ในห้องพักขนาดเล็กบนชั้นสองของอาคารสำนักงานตำรวจ เสียงพัดลมเก่าบนเพดานกำลังหมุนไปอย่างเชื่องช้าเติมเต็มความเงียบของยามค่ำคืน
โต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารหลากชนิดตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง ด้านข้างมุมขวามีถ้วยกาแฟที่เหลืออยู่เพียงครึ่งและกลิ่นหอมจาง ๆ ของมันลอยฟุ้งในอากาศ
“หยุนจิง! ดูนี่สิ!” เสียงของเพื่อนร่วมงานดังขึ้นจากโต๊ะอีกฝั่ง หญิงสาวในชุดเครื่องแบบตำรวจเจ้าของชื่อวางเอกสารในมือก่อนจะเดินเข้ามาดูจอคอมพิวเตอร์ที่เพื่อนกำลังจ้องอย่างตื่นเต้น
“มีอะไร คราวนี้ใครเป็นสามีของเธออีก? ฉันหวังว่าคงจะไม่ใช่หนึ่งในพระเอกของนิยายที่เธอชอบอ่านอีกหรอกนะ?” หยุนจิงถามพลางถอนหายใจ ถึงปากจะพูดออกไปแบบนี้ทว่าเธอก็ยังเดินเข้าไปหาเพื่อนอย่างไม่ปฏิเสธ
บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ปรากฏภาพหน้าปกนิยายจีนโบราณที่วาดอย่างประณีต พร้อมกับชื่อเรื่องตัวอักษรสีทองสะดุดตา (พยัคฆ์ล่มราชวงศ์)
“เธอรู้ทันฉันตลอด แต่ครั้งนี้ฉันไม่ได้หลงพระเอกนะ ฉันจะบอกเธอว่า นิยายเรื่องนี้มันสนุกมาก ตัวเอกที่เป็นนางร้ายเนี่ย ทั้งฉลาดและเก่งมากเลย แต่น่าเสียดายที่ต้องมาตายเพราะถูกสามีชั่วใส่ร้ายพร้อมกับครอบครัวทางแม่ แถมเธอยังมีลูกติดด้วย!" เพื่อนของเธอพูดพลางจิ้มหน้าจอ
หยุนจิงส่ายหน้า “ต่อให้เก่งแค่ไหนสุดท้ายก็ยังแพ้ใช่ไหม? ฉันไม่เข้าใจหรอกว่าเธออ่านเรื่องพวกนี้ไปทำไม”
“เพราะมันมีปมที่น่าสงสารน่ะสิ!” เหม่ยหลินตอบด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“ลองคิดดูสิ ถ้าเราได้เป็นนางเอกแทนตัวร้ายคนนี้ แล้วเปลี่ยนทุกอย่างให้ดีขึ้น มันจะยอดเยี่ยมมากขนาดไหน?”
หยุนจิงส่งเสียงหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของเพื่อนก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ
“ถ้ามีโอกาสแบบนั้นจริง ฉันคงเอาชีวิตรอดไม่พ้นสองวัน”
เหม่ยหลินหันกลับมามองหยุนจิงดวงตาเบิกกว้าง “ก็จริง แต่ว่ามันก็ไม่แน่นะ...แม้ว่าเธอจะดูไม่ค่อยมีเซนส์เรื่องความร้ายกาจ แต่ถ้าเป็นเรื่องแผนการ ฉันว่าเธอเอาอยู่!”
หยุนจิงส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง “เอาล่ะ ๆ หยุดเพ้อเจ้อแล้วกลับไปทำงานเถอะ พรุ่งนี้เรายังต้องไปตรวจสอบคดีอีกตั้งหลายที่”
“อืม” เหม่ยหลินตอบรับอย่างว่าง่าย จากนั้นไฟในห้องของหญิงสาวทั้งสองจึงค่อย ๆ ดับลง เหลือเพียงแสงจากจอคอมพิวเตอร์ที่ยังเปิดหน้าปกนิยายเรื่องนั้นทิ้งเอาไว้
เสียงลมหายใจของหยุนจิงที่หลับใหลไม่ทันได้รู้เลยว่า นี่อาจเป็นคืนสุดท้ายที่เธอจะได้ตื่นขึ้นในโลกนี้...
