LOGINเสียงดนตรีบรรเลงดังสะท้อนก้องทั่ววังหลวง แสงโคมไฟสว่างไสวแต่งแต้มทั่วตำหนักองค์ชายสาม ผู้คนต่างเฉลิมฉลองให้กับพิธีสมรสขององค์ชายสาม หลงเจิ้งหยาง กับบุตรสาวของเสนาบดีไป๋เหวินเทียน
ทว่าภายในเรือนหอ บรรยากาศกลับเย็นเยียบราวกับหลุมศพ
ไป๋ลี่เยว่นั่งอยู่บนเตียงบุปผา อาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสดปักดิ้นทองขับผิวงามให้ขาวผ่อง แต่หลังจากเจ้าบ่าวได้ปลดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกกลับเผยใบหน้าอวบดูซีดเซียว ร่างกายอวบอ้วนทำให้อาภรณ์ที่ควรจะสง่างามกลับดูรัดแน่นจนน่าอึดอัด
นางเอื้อมมือไปลูบชายผ้าของตัวเอง รู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมออกมาผสมกับฝ่ามือเย็นเฉียบ เมื่อนางได้รู้ว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าเกลียดชังนางเพียงใด
“สมความปรารถนาของเจ้าแล้ว หมดหน้าที่ของข้าแล้ว” น้ำเสียงเย็นชาและกดข่มดังขึ้นจากด้านหน้า หลังปลดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นสบตาบุรุษที่ถูกขนานนามว่าเป็นเทพสงครามแห่งแคว้นต้าเฉิง
หลงเจิ้งหยาง องค์ชายสามแห่งต้าเฉิง ยืนกอดอกมองนางด้วยสายตาเย็นชา เขาสวมอาภรณ์ชุดเจ้าบ่าวเต็มยศ ขับให้ใบหน้าคมคายดูดุดันราวกับเทพสงครามของแคว้น
“องค์ชายสาม ต่อจากนี้ หม่อมฉันได้ใช้ชีวิตร่วมกับท่านแล้ว แม้ท่านยังไม่รักหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันจะใช้ชีวิตข้างกายท่านให้ดีที่สุดเพคะ”
“เจ้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งพระชายาของข้าด้วยซ้ำ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
“เจ้าใช้ความดีความชอบที่ช่วยชีวิตข้า มาแลกกับการเป็นพระชายาสามของข้า ฝันใฝ่ถึงข้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
ไป๋ลี่เยว่ชะงักงัน ราวกับถูกกรีดกลางหัวใจ
“หม่อมฉัน” นางอ้าปากจะพูด แต่กลับไม่มีคำใดเปล่งออกมา
“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเจ้าสมควรยืนอยู่ข้างกายข้า” ร่างสูงสูดหายใจลึกเพื่อระงับความโกรธ
“คิดจริงๆ หรือว่าเจ้าคู่ควรกับตำแหน่งพระชายาขององค์ชายสาม”
ไป๋ลี่เยว่กำมือแน่น มือของนางสั่นเล็กน้อย
“หม่อมฉัน”
“เจ้าเป็นสตรีที่โง่เขลาและเห็นแก่ตัวนัก ไป๋ลี่เยว่ ” หลงเจิ้งหยางกล่าวเสียงเย็น
“เจ้าอ้วน หน้าตาธรรมดา ไร้เสน่ห์ มีดีเพียงฐานะบุตรสาวขุนนางผู้มีความดีความชอบเท่านั้น”
“เช่นนี้แล้ว เจ้าคิดจริงหรือว่าข้าจะยินดีแต่งงานกับเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่รู้สึกเหมือนโลกของนางกำลังพังทลาย บุรุษที่นางรัก พูดกับนางเช่นนี้
ใช่ นางรักเขา
เมื่อสามปีก่อน องค์ชายสามได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกลอบสังหาร บังเอิญว่านางไปพบเข้า และช่วยเหลือเขาไว้ แม้ในตอนนั้นเขาจะหมดสติ แต่นางก็ทุ่มเททุกสิ่งเพื่อรักษาชีวิตเขาเป็นเวลาหลายเดือนกว่าเขาจะฟื้น
ตอนนั้นนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่นางช่วยชีวิตไว้เป็นใคร นางรู้เพียงว่ารักเขาตั้งแต่แรกพบ
เมื่อได้รับโอกาสให้ขอรางวัลจากฮ่องเต้ นางจึงขอเพียงแค่ ‘การแต่งงาน’ กับเขา คิดว่า บางทีเขาอาจจะมองนางในแง่ดีขึ้นบ้าง
