บรรยากาศในห้องโถงกลางเรือนพลันเงียบงันลงชั่วขณะ หลังจากหลี่เจี้ยนเฉิงเอ่ยปากบอกลูกสาวไม่ให้ยุ่งเรื่องผู้ใหญ่ เขาเหลือบสายตาไปทางหลิวอวี้เฟยแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไปโดยไม่รอฟังคำโต้แย้งใด ๆ อีก
หยุนจิงกำมือเล็กแน่น ก้อนความโกรธและความไม่พอใจอัดแน่นอยู่ในอก แต่เด็กหญิงยังฝืนเก็บซ่อนอารมณ์ทั้งหมดไว้เบื้องหลังรอยยิ้ม เพราะเธอรู้ดีว่าเวลานี้การจะเผชิญหน้าตรง ๆ กับพ่อเลวไม่มีประโยชน์อันใด นอกจากจะทำให้แม่ลำบากใจมากกว่าเดิม
“เยว่ฮวา...” เสียงของหลิวอวี้เฟยฟังดูแผ่วเบา พร้อมกันนั้นนางก็ก้าวเท้าเข้ามาหาบุตรสาวอย่างอ่อนโยน มือเรียวสัมผัสแก้มลูกสาวพลางมองดวงตาใสซื่อที่ดูจะมีแววครุ่นคิดเกินวัย
“เจ้าอย่าได้กลัวเลยลูก แม่จะหาทางจัดการเรื่องนี้เอง”
หยุนจิงเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นแม่ ใจหนึ่งนั้นอยากโผเข้ากอดแต่ก็ต้องข่มกลั้นไว้เพื่อไม่ให้แม่กังวล เด็กหญิงจึงตอบเพียงเบา ๆ
“เจ้าค่ะ ท่านแม่...ข้าเพียงเป็นห่วงท่าน”
แววตาของหลิวอวี้เฟยฉายแววเศร้าปะปนไปกับความรักอันแน่นแฟ้นที่มีต่อลูก ก่อนจะคลี่ยิ้มปนโศกออกมา
“เจ้าอย่าได้กังวลเลย แม่ยังมีตระกูลหลิวคอยหนุนหลัง...แค่ระยะนี้ต้องอยู่ร่วมชายคากับบิดาเจ้าจึงเลี่ยงการกระทบ กระทั่งได้ยาก”
หยุนจิงได้ยินเช่นนั้นพลันนึกถึงชะตากรรมในนิยายที่เธอรู้ล่วงหน้าจากความทรงจำในอีกโลก
(จะยอมให้เรื่องนี้ดำเนินตามบทเดิมไม่ได้) เธอครุ่นคิดในใจขณะก้าวมาประคองมือแม่
“แต่ถึงอย่างไร ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อท่าน”
เสียงสนทนาที่แผ่วเบาแต่นุ่มนวลทำให้เหล่าบ่าวรับใช้ที่อยู่ใกล้ ๆ พากันคลายความอึดอัดลงไปบ้าง พวกนางจึงต่างก้มศีรษะหลบฉากออกไปทีละคนปล่อยให้สองแม่ลูกได้พูดคุยกันตามลำพัง
แม้ว่าผู้เป็นแม่จะค่อนข้างประหลาดใจในความเปลี่ยนไปของบุตรสาว แต่ทั้งนี้นางคิดว่าการที่ลูกเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
หลังจากสองแม่ลูกรับข้าวเช้าของตนเสร็จสิ้น หยุนจิงจึงได้ขอตัวกลับเรือนของตัวเองเพื่อที่จะคิดหาวิธีรับมือกับพ่อเลว ว่าจะมีทางไหนที่เธอจะทำให้แม่ของตนในร่างนี้หย่าขาดรวมถึงต้องลบชื่อเธอออกจากแผนผังของตระกูลหลี่แห่งนี้ด้วย
เสี่ยวฮวาเจ้ากำลังคิดสิ่งใด
เสียงเล็ก ๆ ของอวิ๋นซิงพลันดังขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของคนตัวเล็กข้ากำลังคิดหาวิธีให้แม่หย่า รวมถึงข้าจะไปอยู่กับท่านแม่โดยให้คนทางนี้ลบชื่อข้าออกจากแผนผังของตระกูล
เสียงของเธอค่อนข้างเบาแต่หนักแน่นด้วยความมุ่งมั่นเกินวัย ดวงตาสดใสฉายแววแน่วแน่ราวกับไม่ยอมแพ้ต่อชะตาที่นิยายได้กำหนด