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับเสียงนาฬิกาปลุกดังสนั่นในห้องพักแคบ ๆ ของสถานีตำรวจ หยุนจิงขยับตัวขึ้นจากเตียงด้วยความงัวเงียสายตาของเธอมองไปยังเหม่ยหลินเพื่อนร่วมห้องที่ยังหลับสนิทพร้อมเสียงกรนเบา ๆ
หญิงสาวไม่ได้ปลุกเพื่อนเนื่องจากทั้งสองคนนั้นต่างไม่ได้ทำงานพร้อมกัน ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากเตียงและคว้าชุดเครื่องแบบจากราวแขวน
หลังจากเตรียมตัวเสร็จ หยุนจิงสะพายกระเป๋าเป้คู่ใจเดินลงบันไดไปยังลานจอดรถตำรวจ เธอรับหน้าที่ดูแลคดีปล้นร้านทองที่มีผู้ต้องสงสัยหลบหนีในย่านใจกลางเมือง
“วันนี้ต้องจับมันให้ได้!” เธอบอกกับตัวเองด้วยความมุ่งมั่นขณะสตาร์ตรถ
การจราจรบนถนนยังไม่หนาแน่นมากในช่วงเช้าแต่ในจังหวะที่เธอกำลังเปลี่ยนเลนเพื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นหลัก มีรถบรรทุกคันหนึ่งพุ่งออกมาจากทางแยกด้วยความเร็วสูง เสียงแตรดังสนั่นขณะที่หยุนจิงพยายามหักพวงมาลัยหลบ
“ไม่ทันแล้ว!” เสียงในใจของเธอหวีดร้องก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นสีดำสนิท
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งหยุนจิงได้ยินเสียงคล้ายคนพูดคุยแว่วมาแต่ทุกอย่างยังดูพร่ามัว เธอรู้สึกเจ็บแปลบทั่วร่างกายเหมือนถูกบีบอัดด้วยแรงมหาศาล ก่อนที่ความเจ็บปวดนั้นจะค่อย ๆ จางลง
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูของบ่าว!" เสียงใครบางคนร้องเรียกเธอด้วยความโศกเศร้า
เปลือกตาที่ปิดสนิทค่อย ๆ เปิดออกอย่างอ่อนแรง ดวงตาเธอมองเห็นเพดานไม้เก่า ๆ และโคมไฟน้ำมันที่ห้อยอยู่ เสียงจอแจรอบตัวบ่งบอกว่าเธอไม่ได้อยู่ในที่เดิม
“ที่นี่คือที่ไหน” หยุนจิงพึมพำก่อนที่เธอพยายามยันตัวลุกขึ้นแต่กลับรู้สึกว่าร่างกายเล็กลงอย่างผิดปกติ
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนดังขึ้นข้างเตียง “คุณหนู! ฟื้นแล้ว ไข้คุณหนูเพิ่งจะลดอย่าเพิ่งรีบลุกขึ้นมาเลยนะเจ้าคะ บ่าวจะรีบไปบอกฮูหยิน” ไป่ซินรีบเดินออกไปสั่งกับเด็กรับใช้ด้านนอก “เถาจูรีบไปบอกฮูหยินว่าคุณหนูฟื้นแล้ว”
“เจ้าค่ะ” เด็กหญิงวัยเจ็ดปีรีบทำตามคำสั่งอย่างว่องไว
ที่โถงกลางของจวน ในตอนนี้กำลังจะเป็นทะเลเพลิงเนื่องจากฮูหยินเอกของจวนไม่ยินยอมที่ลูกสาวของตนถูกทำร้าย
“จื่อเซียว! (นามรองของพ่อนางเอก) ท่านจะต้องให้ความเป็นธรรมกับลูกของข้า” น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความเฉียบขาด
“เหม่ยจู (นามรองแม่นางเอก) เจ้าจะมากเกินไปแล้วนะ เจ้าเป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่เหตุใดไม่รู้ธรรมเนียมกล้ามาขึ้นเสียงใส่สามีอย่างข้า” ชายหนุ่มสะบัดชายชุดของตนก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อสะกดกลั้นอารมณ์
“ท่านเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นสามีอย่างนั้นเหรอ จื่อเซียวข้าขอถามท่านสักประโยคเถอะ มีครั้งไหนบ้างที่ท่านให้ความเป็นธรรมแก่เราแม่ลูก” น้ำเสียงของหลิวเหม่ยจูเต็มไปด้วยความขมขื่น เธอก้าวไปข้างหน้าสองก้าวเผชิญหน้ากับสามีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่ย่อท้อ
หลี่เจี้ยนเฉิงขมวดคิ้วแต่กลับหัวเราะเยาะเย้ย “เหม่ยจู เจ้าไม่รู้หรือว่าในจวนนี้ข้าคือผู้ตัดสินใจสูงสุด ลูกของข้าก็คือลูกของข้า จะเป็นลูกของใครก็ตามล้วนต้องได้รับการปกป้องจากข้า! แต่เจ้า...เจ้าไม่เคยสอนลูกของเจ้าดี ๆ ให้รู้จักนอบน้อมบ้างเลย เจ้าต่างหากที่ผิด!”