ทว่า นางคิดผิด
“เจ้ามัน ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” หลงเจิ้งหยางแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“เจ้าคิดจริงหรือว่าการช่วยชีวิตข้าจะทำให้ข้ารักเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่ก้มหน้าลง น้ำตาที่เอ่อล้นถูกกลืนกลับไปในลำคอ
“หม่อมฉันมิได้หวังให้ท่านรักหม่อมฉันตอนนี้” นางกล่าวแผ่วเบา
“หม่อมฉันเพียงหวังว่า ท่านจะไม่รังเกียจหม่อมฉันเพียงนี้”
หลงเจิ้งหยางหัวเราะเยาะ “แต่ข้าก็รังเกียจเจ้าอยู่ดี”
“ไปให้พ้นจากสายตาข้า”
เสียงทรงอำนาจขององค์ชายสามดังขึ้นราวกับสายฟ้าฟาดกลางใจ ไป๋ลี่เยว่ที่อยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงสดยังไม่ทันตั้งตัวดี ก็ถูกผลักไสให้ล้มลงไปกับพื้นเย็นเยียบ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเดียดฉันท์ ราวกับว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นตราบาปของชีวิต นางกำมือแน่น พยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวด แต่หยาดน้ำตากลับหยดลงมาบนอาภรณ์สีแดงสด
“องค์ชาย” นางพยายามยกมืออวบขึ้นคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ แต่กลับถูกสะบัดออกอย่างไร้เยื่อใย
“อย่ามาแตะต้องข้า อ้วนเหมือนหมูเช่นเจ้า คิดหรือว่าจะคู่ควรกับข้า”
ไป๋ลี่เยว่กำมือแน่น ฝืนกล้ำกลืนก้อนสะอื้นในลำคอ
“แต่” นางเรียกเขาอย่างแผ่วเบา เสียงสั่นเครือ
“คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของเรา”
“เข้าหอ น่าขันสิ้นดี” หลงเจิ้งหยางหัวเราะเย็นชา ดวงตาสีดำสนิทกวาดมองนางจากศีรษะจรดปลายเท้าอย่างเย้ยหยัน
“เจ้าคิดว่าข้าจะหลับนอนกับสตรีอัปลักษณ์เช่นเจ้าจริงหรือ”
หัวใจของไป๋ลี่เยว่บีบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก นางรับรู้ถึงความเกลียดชังที่เขามีต่อนาง แต่ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงถึงเพียงนี้
“แต่หม่อมฉันเป็นพระชายาของพระองค์” นางพยายามเอ่ยออกมา แม้จะรู้ดีว่าคำพูดของนางไร้ความหมาย
หลงเจิ้งหยางก้าวเข้ามาใกล้ คุกเข่าลงตรงหน้าเตียงแล้วบีบคางของนางแน่นจนรู้สึกเจ็บ
“จำไว้ให้ดีไป๋ลี่เยว่ ข้าแต่งงานกับเจ้าก็เพราะราชโองการ หาใช่เพราะข้าเต็มใจ”
แววตาของเขามีแต่ความเย็นชา ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยเพลิงแค้นที่นางไม่เข้าใจ
“หากไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นนางจิ้งจอกไปขอสมรสพระราชทานจากเสด็จพ่อมาบังคับข้า เจ้าคิดจริงหรือว่าข้าจะลดตัวมาแต่งกับเจ้าที่อัปลักษณ์เช่นนี้”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางมีแววปวดร้าว
“หม่อมฉันรู้ ว่าท่านมิได้รักหม่อมฉัน”
“แต่หม่อมฉันก็เพียงหวังว่า จะได้ดูแลท่าน ได้อยู่เคียงข้างท่าน เพียงเท่านั้นก็พอใจแล้ว” นางกลั้นน้ำตาไว้ก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่ดูเหมือนว่า หม่อมฉันจะคิดผิด”
หลงเจิ้งหยางจ้องมองนาง หัวเราะเยาะอีกครั้ง
“ดีที่เจ้ารู้ตัว เช่นนั้น เจ้าจงอยู่ในตำหนักไปเงียบๆ และอย่าได้หวังว่าจะได้รับความรักจากข้า เพราะข้าจะไม่มีวันรักเจ้า”
