เจี่ยนตี้ซินมิได้บ้าคลั่งเพียงแค่ปากพูดหากแต่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าก็คือ เขากล้าลงมือจริงๆเมื่อคำพูดจบลง เจี่ยนตี้ซินยกเท้าขึ้นอย่างแผ่วเบา แล้วเหยียบลงอย่างช้าๆเสียงบูทกระทบพื้นอีกครั้ง ทำเอาทุกผู้คนรู้สึกเหมือนมีเสียงอื้อดังในหัวเหมือนมีช้างบ้าคลั่งตัวหนึ่งในสมอง เงื้อตัวขึ้น แล้วยกขาหน้าทั้งสองกระแทกลงบนกะโหลกศีรษะตนเองอย่างรุนแรงกระแสพลังที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ หากแต่มีอยู่จริง แผ่ออกมาจากร่างของเจี่ยนตี้ซิน บิดเบือนอากาศรอบกายจนมองเห็นด้วยตาเปล่า แรงสั่นสะเทือนระลอกนั้นแม้แรกเริ่มจะเชื่องช้า แต่เพียงชั่วพริบตา ก็ระเบิดออกประหนึ่งลูกกระสุนที่พุ่งออกจากลำกล้อง กวาดผ่านเหล่าทหารองครักษ์ที่ล้อมรอบเขาอย่างใบไม้ปลิวตามสายลมในฤดูใบไม้ร่วงพรวด พรวด พรวดเสียงของทหารหลายสิบคนที่อ้าปากพ่นโลหิตออกมาอย่างบ้าคลั่งเพียงแค่เหยียบพื้นหนึ่งครั้ง เจี่ยนตี้ซินก็ทำให้ทหารนับสิบได้รับบาดเจ็บภายในเขามิได้ชายตามองเหล่าทหารที่ล้มกลิ้งอยู่เต็มพื้นแม้แต่น้อย เจี่ยนตี้ซินเหลือบมองหลี่เฉินอย่างเฉยเมย “ฝ่าบาท ท่านคิดเห็นเช่นไร?”บนใบหน้าของหลี่เฉินปราศจากแม้แต่วี่แววของความรู้สึกเขารู้อย
เจี่ยนตี้ซิน…เพียงชื่อดังกล่าวผ่านเข้าหู หลี่เฉินก็รู้สึกไม่พอใจทันที“กล้าใช้ตัวอักษร ‘ตี้’ ซึ่งหมายถึง ‘จักรพรรดิ’ เป็นชื่อ เจ้านี่ช่างกล้าหาญนัก” หลี่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาการตั้งชื่อ ไม่ว่าจะเป็นคนขายของข้างถนนหรือถึงขั้นขุนนางชั้นสูง ต่างก็ต้องรู้จักหลีกเลี่ยงถ้อยคำต้องห้ามโดยเฉพาะคำว่า ‘หวง’ และ ‘ตี้’ ซึ่งแปลว่าองค์จักรพรรดิย่อมเป็นข้อห้ามสูงสุดนอกจากนี้ยังรวมถึงพระนามขององค์จักรพรรดิในรัชกาลปัจจุบันที่ต้องหลีกเลี่ยงเช่นกันสำหรับคนที่เข้มงวด ย่อมรวมไปถึงพระนามของจักรพรรดิองค์ก่อน และชื่อแผ่นดินด้วยแม้แต่หากเสียงอ่านคล้ายกัน ก็ต้องรีบเปลี่ยนชื่อทันทีไม่เช่นนั้น ย่อมถือว่าเป็นการล่วงเกินอย่างใหญ่หลวงนอกจากนี้ ยังมีธรรมเนียมการหลีกเลี่ยงชื่อผู้ใหญ่ในบ้าน ซึ่งสืบต่อกันมาจนถึงยุคปัจจุบันสำหรับจักรวรรดิต้าฉิน แม้จะถือว่าเข้มงวดน้อยกว่า อย่างน้อยก็ไม่ถึงกับต้องหลีกเลี่ยงพระนามขององค์จักรพรรดิที่ล่วงลับหรือชื่อแผ่นดินที่สิ้นสุดลง แต่กระนั้น ก็ไม่เคยมีผู้ใดกล้าใช้คำว่า ‘ตี้’ เป็นชื่อเจี่ยนตี้ซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ก็แค่ชื่อหนึ่ง ฝ่าบาทจะวิตกไปใย?”“นี่มิใช
