หลุดรอดออกมาจากเรียวปากงาม เมื่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้น ไม่อาจที่จะข่มกลั่นความซาบซ่านเอาไว้ได้อีกต่อไป นิ้วเรียวสอดเข้าไปในกลุ่มผมของสามี ก่อนจะขยุ้มเบา ๆ ด้วยแรงอารมณ์ที่ถูกปลุกจากความช่ำชองของชายห
เวลาล่วงเลยจนถึงมื้อเย็น ถงเจี้ยนหลางกินอาหารด้วยความรู้สึกกระอักกระอวนใจยิ่งนัก ด้วยการกระทำของพี่เขยที่มีต่อพี่สาวของเขานั้น มันช่างแตกต่างจากคำว่าลืมเลือนนาง อย่างที่ผู้เป็นพี่เคยเล่าให้ฟังก่อนการแต่งงาน เพราะจากที่ดูแล้ว พี่เขยของเขานั้นเอาใจนางเสียจนมองไม่เห็นผู้ใดในสายตา ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดีสำหรับชีวิตครอบครัวของพี่สาว แต่มันใช่หรือที่พี่เขยจะมาทำต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ การกระทำของสามีที่มีต่อตนเอง ทำให้ถงลู่ลู่ทั้งเขินอายและหวาดหวั่นอยู่ภายในใจลึก ๆ เพราะนางไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้น เป็นความจริงหรือฉากตอนที่สามีสร้างขึ้นมากันแน่ “เรียนท่านอ๋อง มีเทียบจากท่านเสนาบดีถงหยางพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสามชะงักมือที่กำลังคีบอาหารเข้าปากในทันที สีหน้าของท่านอ๋องหนุ่มยังคงเรียบนิ่ง ก่อนจะเคาะตะเกียบในมือลงบนโต๊ะ องครักษ์หนุ่มจึงได้วางเทียบลงยังจุดนั้นในทันที ก่อนจะล่าถอยออกไป เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับเจ้านายทั้งสาม “น้องหญิงเจ้าจะเปิดดูเองหรือไม่” ชายหนุ่มเอ่ยถามภรรยา พร้อมกับจ้องมองนางปานจะกลืนกิน ซึ่งเป็นความคิดข
“พวกเจ้าหรือข้าคือหัวหน้าครอบครัว ข้าจะทำสิ่งใดต้องขออนุญาตพวกเจ้าก่อนเช่นนั้นรึ” “….” ถงหยางมองไปยังทุกคนอีกครั้ง เพื่อรอคำตอบ ทว่าหาได้มีใครเอ่ยออกมาแม้เพียงครึ่งคำไม่ “จัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับลู่ลู่และเจี้ยนหลางให้ดี อย่าได้คิดกลั่นแกล้งพวกเขา หากพวกเจ้าทุกคน ยังอยากอยู่อย่างสุขสบายเช่นในทุกวันนี้” เอ่ยจบร่างสูงลุกขึ้นก้าวจากไปในทันที หลายปีมานี้เขาต้องแบกรับหลายสิ่งอย่างเพียงลำพัง นับตั้งแต่บุตรสาวคนโตจากไปพร้อมบุตรชายคนรอง สกุลอดีตภรรยามิได้สนับสนุนเขาเช่นเดิม ทำให้ความรุ่งโรจน์ที่เคยมีหายไปเขาไม่คิดเลยว่าสองพี่น้องจะรอดชีวิตไปจนถึงชายแดน เขาได้จัดเตรียมข่าวการถูกลอบสังหารของทั้งคู่เอาไว้เป็นอย่างดี แต่เมื่อได้รับจดหมายแจ้งการเดินทางถึงที่หมายของทั้งคู่ วันนั้นเสมือนทั้งร่างของเขาถูกตอกตรึงให้อยู่กับที่นานนับปี ‘ข้าไม่อาจชดเชยสิ่งใดให้เจ้าได้เซียนเอ๋อร์ ข้าหวังว่าเจ้าจะยินยอมให้ลูกของเรา เลือกข้าผู้เป็นพ่อด้วยเถอะ’ ถงหยางพร่ำขอกับภรรยาผู้ล่วงลับไปแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจเท่าใดนัก ว่าบุตรสาวจะเลือกยืนฝั่งเข