“ผิดงั้นหรือ? ลูกของข้าต่างหากที่ถูกทำร้าย แต่ท่านกลับปกป้องคนที่ผิดเพียงเพราะเขาเป็นลูกของเมียสุดที่รักของท่าน!” เหม่ยจูตวาดเสียงดัง สายตาของเธอเต็มไปด้วยไฟโทสะ
“เจ้าก็แค่ผู้หญิงที่เอาแต่ใจตัวเอง เหม่ยจู เจ้าควรเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมให้สมกับเกิดมาในตระกูลใหญ่บ้าง!” ผู้เป็นสามีลุกขึ้นยืนและชี้นิ้วใส่นางตวาดขึ้นอย่างถืออำนาจ ถึงกระนั้นคำพูดของเขาก็ไม่อาจสั่นคลอนความตั้งใจของเหม่ยจูได้
“สงบเสงี่ยมอย่างนั้นหรือ? จื่อเซียวข้าทนมานานแล้ว ข้าจะไม่ยอมอีกต่อไป! หากท่านไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ลูกของข้า ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกของข้าเอง!” เหม่ยจูพูดพลางจ้องสามีของตนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด
บรรยากาศในโถงกลางเริ่มตึงเครียดจนคนรับใช้ที่แอบดูอยู่มุมหนึ่งต่างสะดุ้งเฮือก ไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดออกมา
“เหม่ยจู เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้ากล้าท้าทายข้าอย่างนั้นหรือ?” หลี่เจี้ยนเฉิงคำรามเสียงต่ำ
“ใช่ ข้ากล้า! ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายลูกของข้าอีกต่อไป ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม!”
คำประกาศกร้าวของเหม่ยจูดังก้องไปทั่วโถงกลาง จนแม้แต่ลมที่พัดผ่านก็เหมือนหยุดนิ่ง มือของผู้เป็นใหญ่ในจวนกำเข้าหากันแน่นได้แต่มองตามแผ่นหลังเล็ก ๆ ของนางอย่างอดทน
ย้อนกลับไปในวันวาน หากว่าเขาไม่ต้องการทางลัดเพื่อตำแหน่งหน้าที่การงาน...
หลี่เจี้ยนเฉิงหวนคิดถึงอดีตด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในใจ จากเสมียนประจำอำเภอเล็ก ๆ ผู้ไม่มีวาสนาใด เขากลับไต่เต้าจนได้เป็นเจียงจวิ้นซื่อ (เสมียนฝ่ายโยธา) และในเวลาเพียงห้าปี ก็สามารถนั่งในตำแหน่งกงปู้ซื่อหลางได้สำเร็จ เขารู้ดีว่าเส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
หากไม่ได้การช่วยเหลือจากไท่โสว่ผู้เป็นขุนนางปกครองท้องถิ่น และที่สำคัญ คือ การแต่งงานกับหลิวอวี้เฟย คุณหนูตระกูลหลิวที่ในตอนนั้นมีอำนาจและอิทธิพลสูงสุด
แต่แล้ว...อย่างไร?