ลบชื่อออกจากแผนผังตระกูลของพ่อเจ้านะหรือ ฟังดูกล้าหาญนัก... แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่ายุคนี้การหย่าไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเป็นตระกูลใหญ่ยิ่งจะต้องผ่านขุนนางหรือผู้ปกครองต่าง ๆ อีกมากมาย
หยุนจิงพยักหน้ารับฟัง เธอทราบดีว่ากฎหมายในยุคโบราณเข้มงวดและให้สิทธิ์ฝ่ายชายมากกว่า ซึ่งวิธีการหย่านั้นยากเกินกว่าที่เด็กวัยห้าขวบจะต่อกรได้ง่าย ๆ และเธอก็ยังคงคิดไม่ตกว่าจะเริ่มจากตรงไหน
ข้ารู้ แต่ข้าเชื่อว่าต้องมีช่องทางสักทางหนึ่ง บางทีอาจเป็นการรวบรวมหลักฐานว่าเขาปฏิบัติต่อท่านแม่ไม่เป็นธรรม เมื่อได้หลักฐานแน่ชัด ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เธอหวนระลึกถึงประสบการณ์ในโลกเดิมในฐานะตำรวจหญิงซึ่งเคยสืบสวนคดีใหญ่มานับไม่ถ้วน ซึ่งการหาหลักฐานและพยานคือวิถีที่เธอคุ้นเคย แม้ยุคนี้จะต่างออกไปมาก แต่หลักผิดก็คือผิดก็ยังคงเป็นความจริงในทุกสังคม
หึ ๆ เจ้านี่เก่งเกินวัยห้าขวบจริง ๆ นะ... หากคิดทำอะไร จงอย่าประมาทพ่อของเจ้า และพวกเมียรองกับลูก ๆ ของนางเป็นอันขาด มิเช่นนั้นแทนที่จะได้หย่าอาจจะถูกกลั่นแกล้งให้แย่ยิ่งกว่าเดิม
คำเตือนของนกชิงเหนียวทำให้หยุนจิงนิ่งไปหลาย อึดใจเธอรู้ว่ามารดาอยู่ท่ามกลางแรงกดดันมากมายทั้งจากคนในจวนหลี่ และสายสัมพันธ์ทางสังคมที่พันธนาการไว้ โดยเฉพาะพ่อเลวที่เธอไม่อยากเรียกว่าบิดา
ข้าคงต้องเริ่มสังเกตและสืบหาข่าวในจวนนี้ก่อน ไม่ว่าพ่อเลวจะทำอะไรไว้... ข้าจะจับผิดเขาให้ได้ แล้วนำไปให้ขุนนางหรือใครก็ตามที่พอจะช่วยเราได้ยังไงล่ะ ดั่งคำกล่าวที่ว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง หยุนจิงคิดด้วยความมุ่งมั่น
เธอเม้มปากแน่นก่อนจะปล่อยลมหายใจยาวอย่างตัดสินใจ ดวงตาดูเปล่งประกายด้วยความฮึกเหิม
หากเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ข้าก็จะคอยเป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือ แต่จงระวังตัวอย่าห้าวจนเกินไปล่ะ หากเจ้าทำให้ใครสะดุ้งนักอาจถูกเล่นงานกลับง่าย ๆ ได้เช่นกัน
น้ำเสียงเล็ก ๆ จากนกชิงเหนียวฟังดูจริงจังกว่าทุกครั้ง หยุนจิงรับฟังอย่างตั้งใจเธอรู้ดีว่าที่นี่แตกต่างจากโลกเดิม ทั้งกฎหมายทั้งขนบธรรมเนียมล้วนเป็นอุปสรรคสำหรับคนสมัยใหม่อย่างตน แต่ในเมื่อเธอเลือกจะไม่ยอมแพ้ก็ต้องต่อสู้ด้วยปัญญาและเล่ห์กลที่จำเป็น
เข้าใจแล้ว ข้าจะเริ่มเก็บข้อมูลทีละนิด... เริ่มจากวันนี้ข้าจะลองไปฟังข่าวที่บ่าวในจวนซุบซิบ หรือไปดูห้องทำงานของพ่อว่ามีเอกสารอะไรที่พอจะเอาไปใช้เป็นหลักฐานได้บ้าง
หลังจากพูดคุยวางแผนกับอวิ๋นซิงได้พักหนึ่งหยุนจิงก็ลุกขึ้นยืน เธอขยับปลายเท้าเล็ก ๆ สวมรองเท้าสีอ่อนปักลวดลายสวยงามที่เถาจูเตรียมไว้แล้วใช้หลังมือตบกระโปรงเบา ๆ ให้เรียบร้อย