“ทรงทอดทิ้งหม่อมฉัน” ถงลู่ลู่ จำต้องโกหกออกไป เพื่อเป็นการปิดคำถามและความสงสัย ของคนที่กำลังโอบรัดนางเอาไว้ ด้วยความอบอุ่น แม้ว่าจะเป็นคำตอบที่ดูมิสมเหตุสมผลเท่าใดนักก็ตาม แต่คงจะดีกว่าบอกถึงความจริงที่มิอาจเป็นไปได้ ในความคิดของผู้คนยุคนี้ “ชายาที่รัก นอกจากสิ้นลมหายใจเท่านั้น ที่จะพรากพี่ไปจากเจ้าได้ จงอย่าได้กังวลเรื่องนี้ไปเลย” จ้าวเทียนหลง ตอบคำของภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าแฝงไปด้วยความหนักแน่น ซึ่งทุกถ้อยคำนั้น ถ่ายทอดออกมาจากหัวใจของเขาทั้งสิ้น “ขอบพระทัยเพคะ...หม่อมฉันอยากอยู่เช่นนี้ต่ออีกสักพัก” ถงลู่ลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิว แม้นี่จะเป็นเพียงความฝัน นางเพียงแค่อยากจะรักษามันเอาไว้อีกสักหน่อยก็ยังดี “หากเจ้าพึงใจพี่ก็ยินดี” ชายหนุ่มกระซิบข้างหูภรรยาเบา ๆ ก่อนที่ดวงตาคู่งามจะหลับลงอีกครั้ง พร้อมความอบอุ่นที่โอบรัดรอบกาย อย่างน้อยภาพในอีกชีวิตของนาง ก็ไม่อาจที่จะแทรกเข้ามาทำลายความสุขล้นนี้ได้ แม้จะเป็นช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นก็ตามที หากว่าการลืมตาตื่นอีกครั้งของนาง อาจจะไม่มีเขาอยู
“ถ้าเจ้ามิทำให้ข้าต้องถูกเจ้าสาวทิ้งในคืนเข้าหอ คงไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้ข้าสอดมือ นี่ยังคิดจะเอาศีรษะของภรรยาข้าไปต่อหน้า เช่นนี้แล้วข้าควรอภัยให้แก่คนอย่างเจ้านั้นรึ” องค์ชายเจิ้นเสียน มองเลยไปยังร่างในชุดเกราะ ซึ่งในตอนนี้ดวงตาสองข้างได้ปิดลงแล้ว ชายหนุ่มถึงกับยิ้มหยันให้กับตนเอง ถงลู่ลู่คือสตรีที่เขาหมายปอง แต่นางหาได้ตอบรับไมตรีจากเขา ทั้งยังมารู้ความจริงในภายหลัง ว่าหญิงสาวที่เขาเฝ้าแอบรักปักใจ คือหนึ่งในแม่ทัพปีศาจแห่งชีหนาน เมื่อข่าวการแต่งงานของนางมาถึงเขา แผนการมากมายก็บังเกิดขึ้น ด้วยความคลั่งแค้นกับรักที่ถูกหมางเมิน เขาจึงทูลขอพระบิดานำทัพโจมตีชายแดนชีหนาน ในยามที่แม่ทัพผู้เกรียงไกรอยู่ยังเมืองหลวง แต่เขาไม่คิดว่าหญิงสาวผู้นี้ กะหาญกล้าก้าวออกจากห้องหอ เพื่อกลับมารับมือกับเขายังชายแดน การต่อสู้ที่เขาพยายามจะยืดมันให้นานที่สุด เพื่อเหตุผลบางอย่างกลับต้องยุติลง เมื่อคนตรงหน้าได้ปรากฏตัวขึ้น “ท่านเองก็หน้าทนมิน้อย สตรีทอดทิ้งยังจะมีหน้าติดตามนางมาถึงที่นี่” เจิ้นเสียนเริ่มการถ่วงเวลา เพื่อหาหนทางออกจากจุดนี้ให้ได้เสียก
“ไม่! ท่านพี่”ถงเจี้ยนหลางตะโกนก้อง เมื่อภาพตรงหน้าเขา ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้นเลยก็ว่าได้ เพียงแต่เขาพ้นกองทัพของพี่สาวมายังด้านหลังได้เท่านั้น สายตาก็ปะทะเข้ากับภาพของพี่สาวต้องศรของศัตรู ฉึก! อึก! ตุบ! ถงลู่ลู่พลัดตกจากหลังม้า พร้อมมีลูกธนูปักอยู่บนไหล่ ความแรงและเร็วของลูกธนูนั้น ดูได้จากตอนนี้ หัวลูกศรโผล่ออกมาให้เห็น หญิงสาวขบกรามแน่น ก่อนจะลงมือหักหัวลูกศรออก แม้ว่าจะเจ็บเจียนตาย นางก็จะไม่ยินยอมให้ความรู้สึกเหล่านั้น มาอยู่เหนือหน้าที่ ถงลู่ลู่กระชับทวนในมือแน่น โดยไม่ได้สนใจกับเลือดสีแดงฉาน ที่กำลังไหลออกจากบาดแผล เวลาของนางมีไม่มากแล้ว อย่างไรก็ต้องเร่งจบศึกนี้ หากศีรษะแม่ทัพเช่นนางอยู่ในมือของศัตรู นั่นคือการประกาศถึงความพ่ายแพ้ของผู้คนทั้งแคว้น ต่อให้ต้องตายนางก็จะไม่มีวันมอบศีรษะนี้ให้แก่ผู้ใด ถงลู่ลู่มองไปยังศัตรูที่กำลังตรงใกล้เข้ามา โดยไม่ได้หันไปมองด้านหลังซึ่งเป็นทหารของนาง สิ่งที่หญิงสาวกระทำในตอนนี้คือสัญญาณห้ามหยุดทัพ แม้นางรู้ดีว่าเวลานี้ ทหารหลายคนของนางกำลังฝ่าฝืนคำสั่ง โดยการกลับมายืนข้างกายนาง “พวกเจ้ารู้โทษของการ
“ท่านรู้แก่ใจดี ไยต้องให้ข้าสาธยายมันออกมาให้มากความด้วยเล่า เอาเป็นว่าน้ำชาบ่ายนี้ เชิญทุกคนตามสบาย ข้ากับเจี้ยนหลางขอตัว” ถงลู่ลู่จงใจปิดการสนทนา นางไม่ยินดีจะเสียเวลากับคนสกุลถง จึงได้ตัดบทเสียดื้อ ๆ “กำแหง!” ถงหยางตะคอกบุตรสาวคนโตเสียงลั่น เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า สิ่งที่ผ่านมาในอดีต จะทำให้บุตรสาวกลายเป็นอีกคนไปได้ ยิ่งกับถงเจี้ยนหลางแล้วด้วย เขาไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับบุตรชายเลย “จะอย่างไร พี่สาวข้าก็เมตตาต่อบุตรสาวท่านมากนะ ที่ยินยอมแต่งเข้าจวนอ๋องอัปลักษณ์ผู้นั้น หรือท่านเสนาบดีอยากให้คุณหนูถงอี้หลิง แต่งแทนท่านพี่ของข้า หากต้องการเช่นนั้นก็ย่อมได้นะขอรับ ข้าล่ะเฝ้ารอคำนี้จากปากท่านเสนาบดียิ่งนัก” ถงเจี้ยนหลาง พูดขึ้นก่อนจะมองไปยังถงอี้หลิง พร้อมรอยยิ้มกว้างที่ดูเป็นธรรมดา ทว่ากลับแฝงไปด้วยอันตราย ใบหน้างามของถงอี้หลิงถึงกลับซีดเผือด นางมิคุ้นเคยกับน้องชายต่างมารดา จึงไม่อาจที่จะคาดเดาคำพูดของเขาได้เลย “จะ...เจ้า” ถงหยาง ทำได้เพียงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงติดขัด ทว่ามิกล้าที่จะต่อว่าบุตรชายนอกสายต
“เพราะนางคือแม่ทัพ ทุกอย่างย่อมต้องมีเบื้องหลัง ลู่ลู่เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม แต่นางยังคงมีข้อผิดพลาดอยู่ นั้นคือความเชื่อมั่นในตนเองจนเกินไป นี่คือจุดที่นางจะพลาดให้กับเหล่าจิ้งจอกเฒ่า ใช้เป็นเครื่องมือ ส่วนอีกหนึ่งเหตุผล ที่ท่านพูดมาก็คิดได้ในอีกแง่มุมเช่นกัน นั่นคือนางกับบิดา อาจกำลังร่วมมือกันล่วงตาพวกเราก็เป็นได้ ทุกอย่างในโลกเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาเสมอ” ชายหนุ่มเองก็ยังคงหาข้อโต้แย้ง เพื่อมิให้ความเชื่อมั่นในใจ เป็นสิ่งชี้นำจนมากเกินไป เพราะหากมันไม่เป็นเช่นที่คิดเอาไว้ คนที่เจ็บปวดที่สุด คงนี้ไม่พ้นตัวเขานั่นเอง “กระหม่อมไม่เถียงในข้อนี้ บางทีลูกแกะน้อยในสายตาผู้อื่น อาจเป็นพยัคฆ์ตัวเมีย ที่รอเวลาตะครุบเหยื่อก็เป็นได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ชายชราพูดกลั้วหัวเราะ เมื่อผู้เป็นนายพยายามที่จะปกปิดความรู้สึกอันแท้จริง เขาเลี้ยงท่านอ๋องมากับมือ ย่อมรู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้า รู้สึกเช่นไรในตอนนี้ “หึ ๆ ความชราของท่าน ทำให้ดวงตาฝาฟางแล้วก็เป็นได้” กล่าวจบร่างสูงได้เดินตรงไปยังหน้าประตู เพื่อไปยังจุดหมายซึ่งก็คือหน้าจวน วันนี้เขาคงต้องไปพบนางสัก