ในเมื่อหน้าที่การงานของเขามั่นคง ลูกเมียที่เสียสละเพื่อให้เขาได้ก้าวหน้าต้องอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ แม้เขาจะส่งหนังสือหย่ากลับไปยังบ้านเกิดเพื่อบอกเลิกกับจงเสวี่ยเหม่ย ญาติผู้น้องที่เคยเป็นทั้งภรรยาและมารดาของลูกทั้งสองของเขา
เขากลับไม่อาจลบเลือนความผิดที่เคยหลอกล่อให้ชื่อเสียงของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อย่างหลิวอวี้เฟยต้องเสียหายเพื่อบีบนางให้แต่งงาน
เขาหลอกหลิวอวี้เฟยว่าตัวเองยังไม่ได้แต่งงาน ทั้งที่ความจริงแล้วเขาได้ใช้เล่ห์กลส่งข่าวลวงกลับไปบ้านเกิดเพื่อหย่ากับจงเสวี่ยเหม่ย และขอให้นางเข้าใจเหตุผลที่เขาต้องทำเช่นนี้
จงเสวี่ยเหม่ยยอมรับความจริงอย่างอดทน นางพยายามประคับประคองชีวิตตัวเองและลูก ๆ ภายใต้เสียงนินทาว่าร้ายอยู่เจ็ดปีเต็ม จนในที่สุดเขาก็พานางกับลูกมาเปิดตัวในเมืองหลวง
ทว่าชีวิตของครอบครัวที่เขาหวังจะสร้างกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด...
“ท่านพ่อ...” เสียงเรียกแผ่วเบาของหลี่อี้เฉินลูกชายคนโตดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของเขา เด็กชายวัยสิบปีมองพ่อด้วยแววตากังวล
“เจ้ามีอะไรหรือ?” หลี่เจี้ยนเฉิงพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดในใจ เขาลูบศีรษะของลูกชายเบา ๆ
“ท่านแม่รองให้ข้ามาแจ้งท่านว่า ท่านแม่ใหญ่กล่าวหาว่าท่านแม่รองขโมยข้าวของของนางอีกแล้วขอรับ...” น้ำเสียงเด็กชายเจือความกดดัน
หลี่เจี้ยนเฉิงถอนหายใจยาว “แม่ใหญ่เจ้าเอาอีกแล้วหรือเมื่อสักครู่ยังมาด่าทอข้าเรื่องที่ว่าน้องสาวเจ้าผลักลูกของนางตกน้ำอยู่เลยแล้วตอนนี้มันเรื่องอะไรอีก”
การเดินทางบนเส้นทางสายไหมในครั้งนั้นของคณะหลิวหยุนจิงใช้เวลาหลายปีในการบุกเบิก สำรวจ และสร้างสัมพันธ์ทางการค้า มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานจากที่หลิวหยุนจิงเคยคาดไว้พวกเขาล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากธรรมชาติอันโหดร้าย โจรป่า และความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า แต่ด้วยความรู้ ความสามารถ และความกล้าหาญของทุกคนในคณะโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสัยทัศน์ของหลิวหยุนจิงพร้อมด้วยกำลังคุ้มกันอันแข็งแกร่งภายใต้การนำของฮั่วหยุนพวกเขาก็สามารถเปิดเส้นทางการค้าใหม่ ๆ นำสินค้าหายาก ความรู้รวมถึงวัฒนธรรมที่ไม่เคยมีใครรู้จักกลับสู่ต้าฮั่นได้สำเร็จ อีกทั้งกิจการเมิ่งฮวารวมถึงกิจการร้านรับแลกเงินที่นางกับองค์ฮ่องเต้ทำร่วมกันได้ขยายสาขาไปยังเมืองน้อยใหญ่ไกลถึงเมืองชายแดนยิ่งสร้างความมั่งคั่งและชื่อเสียง เส้นทางที่หลิวหยุนจิงเคยบอกว่าเป็นเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นสิ่งที่นางทำร่วมกันกับสามีและลูกพี่ลูกน้องได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับแผ่นดินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายปีผ่านไป... จวบจนฮั่วหยุนก้าวเข้าสู่วัยสี่สิบเศษ ใบหน้าคมคายปรากฏ