ได้เวลาเริ่มก้าวแรกแล้ว... แม่ของข้า... หืม ไม่สิ ท่านแม่ของร่างนี้ข้าจะต้องทำให้ท่านยิ้มอย่างมีความสุขให้ได้เพื่อเป็นการตอบแทนต่อร่างกายเล็ก ๆ ของเด็กคนนี้ที่ทำให้ข้าได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งแม้ว่ามันจะไม่ใช่โลกเดิมก็ตาม
แต่ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้ทำตามสิ่งที่ต้องการ ร่างของไป่ซิ่นพลันเดินมาทางเธออย่างรีบร้อน
“คุณหนูเจ้าคะ นายท่านกับฮูหยินให้มาตามไปเรือนหลักเจ้าค่ะ”
หยุนจิงวิญญาณหญิงสาวในร่างเด็กหญิงวัยห้าขวบขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ไป่ซิ่นรายงาน ดวงตาคู่นั้นแฝงความสงสัย
“ป้าไป่ทราบหรือไม่เจ้าคะ ว่ามีเรื่องอันใด” ไป่ซินมองหน้าเด็กหญิงพลางส่ายศีรษะ “ข้าไม่แน่ใจ แต่ทว่าก่อนหน้าข้าเห็นมีคนของนายท่านมาส่งเทียบเจ้าค่ะ”
“ให้คนของหน่วยงานมาส่ง ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเทียบคำสั่งราชการ ถ้าอย่างนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ” หยุนจิงคาดเดาก่อนจะสูดลมหายใจช้า ๆ เพื่อรวบรวมสติคล้ายจะให้ตัวเองกลับมาเป็นเด็กน้อยตามวัยที่คนอื่นเห็น
ก่อนจะเดินนำไป่ซิ่นออกจากเรือนที่พักของเธอโดยมี เถาจูตัวน้อยรีบวิ่งตามหลังมาไม่ห่าง
ทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินนำสายตาไปจนถึงตัวเรือนหลังใหญ่ ใต้ชายคามีลายแกะสลักไม้สีเข้มสะท้อนความมั่งคั่งและอำนาจของจวนหลี่เป็นอย่างดี
หยุนจิงพยายามเก็บรายละเอียดทุกอย่างระหว่างเดินตามเส้นทางอันคดเคี้ยวผ่านสวนหย่อมเล็ก ๆ และพุ่มดอกเหมยที่เริ่มออกดอกสีขาวนวลพร้อมกับแอบคิดในใจว่าถ้าเป็นโลกเดิม เธอคงหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไปแล้ว
เจ้าอย่าเดินเหม่อนัก ระวังคนจะจับสังเกต
เสียงของอวิ๋นซิงดังเข้ามาในหัวในขณะที่เจ้าตัวเกาะบนบ่าเล็ก ๆ ของเด็กหญิงอืม ข้าเข้าใจแล้ว
หยุนจิงรับปากบริเวณหน้าประตูเรือนหลัก บ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งคอยยืนจัดแถวอยู่ คนเหล่านั้นพอเห็นหยุนจิงเดินเข้ามาก็โค้งคำนับทำความเคารพอย่างไม่เต็มใจนักแต่ก็ขัดไม่ได้เพราะแม่ของเด็กหญิงยังนั่งอยู่ด้านใน
บ่าวพวกนี้คงจะเป็นคนของเมียรองของชายคนนั้นหรือไม่ก็ของย่าผู้จองหอง หยุนจิงอดไม่ได้ที่จะสื่อสารออกมาให้กับนกคู่หูฟัง
อาจเพราะพวกเขาภักดีต่อคนอื่น... หรือเชื่อว่าตระกูลหลี่นี้ไม่ได้เห็นค่าพวกเจ้าแม่ลูก
ข้าเองก็คิดเช่นนั้น
หยุนจิงผ่อนลมหายใจพลางก้าวเท้าเข้าไปด้านใน จู่ ๆ เสียงเอะอะในเรือนหลักก็ดังกังวานเล็ดลอดออกมาจนเธอได้ยิน
“ข้าไม่ยอม! ไม่ยอมเด็ดขาด!”
เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งตะโกนดังจนน่าตกใจ หยุนจิง คิดว่าคงเป็นจงเสวี่ยเหม่ยเมียรองผู้นั้น
“คุณหนู...” เถาจูที่ยืนก้มหน้าอยู่ใกล้ ๆ เรียกหยุนจิง อย่างแผ่วเบา ดวงตาเธอเหลือบไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังยืนตัวตรงเป็นสง่าตรงหน้าด้วยความสั่นกลัว
หยุนจิงหันไปพยักหน้ากับเถาจูเล็กน้อยเป็นเชิงให้รออยู่ข้างนอก เธอเองก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้เด็กอีกคนต้องปะปนกับเรื่องวุ่นวาย แต่กระนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเรือนใหญ่
เธอก้าวผ่านเหล่าบ่าวรับใช้ที่ยืนเรียงแถวเงียบกริบจนมาถึงชานประตู โถงด้านในเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดเสียงของจงเสวี่ยเหม่ยยังคงดังไม่หยุด
“ทำไมข้ากับลูกถึงไม่มีสิทธิ์ได้เข้าวังด้วย ทั้งที่พวกเราอยู่ในจวนนี้มานานหลายปีแล้ว!?”
เงาของชายสูงโปร่งคนหนึ่งยืนอยู่ด้านในท่วงท่าดูเย็นชาทว่าหากมองให้ดีจะเห็นว่าสายตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดต่อหญิงสาวที่กำลังร้องไห้โวยวาย ชายคนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลี่เจี้ยนเฉิงพ่อของหลี่หยุนจิงนั่นเอง
การเดินทางบนเส้นทางสายไหมในครั้งนั้นของคณะหลิวหยุนจิงใช้เวลาหลายปีในการบุกเบิก สำรวจ และสร้างสัมพันธ์ทางการค้า มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานจากที่หลิวหยุนจิงเคยคาดไว้พวกเขาล้วนผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านอันตรายนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากธรรมชาติอันโหดร้าย โจรป่า และความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า แต่ด้วยความรู้ ความสามารถ และความกล้าหาญของทุกคนในคณะโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสัยทัศน์ของหลิวหยุนจิงพร้อมด้วยกำลังคุ้มกันอันแข็งแกร่งภายใต้การนำของฮั่วหยุนพวกเขาก็สามารถเปิดเส้นทางการค้าใหม่ ๆ นำสินค้าหายาก ความรู้รวมถึงวัฒนธรรมที่ไม่เคยมีใครรู้จักกลับสู่ต้าฮั่นได้สำเร็จ อีกทั้งกิจการเมิ่งฮวารวมถึงกิจการร้านรับแลกเงินที่นางกับองค์ฮ่องเต้ทำร่วมกันได้ขยายสาขาไปยังเมืองน้อยใหญ่ไกลถึงเมืองชายแดนยิ่งสร้างความมั่งคั่งและชื่อเสียง เส้นทางที่หลิวหยุนจิงเคยบอกว่าเป็นเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตเริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นสิ่งที่นางทำร่วมกันกับสามีและลูกพี่ลูกน้องได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับแผ่นดินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายปีผ่านไป... จวบจนฮั่วหยุนก้าวเข้าสู่วัยสี่สิบเศษ ใบหน้าคมคายปรากฏ
