เมื่อเครื่องดนตรีแบบชาวฉางอันถูกนำเรียงไว้ข้างเวทีจัดเตรียมให้คุณหนูทั้งสี่ตระกูลเลือกใช้ แต่ดูเหมือนว่าคุณหนูสองคนแรกจะเลือกแสดงร่ายรำตามทำนองบทเพลงของชาวฉางอัน
ส่วนหม่าฉวี่หลินก็ขึ้นแสดงเป็นคนที่สาม นางเลือกใช้กู่เจิงบรรเลงเพลงที่เต็มไปด้วยความสุขมอบให้กับทุกคนในงานด้วยท่วงทำนองที่อ่อนหวานไพเราะฟังแล้วรื่นหู
แต่ก็มีคนที่ฟังไม่เข้าหูนั่นก็คือฉันเอง อยากจะก้าวเข้าไปกดหัวนางหม่าฉวี่หลินขูดกับกู่เจิงเสียเหลือเกิน ดูจะไม่กลัวความผิดที่ตนก่อไว้เลยสินะถึงได้มั่นหน้าปั้นยิ้มหวานส่งให้คู่หมายผู้อื่นตลอดทั้งที่เขาก็ไม่แม้แต่จะชายตามองตนเลยด้วยซ้ำ รอก่อนเถอะเดี๋ยวเสร็จงานเมื่อไหร่หล่อนจบไม่สวยแน่
ดวงตากลมโตมองเป้าหมายอย่างเรียบนิ่งทั้งที่ภายในร้อนเป็นไฟด้วยความโกรธแค้นกับกรรมที่สตรีนางนั้นก่อไว้กับตนอย่างไม่น่าให้อภัย
กระทั่งการแสดงจบลงจนเป้าหมายของวันนี้เดินลงจากเวที หลี่เหมยซินก็ต้องบังคับร่างกายตนไม่ให้ไปจิกหัวนางกลางงานตอนนี้ให้เสียฤกษ์
“คุณหนูหลี่หากทำไม่ได้ก็ถอนตัวเถิด ข้าสามารถช่วยพูดให้เจ้ารักษาหน้าของตระกูลไว้ได้นะเจ้าคะ” หม่าฉวี่หลินพูดกระซิบให้ได
หลี่เหมยซินเดินทางมาถึงหน้าหอวิหคราตรี ดวงตาคู่งามนิ่งสงบภายใต้หมวกคลุมหน้าสีดำ ชุดที่สวมใส่เป็นเครื่องแบบจอมยุทธหญิง ท่าทางเดินตรงอย่างมั่นใจยื่นตราวิหคนั่นให้คนของหอดู เขาก็ผายมือเชิญให้นางเดินตามขึ้นไปชั้นหกหลี่เหมยซินไม่ได้สนใจสิ่งแปลกใหม่ในหอวิหคราตรีสักนิด นางเดินตามบ่าวในหออย่างใจเย็นและมีเป้าหมาย นางนั่งจิบชารอผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของหอนี้อยู่ในห้องตามที่บ่าวชายผู้นั้นบอกสักพักชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามาให้ห้อง เมื่อประตูปิดสิ่งที่พูดในห้องนี้ถือว่าเป็นความลับ ชายวัยกลางคนเริ่มเปิดบทสนทนาก่อน “เชิญท่านกล่าวสิ่งที่ต้องการขอรับ อย่าลืมว่าตามเงื่อนไขสิ่งที่ขอต้องถูกต้องตามกฎบ้านเมืองเรา”“ข้าต้องการยาถอนพิษน้ำค้างแข็งแล้วก็.. ล้างมลทินให้ตระกูลหลี่ด้วย”พู่กันในมือของชายวัยกลางคนที่จุดบันทึกนั้นถึงกับชะงัก ก่อนเขาจะดึงสติกลับมาได้โดยที่หลี่เหมยซินไม่ทันสังเกต “คำขอท่านใช้เวลาดำเนินการอนุมัติภายใน 7 วันขอรับ”“ข้าต้องการในเช้าวันถัดไป” หลี่เหมยซินเสียงเย็นเพราะนางไม่มีเวลารอพวกเขาถึง 7 วัน“ไม่ได้ขอรับ การอนุมัติคำขอตามเงื่อนไขข้อสอง เจ้าขอ
“นางเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงทุ้มเอ่ยถามกับบ่าวรับใช้ชายข้างกายขณะนั่งอ่านตำราในห้องเงียบๆ คนเดียว“ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาคุณหนูหลี่เอาแต่เหม่อมองไปที่หน้าต่างด้านนอก ไม่พูดไม่จา ไม่ยอมทานอาหารหรือน้ำเลยขอรับ” บ่าวชายรายงานตามที่เห็นให้นายท่านของตนฟังฮ่าวหรานประมุขสำนักไป๋เหลียงละสายตาจากตำราในมือ ใบหน้าคมครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนถอนหายใจ น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนกล่าว “สภาพจิตใจนางย่ำแย่มาก อย่าปล่อยให้นางอยู่คนเดียวเด็ดขาด”“ขอรับ”หลายเดือนที่ผ่านมาหลังจากช่วยหลี่เหมยซินในวันที่นางเกือบโดนเผาทั้งเป็น เขาพานางมารักษาตัวในสำนักไป๋เหลียงที่ตั้งอยู่กลางป่ากลางเขาห่างไกลจากโลกภายนอกช่วงเวลารักษาอาการป่วยของหลี่เหมยซินจะยาวนานหลายเดือน แผลตามร่างกายจากการถูกทรมานในคุกดีขึ้นก็จริง แต่สภาพจิตใจของนางกลับเหมือนเดิม“ลุกขึ้นมาเถิด ถึงเวลาอาหารแล้ว” เสียงฮ่าวหรานดังขึ้นตั้งแต่ทางเข้าห้องของนาง“…” หลี่เหมยซินในชุดขาวปล่อยผมสีหมึกยาวสลวยนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง นางไม่เพียงเงียบเช่นทุกครั้งแต่นางยังไม่แม้แต่จะหันไปมองเขาด้วยซ้ำ ใบหน้างามขาวซีดดวงตาแสดงถึงความว่าง
หลี่เหมยซินไม่อยากให้คนของหอวิหคราตรีเสี่ยงตายเพราะช่วยนางอีก นางรู้ว่าไม่มีนักฆ่าคนไหนไม่กล้าลงมือกับคนของหลันเซ่อถึงตายเพราะผลที่ตามมายากจะคาดเดาแต่ก็รู้ทั่วว่าไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักนิด เจ้าของหอวิหคราตรีอย่างหลันเซ่อให้ความสำคัญกับคนของตนมากขนาดไหน หลันเซ่อคงไม่ยอมให้ฆาตกรลอยนวลแน่หลี่เหมยซินนางใช้เส้นทางซ้ายมือเพื่อให้เวลาท่านแม่กับเยว่หมิงพอถึงทางแยกกลับไปเส้นทางเดิมที่เร็วกว่า ขณะที่กำลังเลี้ยวขวาเข้าสู่เส้นทางเดิมหลี่เหมยซินนก็กระอักเลือดดำคำโตเพื่อขับพิษออกมาก่อนครบ 2 ชั่วยาม การขับพิษออกจากร่างกายของนางเร็วกว่าที่คิดนางจึงต้องกินยาสามเม็ดรอบสองตามลงไปเหลือเวลาอีก 4 ชั่วยาม แต่ถ้าขับพิษออกมาก่อนเวลากำหนดอีกนางคงไม่รอดแน่ตัวยายังขาดอีกสองเม็ดฟิ้ววว ฟิ้ววว ฟิ้ววว ฟิ้วววลูกธนูพุ่งมาทางหลี่เหมยซิน นางตัดสินใจตีม้าของบุรุษร่วมทางให้เขาหนีกลับเข้าไปเส้นทางเดิม ส่วนตัวนางก็ขี่ม้าหนีไปอีกทางเพราะหักโหมเกินไปบาดแผลเก่าจึงเริ่มปริรอยเลือดไหลซึมติดเสื้อหลี่เหมยซินชัดขึ้นเรื่อยๆ นางกัดฟันทนความเจ็บปวดขี่ม้าต่อไปด้วยความเร็วทั้งยังต้องคอยหลบลูกธนู
ขบวนรถม้าและคนนับสิบต่างพากันอพยพหนีนักฆ่าที่กำลังตามมาติดๆ ตอนกลางคืน หลี่เหมยซินนั่งกังวลใจอยู่ในรถม้ากับท่านแม่และล่องลอยฟิ้วววว ฟิ้วววว ฟิ้วววว ฉึก! ฉึก! ฉึก!ลูกธนูปักทะลุกำแพงไม้ของรถม้า ขณะเดียวกันขบวนทั้งหมดก็หยุดวิ่งกะทันหันเพราะถูกกลุ่มคนชุดดำล้อมรอบ หลี่เหมยซินกระโดดลงจากรถม้าปะทะกับชายชุดดำพร้อมหลี่ลู่เสียนและคนของหอวิหคราตรีอย่างดุเดือดหลี่ลู่เสียนเป็นแม่ทัพใหญ่วรยุทธของเขาย่อมสูงกว่าคนทั่วไป นั่นทำให้นักฆ่าส่วนมากเล็งเป้าหมายไปที่เขาก่อน ขณะที่ล่องลอยลู่เสียนก็กำลังถูกล้อมด้วยนักฆ่ามากมายจนแทบต้านไม่อยู่นักฆ่าคนหนึ่งใช้โอกาสนั้นซัดเข็มพิษใส่หลี่ลู่เสียนแบบไม่ทันตั้งตัว แต่เขาก็แกว่งดาบทำให้เข็มพิษนั้นย้อนกลับหาพวกมันทั้งหมดหลี่เหมยซินตาไวเห็นนักฆ่าสองคนจู่โจมทางด้านหลังท่านพ่อในจังหวะที่ไม่สามารถหันไปรับมือได้ นางจึงกระโดดเข้าดงนักฆ่าสกัดคนผู้นั้นกระเด็นไปไกลทันที ที่ตรงนี้อันตรายเป็นอย่างมากสำหรับหลี่เหมยซินเพราะหากพลาดนิดเดียวก็ถูกปลิดชีพได้ พวกมันมีวรยุทธสูงกว่านางหลายเท่า ดังนั้นไม่แปลกที่ท่านพ่อจะรับมือแทบไม่อยู่สองพ่