“ไม่มีวัน” หลงเจิ้งหยางย้ำเสียงดัง
เขากำลังจะออกจากห้องหอนี้โดยไม่ต้องแตะต้องนาง แต่ทันใดนั้นเอง ร่างกายของเขาก็เริ่มร้อนผ่าว
“นี่มัน”
ความร้อนวาบพุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกกระหายที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน กำลังถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง
“องค์ชาย ท่านเป็นอะไรไป” ไป๋ลี่เยว่มองเขาด้วยความตกใจ
“ข้า ข้าถูกวางยา” หลงเจิ้งหยางกัดฟันแน่น เขาถูกวางยาปลุกกำหนัดและรู้ทันทีว่านี่เป็นฝีมือของผู้ใด
“เสด็จแม่”
และมีเพียงนาง ที่อยู่ตรงหน้าเขาในยามนี้
“องค์ชาย”
ไป๋ลี่เยว่ยังคงนิ่ง แม้จะรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่นางก็ยังคงอ่อนโยน และมิได้ผลักไสเขาออกไป
หลงเจิ้งหยางกำหมัดแน่น เขาโกรธตัวเอง โกรธเสด็จแม่ โกรธไป๋ลี่เยว่ และโกรธโชคชะตาที่บีบบังคับเขา
แต่ในค่ำคืนนี้ เขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว
“เจ้าต้องการเป็นพระชายาของข้านักใช่หรือไม่” หลงเจิ้งหยางก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาเย็นเยียบของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน
“เช่นนั้น ข้าจะทำให้เจ้าสมปรารถนา”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นมองเขา ก่อนที่ร่างของนางจะถูกกระชากเข้าสู่อ้อมแขนของบุรุษที่นางรักสุดหัวใจ
หอพระโรงชุมนุมขุนนาง – รุ่งเช้าหลังหิมะตกหนักหิมะบางยังเกาะตามชายอาภรณ์ของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ทยอยเข้าสู่หอชุมนุมอย่างเคร่งขรึม เสียงรองเท้าหนังสัตว์กระทบบนพื้นศิลาหินก้องสะท้อนภายใต้เพดานสูง เสาหินแกะลวดลายมังกรโบราณเงียบงัน ทว่าเหมือนจ้องมองมนุษย์อย่างลึกลับจากเบื้องบนฮ่องเต้ประทับเหนือบัลลังก์มังกรในฉลองพระองค์คลุมขนจิ้งจอกสีดำ สายพระเนตรทอดนิ่งราวหยั่งจิต ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ที่ทยอยค้อมกายถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียงเสียงขันทีหลวงประกาศราชกิจขึ้นอย่างกังวาน“ขอถวายรายนามราชทูตแคว้นต้าเหยียน จะเดินทางถึงเมืองหลวงภายในห้าวัน ขอฝ่าบาททรงพระเมตตาแต่งตั้งผู้รับรองทูตเพื่อเป็นตัวแทนพระองค์โดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ”สิ้นเสียงขันทีประกาศสงบลงบรรยากาศยังเงียบขรึม ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกจากแถวมาคำนับ และกล่าวทูลเสียงดังขึ้นแทบจะทันที“กระหม่อม เวินซื่อเจี้ยน เสนาบดีฝ่ายธรรมบัญญัติ ขอเสนอให้องค์ชายสอง หลงเหวินหยาง ทรงเป็นผู้รับหน้าที่เจรจาครานี้พ่ะย่ะค่ะ เพราะองค์ชายสองเหมาะสมที่สุด พระองค์ทรงเปี่ยมวาทศิลป์ เป็นผู้มีความสามารถศาสตร์ด้านการเจรจา เข้าใจระเบียบธรรมเนียมการทูตมากกว่าผู้ใด และเป็นผู้มีค