ในระหว่างที่พวกเขาเคลื่อนขบวนลึกเข้าไปในดินแดนทางตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ ทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นทะเลทรายแสนเวิ้งว้างและแนวเขาหินสีน้ำตาลแดงมากกว่าเดิมอากาศในตอนกลางวันเองก็ร้อนระอุขึ้นแต่ทว่าในตอนกลางคืนกลับหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ พวกเขาต้องเดินทางผ่านเมืองน้อยใหญ่รวมถึงโอเอซิสขนาดเล็กและยังต้องแวะพักเป็นระยะ เพื่อเติมน้ำและอาหารรวมถึงเพื่อพักผ่อนหลบเลี่ยงพายุทรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหลิวหยุนจิงมองแผนที่ในมือตามการสำรวจของเหล่าบริวารนกน้อยของอวิ๋นซิง ก็รู้ได้ว่าทางไหนจะไปยังอาณาจักรโหลวหลานอาณาจักรโบราณตามยุคสมัยเดิมของตน ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบลอปนอร์[1] ซึ่งในระหว่างนี้บางครั้งนางก็ยังได้ยินพ่อค้าในกองคาราวานที่สวนทางมาพูดถึง เมืองอวีเทียน[2]นครรัฐที่มั่งคั่งด้วยหยกเนื้อดีทางตอนใต้ของแอ่งทาริมและก็มีบางเวลานางยังได้เห็นกองคาราวานขนาดใหญ่ของพ่อค้าชาวแบกเตรียหรือต้าเซี่ยและซอกเดียหรือคังจวี ขนสินค้าแปลกตาที่นางเคยเห็นแต่ในบันทึกหรือพิพิธภัณฑ์ในโลกเก่าทั้งเครื่องแก้วหลากสีที่มาจากดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น ซึ่งอาจจะ
พวกเขาเดินจับมือกันท่ามกลางฝูงชนที่ขวักไขว่ ชื่นชมความงามของโคมไฟหลากรูปแบบ พูดคุยหยอกล้อกันเบา ๆ ถึงเรื่องราวสัพเพเหระความรู้สึกคุ้นเคยที่ยาวนานผสมผสานกับความรู้สึกใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้นทำให้บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งคู่อบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่คล้ายกับว่าโลกของพวกเขามีเพียงกันและกันเดินเล่นกันมาได้ชั่วครู่ใหญ่ฮั่วหยุนก็จูงมือนางมาหยุดอยู่ที่สะพานไม้โค้งแห่งหนึ่งซึ่งทอดข้ามคูน้ำในย่านที่ไม่พลุกพล่านนัก บนราวสะพานมีโคมไฟรูปดอกบัวสีสดแขวนประดับไว้เป็นระยะแสงไฟนวลสะท้อนลงบนผิวน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งแผ่นบางและเกล็ดหิมะที่ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทิวทัศน์รอบด้านดูงดงามราวกับภาพวาดจากฝีมือของจิตรกรเอกทั้งสองหยุดยืนพิงราวสะพานมองดูแสงไฟและเงาสะท้อนในน้ำเงียบ ๆ มือยังคงกุมกันไว้แน่นโดยมีบ่าวรับใช้และองครักษ์ยืนอยู่ห่างออกไปพอสมควร"มองจากตรงนี้ยิ่งสวยไปอีกแบบนะ" ฮั่วหยุนเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบแต่สายตากลับไม่ได้มองทิวทัศน์ทว่าจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของหลิวหยุนจิง"ทั้งโคมไฟทั้งหิม
ห้าปีผ่านไปไวราวสายลมพัด... ฤดูใบไม้ผลิอีกคราได้เวียนมาเยือน ทุ่งหญ้าชายแดนเริ่มผลิดอกออกใบขับไล่ความแห้งแล้งของฤดูหนาวให้จางหายไปขบวนเดินทางขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ประกอบด้วยทหารคุ้มกันหลายสิบนายและรถม้าขนสัมภาระกำลังเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองนอกด่านของเมืองเตี้ยนหวงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเส้นทางเบื้องหน้าคือทะเลทรายอันกว้างใหญ่และเทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่หลิวหยุนจิง เรียกว่าเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตบนหลังม้าศึกที่ควบตีคู่กันมา หลิวซูเหยาหญิงสาวผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายหลิวหยุนจิงผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องหันมามองสหายร่วมทางด้วยแววตากังวล"เยว่ฮวา! พวกเราทิ้งเจ้าตัวเล็กพวกนั้นไว้กับซูอันที่ค่ายจะดีจริงหรือ? ข้ายังอดห่วงไม่ได้ โดยเฉพาะเจ้าลูกลิงของข้าเขาช่างแสบทรวงนัก" นางหมายถึงบุตรชายวัยสี่ขวบของตนและฝาแฝดชายหญิงวัยสามขวบของหลิวหยุนจิงกับฮั่วหยุนหลิวหยุนจิงหัวเราะในลำคอหันไปมองญาติผู้พี่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน"ถังเจี่ยเจ้าคะ ท่านอย่ากังวลไปเลยน่า ซูอันตอนนี้นะโตแล้วฝากผีฝากไข้ได้ อีกอย่างที่ค่ายก็ยังมีท่านพี่เจิ้นฟง ท่านแม่ไหนจะท่านพ่