ในระหว่างที่พวกเขาเคลื่อนขบวนลึกเข้าไปในดินแดนทางตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ ทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นทะเลทรายแสนเวิ้งว้างและแนวเขาหินสีน้ำตาลแดงมากกว่าเดิมอากาศในตอนกลางวันเองก็ร้อนระอุขึ้นแต่ทว่าในตอนกลางคืนกลับหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ พวกเขาต้องเดินทางผ่านเมืองน้อยใหญ่รวมถึงโอเอซิสขนาดเล็กและยังต้องแวะพักเป็นระยะ เพื่อเติมน้ำและอาหารรวมถึงเพื่อพักผ่อนหลบเลี่ยงพายุทรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อหลิวหยุนจิงมองแผนที่ในมือตามการสำรวจของเหล่าบริวารนกน้อยของอวิ๋นซิง ก็รู้ได้ว่าทางไหนจะไปยังอาณาจักรโหลวหลานอาณาจักรโบราณตามยุคสมัยเดิมของตน ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบลอปนอร์[1] ซึ่งในระหว่างนี้บางครั้งนางก็ยังได้ยินพ่อค้าในกองคาราวานที่สวนทางมาพูดถึง เมืองอวีเทียน[2]นครรัฐที่มั่งคั่งด้วยหยกเนื้อดีทางตอนใต้ของแอ่งทาริมและก็มีบางเวลานางยังได้เห็นกองคาราวานขนาดใหญ่ของพ่อค้าชาวแบกเตรียหรือต้าเซี่ยและซอกเดียหรือคังจวี ขนสินค้าแปลกตาที่นางเคยเห็นแต่ในบันทึกหรือพิพิธภัณฑ์ในโลกเก่าทั้งเครื่องแก้วหลากสีที่มาจากดินแดนตะวันตกอันไกลโพ้น ซึ่งอาจจะ
พวกเขาเดินจับมือกันท่ามกลางฝูงชนที่ขวักไขว่ ชื่นชมความงามของโคมไฟหลากรูปแบบ พูดคุยหยอกล้อกันเบา ๆ ถึงเรื่องราวสัพเพเหระความรู้สึกคุ้นเคยที่ยาวนานผสมผสานกับความรู้สึกใหม่ที่เริ่มก่อตัวขึ้นทำให้บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งคู่อบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่คล้ายกับว่าโลกของพวกเขามีเพียงกันและกันเดินเล่นกันมาได้ชั่วครู่ใหญ่ฮั่วหยุนก็จูงมือนางมาหยุดอยู่ที่สะพานไม้โค้งแห่งหนึ่งซึ่งทอดข้ามคูน้ำในย่านที่ไม่พลุกพล่านนัก บนราวสะพานมีโคมไฟรูปดอกบัวสีสดแขวนประดับไว้เป็นระยะแสงไฟนวลสะท้อนลงบนผิวน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งแผ่นบางและเกล็ดหิมะที่ยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทิวทัศน์รอบด้านดูงดงามราวกับภาพวาดจากฝีมือของจิตรกรเอกทั้งสองหยุดยืนพิงราวสะพานมองดูแสงไฟและเงาสะท้อนในน้ำเงียบ ๆ มือยังคงกุมกันไว้แน่นโดยมีบ่าวรับใช้และองครักษ์ยืนอยู่ห่างออกไปพอสมควร"มองจากตรงนี้ยิ่งสวยไปอีกแบบนะ" ฮั่วหยุนเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบแต่สายตากลับไม่ได้มองทิวทัศน์ทว่าจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าด้านข้างของหลิวหยุนจิง"ทั้งโคมไฟทั้งหิม
ห้าปีผ่านไปไวราวสายลมพัด... ฤดูใบไม้ผลิอีกคราได้เวียนมาเยือน ทุ่งหญ้าชายแดนเริ่มผลิดอกออกใบขับไล่ความแห้งแล้งของฤดูหนาวให้จางหายไปขบวนเดินทางขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ประกอบด้วยทหารคุ้มกันหลายสิบนายและรถม้าขนสัมภาระกำลังเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองนอกด่านของเมืองเตี้ยนหวงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเส้นทางเบื้องหน้าคือทะเลทรายอันกว้างใหญ่และเทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางที่หลิวหยุนจิง เรียกว่าเส้นทางสายไหมแห่งอนาคตบนหลังม้าศึกที่ควบตีคู่กันมา หลิวซูเหยาหญิงสาวผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายหลิวหยุนจิงผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องหันมามองสหายร่วมทางด้วยแววตากังวล"เยว่ฮวา! พวกเราทิ้งเจ้าตัวเล็กพวกนั้นไว้กับซูอันที่ค่ายจะดีจริงหรือ? ข้ายังอดห่วงไม่ได้ โดยเฉพาะเจ้าลูกลิงของข้าเขาช่างแสบทรวงนัก" นางหมายถึงบุตรชายวัยสี่ขวบของตนและฝาแฝดชายหญิงวัยสามขวบของหลิวหยุนจิงกับฮั่วหยุนหลิวหยุนจิงหัวเราะในลำคอหันไปมองญาติผู้พี่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน"ถังเจี่ยเจ้าคะ ท่านอย่ากังวลไปเลยน่า ซูอันตอนนี้นะโตแล้วฝากผีฝากไข้ได้ อีกอย่างที่ค่ายก็ยังมีท่านพี่เจิ้นฟง ท่านแม่ไหนจะท่านพ่