เรือนรองในตำหนักชิงอวิ๋น ยามสายของยามเฉิน หิมะบางเบาโปรยปรายลงบนยอดไม้ด้านนอก ต้นเหมยใต้เฉลียงยังคงผลิบานพลิ้วไหวท้าลมหนาวอย่างสง่างาม กลีบดอกสีแดงชาดแต้มอยู่กลางสีขาวโพลนของหิมะบริสุทธิ์งดงามราวภาพวาด ม่านบางพลิ้วไหวกระพือเบาตามลม กลิ่นชาอู่หลงหอมกรุ่นลอยอวลเจืออยู่ในอากาศ อบอุ่นเพียงพอจะกลบความหนาวเย็นของยามเช้าได้อย่างอ่อนโยน หงเหมยรินถวายถ้วยชา ก่อนจะก้มตัวถอยออกไปเงียบงัน อย่างรู้หน้าที่ปล่อยให้ความสงบกลับคืนสู่เรือนรอง ภายในห้องเหลือเพียง ฮองเฮาที่ประทับนั่งอยู่ด้านหน้าในอาภรณ์ขนจิ้งจอกสีเงินอ่อน แววตาแน่นิ่งแต่เปี่ยมด้วยความคิดลึกซึ้ง ขณะเดียวกัน ไป๋ลี่เยว่นั่งที่ตั่งเล็กอย่างนอบน้อมและสำรวมด้วยความเคารพ ทั้งคู่เผชิญหน้ากันด้วยรอยยิ้มละมุน แววตาทั้งสองประสานกันอย่างสงบ แต่ลึกซึ้งคล้ายอาวุธที่ซ่อนปลายไว้ในปลอกไหม“เจิ้งหยางพาจิ่นอวิ๋นไปดูลูกม้าตัวใหม่ในคอกแล้ว… เด็กน้อยคงวิ่งตามหลังบิดาจนหิมะเกาะชายอาภรณ์หมดแล้วเป็นแน่… น่าเอ็นดูเสียจริง” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของฮองเฮาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ“ข้าจึงถือโอกาสนี้…พูดในสิ่งที่ควรพูดเสียที” ฮองเฮาเอ่ยเสียงนุ่มแต่ แววตาส่งมาที่ไป๋ลี่
“องค์ชายน้อย…โปรดใจเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายนอกห้องบรรทม แสงอรุณแรกยังมิทันแตะปลายยอดหลิว เสียงเล็กแหลมขององค์ชายตัวน้อยกลับดังก้องกับเสียงซูเหวินองครักษ์คนสนิท ที่ยังคงยืนสงบเสงี่ยมเบื้องหน้าประตูใหญ่ แม้นใบหน้าจะไม่ไหวติง ทว่าเสียงที่เปล่งออกกลับอบอุ่นมั่นคง มือทั้งสองพยายามใช้กันร่างเล็กที่พยายามเบียดเข้าไปอย่างมุ่งมั่น“ไม่! ... ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ซูเหวินเจ้าพูดไม่รู้เรื่อง เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะเข้าไปดูน้องของข้า หวงไหน่ไหน่บอกว่า...หากเมื่อคืนข้านอนกับหวงไหน่ไหน่ ท่านพ่อกับท่านแม่จะทำน้องให้ข้า”ภายในห้องบรรทม กลิ่นหอมอ่อนของกำยานจันทน์ยังคงคลุ้งอบอวลจางๆ ร่างสองร่างที่แนบชิดใต้ผ้าห่มสีอ่อนบนเตียงขยับไหวเล็กน้อยไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย นางรู้สึกเหมือนตัวเองแทบไม่มีแรงจะลุกจากเตียง หากคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้… กำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ข้างๆ ร่างบางของนางผวาน้อย ๆ กับเสียงด้านนอก ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชัดเจนขึ้น นางพยายามขยับตัว แต่แรงอ่อนราวไม่มีแม้กระดูก ร่างกายยังอ่อนระโหยจากบทรักอันยาวนาน วงแขนแกร่งของหลงเจิ้งหยางยังโอบรัดเอวคอดไว้แน่นไม่ย
แสงเหมาสือชูทาบผ่านม่านแพรสีชมพูอ่อน กลิ่นกำยานไม้กฤษณาจากเตาเล็กผสมกับน้ำมันจันทน์จากเส้นผมที่ฟูกระจายบนหมอนผ้าไหมไป๋ลี่เยว่ลืมตาช้า ๆ ด้วยความรู้สึกถึงอ้อมแขนอุ่นที่โอบแนบแผ่นหลังนางไว้แน่น…เอวคอดของนางถูกวงแขนอันแข็งแรงโอบไว้อย่างแนบชิด เสียงหายใจสม่ำเสมอของบุรุษผู้อยู่ด้านหลังดังแผ่วมาที่ข้างหู ขณะที่ถันอวบถูกมือหนาของเขากุมไว้ราวหวงแหนนัก สองร่างเปลือยเปล่านอนหลับร่วมกันอยู่ใต้ผ้าห่มขนห่านปักลายหงส์คู่ไป๋ลี่เยว่เอื้อมมือจับอุ้งมือหนาที่กอบกุมเต้านางออก แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เจ้าของมือดูเหมือนรำคาญที่โดนกวน มือนั้นกลับยิ่งลูบไล้บีบเคล้นทรวงอวบหนักขึ้นราวไม่ตั้งใจ แต่มันสร้างความรัญจวนให้นาง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นบริเวณประตูหยิน...