หลายเดือนพ้นผ่านราวกับความฝัน ฤดูหนาวผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนวนเวียนอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งหลิวหยุนจิงมีอายุครบสิบแปดปีเต็ม นครฉางอันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังจากที่หลิวหยุนจิงได้ทำการเสนอให้องค์จักรพรรดิเปิดสอนหลักสูตรแพทย์ตามที่นางรับปากกับท่านเทพเอาไว้แม้ว่าย้อนกลับไปในตอนนั้นจะมีทั้งผู้คัดค้านและเห็นด้วยทว่าหลิวหยุนจิงกับท่านหมอจางก็สามารถแสดงให้เห็นแล้วว่าการแพทย์ของพวกเขานั้นประสบความสำเร็จได้อย่างงดงามกลับมายังปัจจุบันและในวันนี้บรรยากาศก็ยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ เสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมือง เสียงดนตรีมงคลดังกระหึ่ม ขบวนผู้คนในชุดใหม่สีสันสดใสเดินขวักไขว่ใบหน้าของพวกเขาล้วนแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเพราะวันนี้คือวันมงคลสมรสระหว่างท่านหัวหน้าองครักษ์หนุ่มรูปงามแห่งกองทัพต้าฮั่น ฮั่วหยุนและคุณหนูหลิวหยุนจิง เสียนจูผู้พ่วงตำแหน่งธิดาเทพ สตรีผู้มีความสามารถล้ำเลิศและเป็นที่โปรดปรานของราชสำนักณ บริเวณหน้าจวนสกุลหลิวซึ่งก็คือจวนของท่านใต้เท้าหลิวห่าวเทียนผู้เป็นท่านตา ถูกประดับประดาไปด้วยผ้าแพรสีแดงสดและอักษรมงคลคู่ โคมแดงถูกแขวนเรียงราย
บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคฮั่นตะวันตกจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (หลิวเช่อ) ครองราชย์ 141 - 87 ปีก่อนคริสตกาลเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก และเป็นหนึ่งในจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่และครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน (54 ปี)ความสำคัญ: รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นยุคทองของราชวงศ์ฮั่น มีการขยายอาณาเขตครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการทำสงครามกับชนเผ่าซยงหนูทางตอนเหนืออย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งนำโดยแม่ทัพคนสำคัญอย่างเว่ยชิงและฮั่วชวี่ปิ้ง พระองค์เป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนการเปิดเส้นทางสายไหมอย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจกับดินแดนตะวันตกอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังทรงส่งเสริมลัทธิขงจื๊อให้เป็นแนวคิดหลักของรัฐ และรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างเข้มแข็งลักษณะ: เป็นผู้นำที่ทะเยอทะยาน เด็ดขาด มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ในขณะเดียวกันการทำสงครามและการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ก็ใช้ทรัพยากรของแผ่นดินไปอย่างมหาศาลเช่นกัน ในช่วงปลายรัชกาลเกิดปัญหาความขัดแย้งในราชสำนักครั้งใหญ่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท (ภัยพิบัติจากม