หลายเดือนพ้นผ่านราวกับความฝัน ฤดูหนาวผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนวนเวียนอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งหลิวหยุนจิงมีอายุครบสิบแปดปีเต็ม นครฉางอันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังจากที่หลิวหยุนจิงได้ทำการเสนอให้องค์จักรพรรดิเปิดสอนหลักสูตรแพทย์ตามที่นางรับปากกับท่านเทพเอาไว้แม้ว่าย้อนกลับไปในตอนนั้นจะมีทั้งผู้คัดค้านและเห็นด้วยทว่าหลิวหยุนจิงกับท่านหมอจางก็สามารถแสดงให้เห็นแล้วว่าการแพทย์ของพวกเขานั้นประสบความสำเร็จได้อย่างงดงามกลับมายังปัจจุบันและในวันนี้บรรยากาศก็ยิ่งคึกคักเป็นพิเศษ เสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งเมือง เสียงดนตรีมงคลดังกระหึ่ม ขบวนผู้คนในชุดใหม่สีสันสดใสเดินขวักไขว่ใบหน้าของพวกเขาล้วนแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเพราะวันนี้คือวันมงคลสมรสระหว่างท่านหัวหน้าองครักษ์หนุ่มรูปงามแห่งกองทัพต้าฮั่น ฮั่วหยุนและคุณหนูหลิวหยุนจิง เสียนจูผู้พ่วงตำแหน่งธิดาเทพ สตรีผู้มีความสามารถล้ำเลิศและเป็นที่โปรดปรานของราชสำนักณ บริเวณหน้าจวนสกุลหลิวซึ่งก็คือจวนของท่านใต้เท้าหลิวห่าวเทียนผู้เป็นท่านตา ถูกประดับประดาไปด้วยผ้าแพรสีแดงสดและอักษรมงคลคู่ โคมแดงถูกแขวนเรียงราย
บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคฮั่นตะวันตกจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (หลิวเช่อ) ครองราชย์ 141 - 87 ปีก่อนคริสตกาลเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก และเป็นหนึ่งในจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่และครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จีน (54 ปี)ความสำคัญ: รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นยุคทองของราชวงศ์ฮั่น มีการขยายอาณาเขตครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการทำสงครามกับชนเผ่าซยงหนูทางตอนเหนืออย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งนำโดยแม่ทัพคนสำคัญอย่างเว่ยชิงและฮั่วชวี่ปิ้ง พระองค์เป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนการเปิดเส้นทางสายไหมอย่างเป็นทางการ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจกับดินแดนตะวันตกอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังทรงส่งเสริมลัทธิขงจื๊อให้เป็นแนวคิดหลักของรัฐ และรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางอย่างเข้มแข็งลักษณะ: เป็นผู้นำที่ทะเยอทะยาน เด็ดขาด มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ในขณะเดียวกันการทำสงครามและการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ก็ใช้ทรัพยากรของแผ่นดินไปอย่างมหาศาลเช่นกัน ในช่วงปลายรัชกาลเกิดปัญหาความขัดแย้งในราชสำนักครั้งใหญ่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท (ภัยพิบัติจากม