“อามิตตาพุทธ”เจี้ยวั่งโค้งคำนับถวายคารวะหนึ่งครั้ง โดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดเกี่ยวกับวาจาห้ามฆ่าสัตว์ของชาวพุทธให้เสียเวลาแผนสำรองที่หลี่เฉินเตรียมไว้เพื่อรับมือเจ้าสำนักบัวขาว มิได้เสียเปล่าพลบค่ำวันเดียวกัน ขณะที่หลี่เฉินยังยุ่งอยู่กับราชการในพระที่นั่งสีเจิ้ง กงฮุยอวี่ก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าของเขา“เขามาแล้วหรือ?”หลี่เฉินเงยหน้ามองกงฮุยอวี่เพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ากลับไปตรวจแก้แผนปฏิรูปราชการต่อ น้ำเสียงทั้งเรียบเฉยทั้งห่างเหินกงฮุยอวี่พยักหน้าตอบ “มาแล้ว”“เหตุใดจึงไม่เข้ามา?” ครั้งนี้หลี่เฉินแม้แต่หน้าก็ไม่แย้มขึ้นมองกงฮุยอวี่กล่าวอย่างราบเรียบว่า “เขาว่าเขาไม่ชอบวังหลวง จึงขอเชิญฝ่าบาทเสด็จออกไปพบข้างนอก”“หึ”หลี่เฉินหัวเราะในลำคอ แล้วกล่าวว่า “ช่างวางท่าทางได้ใหญ่โตนัก”“ในเมื่อองค์ชายเป็นฝ่ายร้องขอเขา ก็ควรแสดงคุณธรรมของผู้รู้จักถ่อมตนเพื่อคนมีคุณธรรม”กงฮุยอวี่กล่าวจบ หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วเสริมว่า “เขากล่าวเช่นนั้นเอง”“ถ้าเช่นนั้น ก็ให้เขากลับไปที่ที่เขามาเถอะ”หลี่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าเป็นองค์รัชทายาท เขาเป็นอะไร? แค่คนใช้กำลัง ที่รวบรวมพวกหัวไม
ผู้ที่สามารถมาเยือนตำหนักบูรพาได้โดยไม่ต้องแจ้งก่อนนั้น ทั้งใต้หล้านี้มีเพียงท่านเจี้ยวั่งรูปเดียวเท่านั้นหลี่เฉินจึงทรงรีบมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าทันทีก่อนที่เจี้ยวั่งจะก้าวเข้าสู่พระที่นั่งสีเจิ้ง เขาถอดเสื้อฝนที่เปียกโชกด้วยน้ำฝนออกก่อน แล้วจึงเดินเข้าด้านในหลี่เฉินสังเกตเห็นรายละเอียดนี้ จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ตามที่ข้ารู้มา ยอดฝีมือผู้ฝึกฝนภายในจนกล้าแกร่งแล้ว ย่อมสามารถฝ่าสายฝนโดยไม่ให้แม้แต่ขนนกเปียกตัวได้มิใช่หรือ?”พระเจี้ยวั่งประนมมือ กล่าวพุทธคุณเสียงต่ำหนึ่งคำ ก่อนจะตอบว่า “ก็เป็นเช่นนั้น แต่ในเมื่อมาเข้าเฝ้าองค์ชาย ข้าพเจ้าย่อมไม่จำเป็นต้องอวดฝีมือให้เห็น”หลี่เฉินเพ่งมองเจี้ยวั่งอย่างละเอียด พลางขมวดคิ้วถามว่า “ที่ท่านบอกข้าไว้เมื่อคราวก่อน เป็นเรื่องจริงหรือ? ข้ามองดูท่านยังแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า หาใช่คนที่ใกล้สิ้นอายุขัยไม่”เจี้ยวั่งไม่ได้โกรธหรือรีบอธิบายใดๆ หากแต่เปิดจีวรของตนออกตรงๆเมื่อจีวรถูกยกขึ้น หลี่เฉินก็ได้เห็นผิวกายที่แห้งเหี่ยวและยับย่นราวกับเปลือกไม้ ตัดกับผิวพรรณของใบหน้าและแขนขาที่ยังเปล่งประกายเรียบเนียนเป็นอย่างมากหลี่เฉินขมวดคิ้วทันทีผิวกายลั
“แต่แม้จะมีตำแหน่งมากเพียงใด ก็ใช่ว่าจะเหมือนกันหมด”“บางตำแหน่ง จำเป็นต้องใช้บุคลากรที่เชี่ยวชาญในเชิงปฏิบัติงานจริง คนเช่นนี้อาจไม่ถนัดเรื่องประจบประแจง หรือไม่มีตำแหน่งสูงส่งนัก แต่ชนะที่ขยันขันแข็ง มุ่งมั่นทำงานให้ลุล่วง อย่างเช่นกรมโยธาธิการ ที่ต้องการคนที่มีความสามารถเฉพาะทาง”“อีกบางตำแหน่ง กลับต้องใช้คนที่รู้จักอ่านสีหน้าคนเป็น ต้องรู้จักประสานงานกับทุกฝ่าย บทบาทของตำแหน่งเหล่านี้คือการเชื่อมต่อระหว่างเบื้องบนกับเบื้องล่าง ต้องรู้จักเอาใจใส่ความสัมพันธ์กับเพื่อนขุนนาง ต้องดึงใจผู้ใต้บังคับบัญชาไว้ให้มั่น และต้องไม่ทำให้ผู้บังคับบัญชาเดือดร้อน เช่นกรมทะเบียนขุนนาง”“อีกบางตำแหน่ง อาจไม่ต้องมีความรู้มากนัก แต่ต้องรู้จักอ่านสถานการณ์ให้เป็น พบคนต้องพูดให้ถูกใจ พบผีต้องพูดให้เข้าหู ไม่ทำให้ใครโกรธ แต่ก็ต้องไม่เป็นคนที่คนพูดอย่างไรก็พยักหน้าไปหมด ต้องรู้จักรักษาหลักการของตนเองให้มั่น เช่น กรมครัวเรือน”หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นมองเหอคุน แล้วกล่าวว่า “ข้าถามเจ้า เจ้าคิดว่าตัวเองเหมาะไปอยู่ที่ใด?”