ขบวนรถม้าครอบครัวหลี่เร่งเวลาเดินทางอย่างที่สุดจนมาถึงครึ่งทางระหว่างเมืองหลวงกับเมืองซวงโจวทิศเหนือ ทว่าสิ่งที่พวกเขากังวลมาตลอดทางก็เกิดขึ้นจริงหลี่เหมยซินกับครอบครัวทราบข่าวว่าเมืองหลวงเกิดกบฏขึ้นจากคนของหอวิหคราตรีที่ส่งจดหมายโดยใช้นกพิราบมาแจ้งให้หลี่ลู่เสียนและกำชับทุกคนว่าต้องไปถึงเมืองซวงโจวให้เร็วที่สุด เนื่องจากในเมืองหลวงกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่“ทำไม” หลี่เหมยซินต่างพูดเสียงเบาเมื่ออ่านจดหมายนั้นนางก็สับสนไม่คิดว่าเว่ยเหยียนเฟิ่งจะก่อกบฏจริงเพราะในอดีตไม่มีสงครามเสียหน่อย เสนาบดีหม่าวางแผนลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้แล้วก็ใส่ร้ายโยนความผิดทั้งหมดให้ท่านพ่อของนาง แต่นี่ไม่ใช่แล้ว ต้องเกิดอะไรขึ้นกับเขาแน่นอน“วันเวลากบฏตรงกับช่วงเวลาที่เหล่าบุปผาราตรีทั้งเจ็ดจำเป็นต้องกลับฉางอันเพื่อฟื้นฟูพลัง” ท่านพ่อกล่าว“แล้วพวกเขาจะออกจากฉางอันได้เมื่อไหร่เจ้าคะ”“เมื่อพระจันทร์เต็มดวงครบสามครั้ง เริ่มนับจากวันที่กลับฉางอันเต็มดวงอีกทีนับเป็นครั้งที่หนึ่ง”“อีกสามเดือนเชียวรึเจ้าคะ เมืองหลวงแคว้นเว่ยไม่ย่อยยับเสียก่อนหรือเจ้าคะ”“เพราะอย่างนี
ส่วนท่านพ่อก็จัดหารถม้าทั้งหมด 4 คัน ฉันท่านแม่และเยว่หมิงเราจะนั่งคันเดียวกัน เพราะท่านพ่อขี่ม้านำขบวน รถม้าคัน 3 คนที่เหลือจึงใช้ขนของแทน พอคนของหอวิหคราตรีมาถึงหน้าจวนเพื่อทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ระหว่างเดินทางตามคำสั่งนายหญิงของตนฉันกับท่านพ่อเลยไม่ต้องเสียเวลาไปหาคนมาคุ้มกันจากที่ไหนข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นจริงๆ ทุกอย่างก็ใส่บนรถม้า 3 คันเรียบร้อยดีแล้ว ฉันกับครอบครัวก็ออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดทันทีไม่รีรออะไรแล้วล่ะมุ่งหน้าเดินทางไปยังเมืองซวงโจวเพราะต้องไปส่งเยว่หมิงที่นั่นก่อน หรืออาจจะตั้งหลักปักฐานอยู่เมืองซวงโจวเลยก็เป็นได้ ขณะที่นั่งรถม้าฉันก็ไม่ลืมคิดถึงคำเตือนของหลันเซ่อถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนในอดีต นั่นคือการถูกตามล่าแม้ครั้งนี้จะไปคนละทางกับอดีตเพราะในอดีตเราหนีไปทิศทางตะวันตก แต่เมืองซวงโจวที่เรากำลังมุ่งไปอยู่ทิศเหนือ สิ่งที่ต้องทำคือเร่งการเดินทางให้ไกลออกไปจากเมืองหลวงมากที่สุด“ยิ่งห่างไกลจากเมืองหลวงเท่าไหร่ โอกาสรอดยิ่งเพิ่มขึ้น” ฉันพึมพำเสียงเบาขณะมองหน้าออกไปทางหน้าต่าง3วันต่อมา ณ ห้องทรงอักษร