ศาลากลางสวนสวยที่มีเหล่าทหารองครักษ์และบ่าวไพร่รายล้อมพร้อมรับใช้กำลังปรากฏเงาร่างของสองบุรุษผู้ยิ่งใหญ่กำลังยืนมองหน้ากันคล้ายกับเป็นศัตรูกันเมื่อหลายชาติภพ“มิคาดว่าคุณชายฟงจะไร้มารยาทถึงเพียงนี้” เสียงเนิบนาบของฉีหย่งเหอเริ่มขึ้นก่อน “เจอหน้ากันไม่เคารพตามยศศักดิ์เราไม่ว่า แต่กระทั่งทักทายตามวิสัยเจ้าของบ้านยังไม่ทำ”ฟงจินหมิงได้ฟังเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนเดินหน้านิ่งไปยืนมองดอกไม้หลากชนิดแทนคำตอบ ท่าทางหยิ่งทะนงช่างยียวนชวนโทโสหางตาของจักรพรรดิหนุ่มพลันกระตุกเมื่อเจอไม้นี้ของบุรุษตรงหน้า เขากำลังรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงอากาศอันว่างเปล่ากระนั้น ฮึ! “กระหม่อมรู้ว่าฝ่าบาททรงเสด็จมาที่นี่เพราะเหตุใด” ฟงจินหมิงเริ่มเอ่ยคำโดยไม่มีเสียเวลาเล่นงิ้วอันใดทั้งนั้น “กระหม่อมทูลได้คำเดียวว่าทรงเสด็จกลับไปเสีย” ฉีหย่งเหอยิ่งคิ้วสั่นระริกเมื่อได้ฟังคำโอหังเยี่ยงนั้น หากมีใครกล้าหาญเทียมฟ้าคงเป็นคนผู้นี้กระมัง ช่างเหนือคาดการณ์เป็นอย่างยิ่ง “ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะตรงไปตรงมา เช่นนั้นแล้วเราย่อมไม่อ้อมค้อมเช่นกัน” ฉีหย่งเหอกล่าวคำด้วยน้ำเสียงปกติแต่ในใจเริ่มเดือดดาล “เราต้องการคนของเราคืน!”
ศาลาหลังงามภายในจวนแม่ทัพฟงร่างสูงโปร่งงามสง่าทั้งยังเลอค่าสูงศักดิ์ในอาภรณ์สีเงินวาววับปักลายมังกรทองเรืองรองผ่องอำพรรณขับเน้นใบหน้ารูปงามให้ยิ่งหล่อเหลาราวกับภาพวาดแลรูปสลักเนื้อดีหายากยิ่งพิศยิ่งมองใบหน้างดงามดุจหยกล้ำค่านั้นก็ยิ่งทำให้เกิดกระแสบางอย่างแก่ผู้พบเห็นชายงามผู้นั้นเพียงยืนอยู่นิ่งๆ ผินใบหน้าหล่อล้ำไปทางสวนดอกไม้นานาชนิด เอามือไพล่หลังลาดไหล่ตั้งชันแผ่นหลังตั้งตรง มองแล้วช่างสง่างามยิ่งนักเหล่าบ่าวไพร่ที่ได้ยลถึงกับเดินสะดุดกันจนหัวทิ่มสาวใช้หลายนางถึงกับตาเป็นประกาย หลายนางต่างยื้อแย่งที่จะเป็นผู้โชคดีได้เข้ามารับใช้ยกขนมรินน้ำชา และอีกหลายนางถึงกับหวังสูงหมายจะปรนนิบัติอย่างลึกซึ้งบนตั่งบนเตียงอา...ร่างกายอยากโดนแรงปะทะรูปงามปานนั้นหากได้นอนครางใต้ร่างเขาสักคราคงไม่เสียชาติเกิดโดยแท้นั่นคือความคิดลึกล้ำอย่างสมัครสมานสามัคคีของเหล่าสาวใช้ของบ้านฟง ฉีหย่งเหอมิได้นำพาอันใดกับสายตาพราวระยับทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ว่าสตรีคนใดย่อมเหมือนกันหมด เห็นชายหนุ่มรูปงามเป็นไม่ได้เชียว จักรพรรดิหนุ่มมองทุกชีวิตที่ยืนรอรับใช้อยู่รายรอบศาลาด้วยสีหน้าเย็นชาสายตาเรียบเฉยเหล่าสน