เมื่อถูกถามเป็นครั้งที่สอง เหอคุนก็ไม่อาจตอบด้วยถ้อยคำสวยหรูแบบทั่วๆ ไปได้อีกเขาครุ่นคิ
ทั้งพิธีศพ ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพเมื่อศิลาจารึกถูกฝังลง เสียงสะอื้นปนเงียบงันปกคลุมเหล่าองครักษ์เสื้อแพรกว่าร้อยนาย สายตาของพวกเขาล้วนมีน้ำตาเจืออยู่กว่าครึ่งเฉินทงเองก็รู้สึกหดหู่ เขาเดินไปข้างวั่นเจียวเจียวแล้วกล่าวว่า “แม่นางวั่น ผู้ล่วงลับไปแล้ว โปรดระงับโศกเถิด”วั่นเจียวเจียวเช็ดน้ำตา แล้วกล่าวว่า “ขอบพระคุณแม่ทัพเฉินที่จัดงานศพให้ท่านพ่อเจ้าค่ะ”เฉินทงกล่าวเสียงต่ำว่า “ท่านกวางกงเคยมีพระคุณแก่พวกข้าไม่น้อย ตัวข้าเองก็เคยได้รับการชุบเลี้ยงจากท่านอยู่หลายครั้ง บัดนี้ท่านพลีชีพเพื่อแผ่นดิน ข้าจะไม่ทุ่มเทสุดกำลังได้อย่างไร?”“เพียงแต่ช่วงนี้สถานการณ์ไม่ปกติ งานศพจึงจัดได้เพียงเท่านี้ หวังว่าดวงวิญญาณของท่านกวางกงจะไม่ถือโทษโกรธเคือง”วั่นเจียวเจียวเอ่ยเสียงสั่น “ถ้าท่านพ่อได้เห็นภาพเช่นนี้ แม้จะอยู่ใต้ผืนดิน ก็คงยิ้มได้”เฉินทงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หันไปมองศิลาจารึกที่สลักตราองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน แล้วกล่าวว่า “องค์ชายทรงเมตตาต่อผู้ใต้บังคับบัญชาเพียงนี้ หากเราต้องตายแทนองค์ชาย ก็หาเสียดายไม่”เฉินทงถอนหายใจยาว แล้วกล่าวต่อ “แม่นางวั่น ฝนลมภายนอกแรงนัก กลับ
หลี่อิ๋นหู่ตายอย่างอื้อฉาวเกรียงไกรอย่างน้อยที่สุด เขาก็ยังถูกหลี่เฉินและจ้าวเสวียนจีใช้ประโยชน์เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อโยนความผิดทั้งปวงลงบนบ่าเขาคาดว่าตัวเขาเองก็คงไม่อาจมีคำใดจะค้านแม้จะมี ก็ไร้ประโยชน์คนตาย… ไม่อาจเอ่ยคำใดได้อีกเมื่อออกจากจวนจ้าว หลี่เฉินก็เสด็จกลับตำหนักบูรพา และในวันเดียวกันนั้น ก็มีพระราชโองการออกมาสามฉบับพระราชโองการทั้งสามฉบับนี้ สั่นสะเทือนไปทั่วใต้หล้าเพราะพระราชโองการทั้งสามฉบับนี้ ล้วนเป็นพระราชลิขิตที่จักรพรรดิแห่งต้าฉินทรงพระอักษรด้วยพระองค์เองไม่เพียงบอกเล่าถึงเหตุการณ์การกบฏทั้งหมด แต่ยังชี้ชัดถึงลักษณะของเหตุการณ์นั้นกล่าวอย่างแน่ชัดว่า การก่อกบฏของอดีตอ๋องหลี่อิ๋นหู่นั้นเป็นแผนการชิงอำนาจด้วยอาวุธที่ซุกซ่อนมานาน และเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่งโชคยังดี ที่องค์รัชทายาทผู้เปี่ยมด้วยปัญญาและวีรกรรม สามารถบดขยี้การก่อกบฏครั้งนี้ลงได้อย่างราบคาบ และยังสามารถจับกุมผู้เกี่ยวข้องได้จำนวนมากพระราชโองการฉบับแรก เป็นการยืนยันคุณความดีขององค์รัชทายาทนับตั้งแต่ทรงทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการ และยังเป็นการประกาศตำแหน่งรัชทายาทอย่าง