“อ๋ายย…” นางเผลอส่งเสียงเล็กๆ เมื่อสัมผัสถึงเครื่องเพศบุรุษอันอุดมที่ยังไม่ยอมลดราวี ที่ตอนแรกนอนสงบนิ่งถึงแม้จะเสียบสอดอยู่ในถ้ำนาง บัดนี้เริ่มแข็งและพองตัวขึ้นร่างหนาที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง รู้สึกตัวตื่นเมื่อคนในอ้อมกอดขยับตัว ทว่าเขายังแสร้งหลับต่อ รอดูว่านางจะทำเช่นไรต่อ เขาเพิ่งจะปล่อยให้นางได้นอนพักเมื่อตอนปลายห้าเพ็ง เขาแส
“อ้าาา ซี๊ดดด มะ...หม่อมฉันเจ็บ องค์ชาย อ๋ายยย ท่านเบาก่อน” “ประตูหยินของเจ้า รัดข้าแน่นดีเหลือเกิน อ๊าาาา เยว่เอ๋อร์ เจ้าค่อยยังชั่วบ้างหรือยัง ก่อนที่ข้าจะทนแรงบีบรัดของเจ้าไม่ไหว” แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อดทนต่อคมดาบมามาก แต่กลับแทบทนไม่ได้ต่อแรงบีบรัดที่ได้รับจากพระชายา ก่อนที่เขาจะได้ขายหน้า ใบหน้าสวยของพระชายาก็พยักหน้าเชิงอนุญาต หลังจากใช้เวลาปรับตัวกับความคับแน่น ไม่นานก็สามารถปรับลมหายใจเข้าออกได้ เขาเริ่มเคลื่อนสะโพกช้าๆ ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นด้วยความกระหาย จนร่างกายของทั้งสองสั่นคลอนเป็นจังหวะ มือเรียวของนางยื่นไปรั้งลำคอแกร่ง สายตาเว้าวอนให้เขามอบจูบให้ ตลอดเวลาที่ทั้งสองมอบความสุขให้กับริมฝีปากของพวกเขาประกบกันแน่นไม่เว้นห่าง พร้อมกับที่สะโพกนางยกร่อนตอบรับการกระแทกลำเอ็นของเขาด้วยความกระสัน ไม่ต่างจากบุรุษตรงหน้า อื้อออ จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ เสียงเนื้อกระทบเนื้อยามร่างแนบกัน ทำให้สติของทั้งสองพร่าเลือนในวังวนของเพลิงรัก “ไม่ไหวแล้ว เยว่เอ๋อร์... ข้าจะทนไม่ไหวอีกแล้ว...ข้าต้องการพ่นพิษใส่เจ้าแล้ว อ๊าาา” ร่างหนาจะกระแทก
“เยว่เอ๋อร์ คืนนี้เจ้าจะไม่ได้นอน ข้าจะมอบจูบให้เจ้าทั้งคืน”พูดจบ ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาหานางอย่างไม่ลังเล ริมฝีปากของทั้งสองประกบกันนิ่งไม่ขยับ ก่อนที่หลงเจิ้งหยางจะกระชับมือตัวเองประคองศีรษะนางไว้ ริมฝีปากหยักบดริมฝีปากอวบอิ่มของนางอย่างดุดันด้วยฤทธิ์ยาและฤทธิ์เสน่หา ไป๋ลี่เยว่ก็ตอบรับด้วยการเผยอปาก รับเอาลิ้นร้อนที่เต็มไปด้วยความกระหายเข้ามาในโพรงปาก ทั้งสองมอบจูบดื่มด่ำดูดดื่มเต็มไปด้วยความกระหายให้แก่กัน ใบหน้าหวานผละออกมาจ้องใบหน้าคมที่ห่างเพียงฝ่ามือ“องค์ชาย หม่อมฉันอยากได้มากกว่าจูบ ที่ท่านมอบให้ได้หรือไม่” เขาจ้องใบหน้างามและเหลือบมองด้วยสายตาตกตะลึงพร้อมกับพยายามกวาดมองเพื่อจะหาท่าทางล้อเล่น แต่ก็ไม่ว่าจะมองอย่างไรเค้าก็ไม่พบท่าทางเหล่านั้นในดวงตาของนางเลย“นี่จะ…เจ้าพูดจริง หรือเพียงเพราะชาถ้วยเดียวของฮองเฮา”“ไม่ใช่เพราะชา... แต่เพราะท่าน” นางเอ่ยเบา ราวจะกล่าวโทษเขาทั้งที่ใจรู้สึกวูบหวามหลงเจิ้งหยางเลื่อนใบหน้าลงซบไหล่บาง กดจูบแผ่วเบาที่ซอกคอพลางกระซิบเสียงสั่นข้างหู “เยว่เอ๋อร์... คืนนี้ หากเจ้าห้าม ข้าจะหยุด” คำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยความเคารพการตัดสินใจ แต่ร่างกายของเข