ความรู้สึกปวดหนึบหนักหน่วงที่ท้องน้อยเริ่มเกิดขึ้นกับหลี่ลี่เหมย นางกำลังรับรู้ได้ถึงจังหวะเต้นตุบๆ แปลกประหลาดที่เนื้อนูนนั้นฟงจินหมิงเองก็ไม่ต่างกัน เขากำลังปวดหนึบหนักหน่วงกับบางอย่างที่กำลังชูคอแข็งขันพร้อมควบศึกในสนามรักกับนางทั้งสองบดเบียดริมฝีปากเสียดสีเรือนร่างผ่านอาภรณ์ที่เริ่มชุ่มเหงื่ออย่างต้องการมากกว่านั้น แต่ยังคงต้องห้ามอกห้ามใจกันเอาไว้สุดกำลังยามนี้ยามกลางวันทั้งยังมิได้แต่งงานกัน การกระทำมากกว่านั้นย่อมเป็นไปมิได้ฟงจินหมิงตระหนักดี เขาจึงพยายามถอนใบหน้าแดงซ่านกับริมฝีปากแดงช้ำออกจากซอกคอแดงก่ำของนางทั้งสองจึงจ้องหน้ากันด้วยใบหน้าแดงเปล่งปลั่งลามไปทั่วทั้งใบหูและลำคอ“ข้าย่อมแต่งเจ้าเข้าบ้านหลังจากที่เรื่องราวในเมืองนี้เสร็จสิ้นเรียบร้อย” เสียงแหบพร่าเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากเนื่องจากต้องเก็บกดอารมณ์เพลิงสวาทที่ปรารถนาในตัวนางเอาไว้สุดกำลัง“นานหรือไม่?” สตรีใต้ร่างที่ต้องเก็บข่มอารมณ์ไม่ต่างกันเริ่มรู้สึกใจร้อนขึ้นมา นางมิรู้ได้ว่าเรื่องอันใดที่ต้องรอให้เสร็จสิ้น หากแต่นานมากไปนางคงขาดใจตายเข้าสักวัน เขาคล้ายกับกินนางไปแล้วครึ่งตัวเหลืออีกครึ่งตัวที่นางต้องการให้เข
หลี่ลี่เหมยยิ่งใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ เมื่อถูกฟงจินหมิงกดจูบอย่างดูดดื่ม นางปรือตามองเขาในระยะประชิดจนเห็นเพียงแพขนตาของเขา ปลายลิ้นอุ่นชื้นของเขาเริ่มชำแรกสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากของนางหญิงสาวถึงกับตัวอ่อนยวบเมื่อเจอริมฝีปากบดเบียดอ้อมกอดรัดแน่น นางแหงนหงายใบหน้าเผยอริมฝีปากของตนตามแรงเบียดเสียดจากริมฝีปากของเขาปลายลิ้นของเราเจอกันในนั้นเขาไม่เคยจูบนางอย่างนี้ จูบแบบนี้ นางทำสิ่งใดไม่ถูกทั้งนั้นหลี่ลี่เหมยทำได้เพียงครางอือๆ อยู่ในลำคอ ฟงจินหมิงได้ยินยิ่งมีอารมณ์ทำนางต่อเขาเลื่อนฝ่ามือที่กอบกุมแก้มนวลลงมาที่ลำคอ ก่อนถอนริมฝีปากออกมาแล้วลากไล้ปลายลิ้นมาตามทางเสียงครางแว่วหวานเริ่มดังขึ้นเมื่อริมฝีปากของนางได้รับอิสระ กอปรกับซอกคอของนางช่างหอมกรุ่นรสชาติช่างหอมหวาน ฟงจินหมิงจึงส่งเสียงครางทุ้มต่ำอย่างพึงพอใจ นั่นยิ่งทำให้หลี่ลี่เหมยเริ่มอ่อนระทวยเมื่อร่างงามนุ่มนิ่มทั้งตอบรับทั้งหมดแรง ร่างแกร่งจึงโอบกระชับนางมากยิ่งขึ้น ริมฝีปากเสียดสีก็เช่นกันเริ่มบดเบียดนางมากกว่าเดิม อึดใจแผ่นหลังของหญิงสาวพลันรู้สึกได้ถึงเตียงนอนอุ่นนุ่มหาได้มีความรู้สึกอื่นใด กระทั่งริ้วรอยบาดแผลตรงแผ่นหล