กรมพิธีการ!หนึ่งในหกกรมหลัก แม้จะเป็นเพียงกรมระดับกลางที่ไม่สูงไม่ต่ำ แต่ตามระบบของต้าฉินแล้ว กรมพิธีการรับผิดชอบทั้งพิธีกรรมของแผ่นดิน การศึกษา และการทูตโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าที่ด้านการศึกษา สำคัญที่สุดการศึกษานี้ มิใช่เพียงการสอบเข้ารับราชการของบัณฑิตเท่านั้น แต่หมายถึงการศึกษา การเข้าศึกษาของผู้เรียนทั่วทั้งแว่นแคว้น ล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของกรมพิธีการอำนาจเช่นนี้ จะกล่าวว่าสำคัญก็สำคัญ จะกล่าวว่าไม่สำคัญ… ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยจ้าวเสวียนจีมองหลี่เฉิน แม้แต่เขาที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมเกินคน ยังไม่อาจเข้าใจว่าในใจของหลี่เฉินคิดสิ่งใดในสายตาของเขา เวลานี้สิ่งที่หลี่เฉินควรทำที่สุด คือใช้โอกาสนี้บีบอำนาจในมือของเขาให้เล็กที่สุด ขยายอำนาจของตำหนักบูรพาให้กว้างที่สุดแต่หลี่เฉินกลับเริ่มต้นด้วยการมอบอำนาจของกรมพิธีการให้ แล้วในน้ำเต้าของเขานั้น ซ่อนยาอะไรไว้กันแน่?“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาใต้เท้าฟู่ ดำรงตำแหน่งเพียงมหาบัณฑิตแห่งสำนักราชเลขา งานการก็มิได้หนักหนา เพียงแต่…”คำพูดยังไม่ทันจบ หลี่เฉินก็โบกมือแล้วว่า “ในเมื่อขุนนางอาวุโสไม่เห็นว่ามีปัญหา เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เป็นอันตกลงตามน
“เมื่อคืนลมกรรโชกฝนกระหน่ำ อากาศเยี่ยงนี้มักทำให้ป่วยไข้ง่าย ขุนนางอาวุโสพึงต้องระวังรักษาสุขภาพให้ดี”ประโยคแรกที่เปิดปากเอ่ย หลี่เฉินก็แสดงสัญญาณแห่งไมตรีออกมาจ้าวเสวียนจีประสานมือคำนับเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “กระหม่อมร่างกายยังแข็งแรงอยู่บ้าง ขอบพระทัยองค์ชายที่ทรงเป็นห่วง เพียงแต่น้ำเสียงขององค์ชายฟังดูเสียงจมูกแน่นนัก หรือว่าทรงติดลมหนาวเข้าแล้ว?”หลี่เฉินปรายตามองถ้วยน้ำชาที่ว่างเปล่า แล้วกล่าวว่า “เมื่อคืนข้าถูกฝนเข้าเล็กน้อย จึงติดลมหนาวมา แต่ได้ให้หมอหลวงตรวจดูแล้ว หาเป็นเรื่องร้ายแรงไม่ ดื่มยาสองสามขนานก็หายแล้ว”จ้าวเสวียนจีลุกขึ้น รินน้ำชาให้หลี่เฉินด้วยมือตนเอง พลางกล่าวว่า “บัดนี้องค์ชายทรงเป็นผู้กุมราชการแผ่นดิน ไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็กในแว่นแคว้นก็ล้วนต้องผ่านพระหัตถ์ของพระองค์ ฉะนั้นไม่ว่าจะเพื่อแผ่นดินประชาราษฎร์ หรือเพื่อพระองค์เอง ก็พึงต้องทรงระวังรักษาพระวรกายไว้ให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”ผู้กุมราชการแผ่นดิน ไม่ว่าเรื่องใหญ่เรื่องเล็กในแว่นแคว้นก็ล้วนต้องผ่านพระหัตถ์ของพระองค์หลี่เฉินจับประโยคนี้ได้ในทันทีว่าแฝงนัยแห่งอะไรอยู่ เขารับถ้วยชาที่ร้อนจัดมาในมือ ก้มหน้าพลาง