ชายหนุ่มได้ฟังอย่างนั้นจึงหัวเราะเสียงเบาในลำคอ เขารู้สึกพึงพอใจ ถึงแม้น้ำเสียงของนางจะเสียดแทงแก้วหูหนักหนาเขายังคงกล่าวคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบดุจเดิม "หากแต่งงานกัน ลูกๆ ก็จะเป็นเพียงสตรีสามัญชนคนธรรมดา""แต่หากว่าลูกๆ ต้องการสอบจอหงวนท่านก็อย่าห้ามเชียว" หญิงสาวขู่ออกมาก่อนนึกแปลกใจ แล้วเอ่ยเสียงเครียด "อืม...แต่ว่า ท่านจะมีลูกกี่คนกัน พูดลูกๆ แบบนี้หมายความว่าอย่างไร ข้ามิใช่แม่วัวนะ"ฟงจินหมิงได้ยินถึงกับหัวเราะออกมา "แน่นอนเจ้ามิใช่แม่วัว แต่เจ้าย่อมทำหน้าที่ได้ไม่ต่างกับแม่วัวพันธุ์ดี และข้าก็คือพ่อวัวพันธุ์ดีทำหน้าที่ส่งผลิตใส่เจ้า""..."หลี่ลี่เหมยรีบเงยหน้าขึ้นมาจากแผงอกหมายตวาดกลับอย่างไม่ยินยอมเป็นวัว แต่เมื่อสบตากับฟงจินหมิงที่ฉายแววเข้มข้นลึกล้ำแฝงความกังวลบางเบานางจึงนิ่งไปฟงจินหมิงก้มหน้ามองหญิงสาวในอ้อมแขนนิ่งๆ สายตาเรียวคมมองสบกับสายตาเรียวสวยในระยะที่ใกล้กันมาก ลมหายใจก็เช่นเดียวกัน เป่ารดหน้ากันจนคล้ายกับเป็นลมหายใจของกันเพียงหนึ่งเดียว"ท่านมีอะไรหรือ?" หญิงสาวถามออกมาอย่างห่วงใย นางมิได้มองผิดไป เขากำลังกังวล แต่มิรู้ได้ว่ากังวลเรื่องใด"เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าจะอ
ชายหนุ่มถึงกับคลี่ยิ้มออกมา เป็นยิ้มที่ห่างหายมานานนับตั้งแต่รู้เรื่องของฉีหย่งเหอจากวังชินอ๋อง“ข้าเชื่อเจ้า” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม แววตาคมปลาบฉายความอ่อนโยนมากกว่าที่เคย เขาก้มหน้ามองนางพลางกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกนิด แต่ความอุ่นซ่านกลับเพิ่มขึ้นทบทวีหลี่ลี่เหมยยกยิ้มชอบใจ นี่นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี นางรู้แล้วว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เขาจึงดุร้ายกับนางนักหนา ที่แท้ก็เป็นเพราะว่านางทำตัวไม่เหมาะสมให้เขาต้องคอยห่วงนี่เอง“ข้าชอบท่าน” หญิงสาวเอ่ยออกมา นางเคยบอกเขาแล้วก่อนหน้าด้วยใจชอบเขาเพียงแปดส่วน แต่ยามนี้นางชอบเขาถึงสิบส่วนเลยเชียว นางชอบเขาหมดใจ“ข้ารักเจ้า”“...”จู่ๆ คนตรงหน้าพลันเอ่ยคำหาฟังยากหลี่ลี่เหมยถึงกับต้องกะพริบตาปริบๆ เงยหน้ามองคนพูดคอแทบหักเขาว่าอะไรนะ?ฟงจินหมิงยิ่งนึกขันเมื่อเห็นนางอ้าปากตาโตอย่างนั้น เขาก้มหน้าลงบดจมูกโด่งสันกับพวงแก้มนุ่มนิ่มอย่างนึกเข่นเขี้ยว"อื้อ! ข้าได้ยินไม่ชัด" หลี่ลี่เหมยเบี่ยงแก้มหลบปลายจมูกที่มีลมหายใจกรุ่นร้อนรินรด "ท่านว่าอะไรนะ?"“ของดีมีครั้งเดียว”“หา!”หลี่ลี่เหมยรู้สึกหัวใจเต้นรุนแรงจนคับแน่นอยู่ในอก นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีบุรุษมา