“ข้าไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างเขา ข้าก็พอใจแล้ว”
“ข้ากำลังจะแต่งงานกับเขา ข้ากำลังจะได้เป็นพระชายาขององค์ชายสาม”
สองข้างทางของถนนหลวง เต็มไปด้วยผู้คนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีอันยิ่งใหญ่ รถม้าแกะสลักลวดลายงดงามวิจิตรตระการตา แล่นผ่านท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของประชาชน
เสียงกลองมงคลดังสนั่นกึกก้องทั่วพระราชวัง ประกาศให้ทุกผู้คนทั่วแผ่นดินรับรู้ถึงพิธีสมรสพระราชทานอันยิ่งใหญ่ ระหว่าง หลงเจิ้งหยาง องค์ชายสามแห่งแคว้นต้าเฉิน และไป๋ลี่เยว่ ธิดาของเสนาบดีไป๋
ไป๋ลี่เยว่ในอาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสดงดงามปักลายดอกเหมย ก้าวลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง มือของนางเย็นเฉียบ แต่นางรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นเพราะความตื่นเต้นยินดี ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความดีใจ วันนี้ นางกำลังจะได้สมรสกับบุรุษที่เฝ้าหลงรักมาเนิ่นนาน
ตั้งแต่วันที่ช่วยชีวิตเขาไว้ วันที่หัวใจของนางตกเป็นของเขาโดยสมบูรณ์
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าองค์ชายสามมิได้รักนาง แต่นางยังมีความหวัง นางยังเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งเขาจะมองเห็นความจริงใจของนาง เมื่อนั้นนางจะสามารถอยู่เคียงข้างเขาได้อย่างแท้จริง
“เพียงแค่ได้อยู่ข้างกายท่าน ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก”
พระราชวังถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรแดงสดปักลายมังกรหงส์อย่างวิจิตร กลิ่นกำยานหอมจรุงลอยคลุ้งอ้อยอิ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคล ทว่าท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น ขุนนางและเหล่าสตรีในวังต่างมาร่วมเป็นสักขีพยาน
แต่ภายใต้ความโอ่อ่าหรูหรานี้ บรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ล้วนมิใช่มาเพราะความปีติยินดีเสมอไป หากแต่เป็นเพราะหลายคนอยากรู้อยากเห็น และมาด้วยความเย้ยหยัน ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มิใช่เพราะความรัก แต่มันคือผลลัพธ์จากการร้องขอสมรสพระราชทานของสตรีผู้หนึ่ง สตรี ที่ไม่มีผู้ใดคิดว่านางคู่ควร
“เจ้าสาวขององค์ชายสามงั้นหรือ ช่างเป็นเรื่องน่าขันนัก”
“แม้ไป๋ลี่เยว่จะมีใบหน้าที่งดงาม แต่นางก็อ้วนเกินไป เจ้าสาวที่รูปร่างเช่นนั้น คงเป็นเพียงตัวตลกในงานแต่งเท่านั้น”
“ถูกต้อง องค์ชายสามคือวีรบุรุษแห่งแผ่นดิน รูปร่างสง่างามราวกับเทพเซียน แล้วดูเจ้าสาวของพระองค์สิ ข้าละอายแทนจริงๆ”
เสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่ว เหล่าสตรีสูงศักดิ์ในงานต่างปิดปากหัวเราะเบาๆ ซ่อนรอยยิ้มเยาะไว้ใต้แขนเสื้อ ไม่มีใครคิดว่าสตรีที่มีรูปร่างเช่นนี้จะคู่ควรกับองค์ชายสาม
“พระชายาไป๋ผู้นี้ช่างโชคดีนัก ได้สมรสพระราชทานกับองค์ชายสาม”
“โชคดีหรือ หึ ถ้านางไม่ไร้ยางอายขอสมรสพระราชทาน คนอย่างนางก็เป็นได้แค่หมูอ้วนไร้ยางอาย”
“ใช่แล้ว รูปร่างเช่นนั้นจะคู่ควรกับองค์ชายสามได้อย่างไร”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากกลุ่มขุนนางสตรี สายตาของพวกนางเต็มไปด้วยความเหยียดหยันเจ้าสาวของงาน
“ข้าได้ยินมาว่า นางเป็นคนขอสมรสพระราชทานเองด้วยใช่หรือไม่”
“ไป๋ลี่เยว่ผู้นี้ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก บีบบังคับให้องค์ชายต้องแต่งงานกับสตรีอัปลักษณ์ นี่มิใช่เป็นการดูหมิ่นพระองค์หรอกหรือ”
ไม่มีใครคิดว่าหญิงที่ “อ้วนและไร้เสน่ห์” เช่นไป๋ลี่เยว่ จะสามารถยืนอยู่เคียงข้างองค์ชายสามได้อย่างแท้จริง
เมื่อเสียงกลองมงคลดังขึ้น ขบวนเสด็จขององค์ชายสามเคลื่อนเข้าสู่ท้องพระโรง
องค์ชายหลงเจิ้งหยาง เจ้าบ่าวของงาน ปรากฏกายในอาภรณ์สีแดงปักดิ้นทองสง่างาม ร่างสูงสมบูรณ์แบบราวกับรูปสลัก สายตาเย็นชาราวคมดาบ แผ่รังสีของแม่ทัพผู้เกรียงไกร รัศมีของเขาเป็นบุรุษผู้ที่ไม่มีสตรีใดกล้าต้านทาน
เขาเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้าคมคายดุดัน สายตาเย็นชา เปี่ยมไปด้วยอำนาจของแม่ทัพผู้ไร้พ่ายที่เคยผ่านสมรภูมิรบมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้เหล่าสตรีในงานจะรู้ดีว่า เขาเย็นชาและไร้เยื่อใย แต่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่าเขาคือบุรุษที่น่าหลงใหลที่สุดในแผ่นดิน
“หากข้าได้เป็นเจ้าสาวของพระองค์ก็คงดี”
“น่าเสียดาย ที่เจ้าสาวของพระองค์ เป็นเพียงสตรีอ้วนที่ไม่มีผู้ใดต้องการ”
ร่างสูงยืนเด่นเป็นสง่ากลางท้องพระโรง รัศมีแห่งแม่ทัพทำให้เขาดูน่าเกรงขามราวเทพสงคราม เสียงกระซิบยังคงดังไม่หยุด แต่สิ่งที่เรียกเสียงกระซิบกระซาบได้มากกว่าคือสายตาขององค์ชายสามที่มีต่อเจ้าสาวของพระองค์ เขามองไป๋ลี่เยว่เพียงแวบเดียว ก่อนเมินหน้าหนีอย่างไม่ใยดี ราวกับว่า นางมิได้มีค่าพอให้เขาเสียเวลามอง และนี่ กลับทำให้เสียงนินทาดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“ดูสิ องค์ชายสามแม้แต่มองยังไม่อยากมองเลยด้วยซ้ำ”
“ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่า คืนเข้าหอจะเป็นเช่นไร”
“สมรสพระราชทาน” หลงเจิ้งหยางแค่นเสียงในใจ สีหน้าและหัวใจของเขากลับเย็นชา องค์ชายสาม แม่ทัพผู้เกรียงไกร ผู้เป็นดั่งเสาหลักของแผ่นดินอย่างเขา กำลังเข้าพิธีสมรสกับ ไป๋ลี่เยว่ บุตรสาวขุนนางผู้มีความดีความชอบเพียงเพราะนางเคยช่วยชีวิตเขาไว้ตอนที่เขาโดนทำร้ายร่างกายจนเกือบเขาชีวิตไม่รอด ใครจะไปคิดว่านางจะถือโอกาสนี้ขอสมรสพระราชทานต่อฮ่องเต้
“ข้ามิใช่บุรุษที่จะถูกบังคับให้แต่งงานกับสตรีที่ข้ามิได้เลือก ผ่านพ้นคืนนี้ไปก่อนเถอะ”
เขามิได้หันไปมองด้วยซ้ำว่าข้างกายมีสตรีผู้หนึ่งกำลังเฝ้ามองเขาด้วยความหวัง
เขายืนอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางและราชวงศ์ แต่เพียงแค่ปรายตามอง ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา
“ข้าต้องแต่งงานกับสตรีที่ข้าไม่ได้เลือก เรื่องเช่นนี้ช่างน่าขันนัก”
ใต้ผ้าคลุมหน้า ไป๋ลี่เยว่รับรู้และได้ยินทุกคำพูด แต่หัวใจของนางยังคงหนักแน่น ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในท้องพระโรงนี้ ทุกสายตาที่จับจ้องมาที่นางล้วนเต็มไปด้วยการดูถูก
“ข้าไม่คู่ควรหรือ”
“ข้าอาจมิใช่เจ้าสาวที่ผู้คนคาดหวัง”
“แต่ข้าก็เป็นพระชายาของเขา และไม่ว่าใครจะพูดเช่นไร ข้าก็จะทำหน้าที่ของข้าให้ดีที่สุด”
“แม้ข้าจะมิใช่หญิงที่งดงามที่สุด แต่ข้าก็จะทำให้เขามองข้าให้ได้”
หัวใจของนางยังคงมีความหวัง แม้เขาจะเย็นชา แม้ผู้คนจะดูถูก แต่นางเชื่อว่าหากนางตั้งใจ เขาจะยอมรับนางเข้าสักวัน
ไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สบตากับองค์ชายสามเพียงชั่วครู่ แต่เขากลับมิแม้แต่จะปรายตามองนาง
และพิธีสมรสพระราชทาน ก็ยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบที่ไม่เคยหยุดลง จนกระทั่งเสียงบรรเลงขลุ่ยและพิณดังขึ้น ก้องไปทั่วพระราชวัง
“คารวะฟ้าดิน”
ไป๋ลี่เยว่คุกเข่าลงทำพิธีอย่างศรัทธา หวังว่าวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่ดี ทว่าข้างกายนาง องค์ชายสามกลับทำตามพิธีอย่างไร้หัวใจ
“คารวะบรรพบุรุษ” นางก้มศีรษะ เสียงหัวเราะเยาะรอบข้างดังขึ้น เพราะนางก้มได้เพียงเล็กน้อยจากอุปสรรครูปร่างของนาง แต่นางก็มิได้หวั่นไหว
“สามีภรรยาคารวะกัน”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้น มุมปากประดับรอยยิ้มบางๆ นางมีเพียงความสุข แต่เมื่อสบตากับองค์ชายสาม นางกลับพบเพียงความเย็นชาไร้ความรู้สึกของบุรุษตรงหน้า
สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขามิใช่เพียงความเมินเฉย แต่เป็นความรังเกียจที่เด่นชัด
“…”
“ข้าทนแตะต้องนางมิได้จริงๆ”
“นี่คือผู้หญิงที่ข้าต้องแต่งงานด้วยอย่างนั้นหรือ”
แม้เขาจะมิได้พูดออกมา แต่นางก็อ่านออกได้จากสายตาของเขา
“องค์ชายสามรังเกียจนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“หึ เป็นข้า ก็คงรับมิได้เช่นกัน”
เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครั้ง แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไป
ในขณะที่ไป๋ลี่เยว่ยินดี บุรุษที่นางรักสุดหัวใจกลับไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความสุข เขาเพียงปรายตามองนางอย่างเย็นชา
“นางเป็นเพียงภาระ เป็นเพียงสตรีที่ข้าถูกบังคับให้แต่งด้วยเท่านั้น”
“วันนี้เป็นวันมงคล” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยพระเมตตา
“ข้าหวังว่าเจ้าทั้งสองจะครองคู่กันอย่างมีความสุข และร่วมกันดูแลแผ่นดินนี้ต่อไป”
“หลงเจิ้งหยาง เจ้าต้องปกป้องและดูแลพระชายาของเจ้าให้ดี”
หลงเจิ้งหยางคุกเข่าลงอย่างสง่างาม แม้ภายในใจจะมิได้ยินดี แต่เขาก็ไม่อาจขัดรับสั่งได้
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
ไป๋ลี่เยว่คุกเข่าลงตาม นางยิ้มอ่อนโยน ดวงตาส่องประกายแห่งความสุข
“หม่อมฉันจะดูแลพระสวามีอย่างดีที่สุดเพคะ”
“ดีมาก”
ฮองเฮาทรงยิ้มอ่อนโยน พระนางทอดพระเนตรไปยังไป๋ลี่เยว่ ด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู
“ไป๋ลี่เยว่ ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าก็เป็นเด็กดีและเฉลียวฉลาด บัดนี้ เจ้าได้กลายเป็นพระชายาแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะมีความสุขและนำพาสิ่งดีๆ มาสู่องค์ชายสาม”
ไป๋ลี่เยว่ก้มศีรษะ ซ่อนรอยยิ้มแห่งความปลาบปลื้มเอาไว้
“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จแม่”
หลังจากฟื้นตัวจากพิษไข้ ไป๋ลี่เยว่นั่งพิงหมอนใบใหญ่ ร่างกายของนางยังคงอ่อนแอจากพิษไข้ไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้ากระจกเก่าๆ พลางจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองหญิงสาวในกระจกมีใบหน้าซีดเซียว ร่องรอยความเจ็บป่วยยังไม่จางหาย ผมยาวสลวยยุ่งเหยิงเล็กน้อย ร่างอวบอ้วนดูเปราะบางกว่าก่อนป่วย แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุด คือแววตาของนางแววตาที่มิได้อ่อนแอตามร่างกาย แววตาของนางกลับแน่วแน่และมุ่งมั่น เพราะนางรู้ดีว่านางมิอาจปล่อยให้ตัวเองตกต่ำไปกว่านี้ได้อีกแล้วนางไม่ใช่ไป๋ลี่เยว่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว นางมองผ้าม่านสีซีดของตำหนักเย็น ปราสาทแห่งความเดียวดายของสตรีที่ถูกขับไล่จากสายตาของผู้คนที่นี่คือตำหนักเย็น ตำหนักที่ถูกลืมเลือน ไม่มีใครให้การสนับสนุน นางไม่มีเงินทองจากตำหนักใหญ่อีกต่อไป นางไม่มีสถานะเป็นที่โปรดปรานของพระสวามีหากนางยังมัวแต่เฝ้ารอความเมตตาจากใคร นางกับสาวใช้ในตำหนักคงอดตายกันหมด“หงเหมย” นางเรียกสาวใช้คนสนิทที่กำลังเช็ดถูห้องอยู่ใกล้ๆ“ช่วยบอกข้า ตำหนักเย็นนี้มีเสบียงเพียงพอหรือไม่”หงเหมยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงเศร้า “ตำหนักนี้ถูกปล่อยร้างมานานเจ้าค่ะ นอกจากข้าและบ่าว
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านลืมตาสิ ท่านเป็นแบบนี้บ่าวใจคอไม่ดีเลย”เสียงเรียกที่แสนคุ้นเคย เสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและความเจ็บปวดแทนนาง ทำให้ไป๋ลี่เยว่พยายามขยับตัว แต่เพียงแค่ขยับปลายนิ้ว ร่างกายกลับหนักอึ้งราวกับถูกโซ่ตรวนพันธนาการไว้ รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกสูบหายไป ทุกส่วนของร่างกายร้อนดั่งกับถูกเผาไหม้จากพิษไข้“อืมมม” ไป๋ลี่เยว่ครางเสียงแผ่ว แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับแหบแห้งจนแทบไม่ได้ยิน ลำคอแห้งผากราวกับมีไฟเผา แต่ลมหายใจกลับแผ่วเบาเหมือนกับเชือกที่พร้อมจะขาดลงได้ทุกเมื่อ“คุณหนู ท่านต้องไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ หากท่านเป็นอะไรไป แล้วบ่าวกับคนอื่นๆ จะทำเช่นไร” เสียงของหงเหมยสะอื้นไห้ มือเล็กๆ นั้นเย็นเฉียบ เพราะความวิตกกังวลกับอาการป่วยของไป๋ลี่เยว่คุณหนูของนาง หงเมยขอตามเข้าวังมารับใช้คุณหนูของจวนตระกูลไป๋ด้วยความซื่อสัตย์เสียงสั่นเครือของหงเหมย สาวใช้คนสนิทดังอยู่ข้างหู ไป๋ลี่เยว่พยายามฝืนลืมตาขึ้นอีกครั้งแต่กลับรู้สึกหนักอึ้ง ราวกับมีหินกดทับร่างอวบอ้วนของไป๋ลี่เยว่นอนขดตัวอยู่บนเตียงหลังเก่า อาภรณ์บางเบาที่เคยงดงามของนางบัดนี้เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งบ
ยามอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนส่องผ่านผ้าม่านสีแดงสดภายในห้องหอ ร่างของบุรุษรูปงามลืมตาขึ้น และทันทีที่สติของเขากลับมาเต็มที่ สายตาของเขาก็เต็มไปด้วยโทสะ“ข้าทำสิ่งใดลงไป”“เมื่อคืน ข้าหลับนอนกับนางอย่างนั้นหรือ” หลงเจิ้งหยางหันขวับไปมอง และสิ่งที่เขาเห็นคือร่างของไป๋ลี่เยว่ที่นอนขดตัวอยู่ข้างกายนางยังคงหลับตา ดวงหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉมยังคงเต็มไปด้วยรอยแดงจากสัมผัสของเขาเมื่อคืน“ข้าแตะต้องนาง ซ้ำแล้วย้ำเล่า” ความร้อนรุ่มในร่างกายของเขามอดดับไปแล้ว แต่สิ่งที่แทนที่กลับเป็นเพลิงแห่งความเกลียดชัง“ข้าถูกนางทำให้แปดเปื้อน”เขาผุดลุกขึ้นจากเตียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความขยะแขยง“ไป๋ลี่เยว่”ไป๋ลี่เยว่สะดุ้งตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงตวาด นางกะพริบตาช้าๆ ราวกับยังไม่ทันตั้งตัว“องค์ชาย”นางมองใบหน้าของพระสวามี แต่สิ่งที่นางเห็นกลับมิใช่สายตาอ่อนโยนหรือความยินดี มีเพียง ความรังเกียจ“เมื่อคืน เจ้าทำสิ่งใดกับข้า” หลงเจิ้งหยางกล่าวเสียงเย็นชา“เจ้ากล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ”ไป๋ลี่เยว่ชะงัก มือของนางกำผ้าห่มแน่น“หม่อมฉันมิได้ทำสิ่งใดเพคะ”“หึ มิได้ทำสิ่งใด” เขาหัวเราะเยาะ“เมื่อคืนข้าถูกวางยาได้อ
เสียงดนตรีบรรเลงดังสะท้อนก้องทั่ววังหลวง แสงโคมไฟสว่างไสวแต่งแต้มทั่วตำหนักองค์ชายสาม ผู้คนต่างเฉลิมฉลองให้กับพิธีสมรสขององค์ชายสาม หลงเจิ้งหยาง กับบุตรสาวของเสนาบดีไป๋เหวินเทียนทว่าภายในเรือนหอ บรรยากาศกลับเย็นเยียบราวกับหลุมศพไป๋ลี่เยว่นั่งอยู่บนเตียงบุปผา อาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสดปักดิ้นทองขับผิวงามให้ขาวผ่อง แต่หลังจากเจ้าบ่าวได้ปลดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกกลับเผยใบหน้าอวบดูซีดเซียว ร่างกายอวบอ้วนทำให้อาภรณ์ที่ควรจะสง่างามกลับดูรัดแน่นจนน่าอึดอัดนางเอื้อมมือไปลูบชายผ้าของตัวเอง รู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมออกมาผสมกับฝ่ามือเย็นเฉียบ เมื่อนางได้รู้ว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าเกลียดชังนางเพียงใด“สมความปรารถนาของเจ้าแล้ว หมดหน้าที่ของข้าแล้ว” น้ำเสียงเย็นชาและกดข่มดังขึ้นจากด้านหน้า หลังปลดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นสบตาบุรุษที่ถูกขนานนามว่าเป็นเทพสงครามแห่งแคว้นต้าเฉิงหลงเจิ้งหยาง องค์ชายสามแห่งต้าเฉิง ยืนกอดอกมองนางด้วยสายตาเย็นชา เขาสวมอาภรณ์ชุดเจ้าบ่าวเต็มยศ ขับให้ใบหน้าคมคายดูดุดันราวกับเทพสงครามของแคว้น“องค์ชายสาม ต่อจากนี้ หม่อมฉันได้ใช้ชีวิตร่วมกับท่านแล้ว แม้ท่านยังไม่รักหม่อมฉั
“ข้าไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างเขา ข้าก็พอใจแล้ว” “ข้ากำลังจะแต่งงานกับเขา ข้ากำลังจะได้เป็นพระชายาขององค์ชายสาม”สองข้างทางของถนนหลวง เต็มไปด้วยผู้คนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีอันยิ่งใหญ่ รถม้าแกะสลักลวดลายงดงามวิจิตรตระการตา แล่นผ่านท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของประชาชนเสียงกลองมงคลดังสนั่นกึกก้องทั่วพระราชวัง ประกาศให้ทุกผู้คนทั่วแผ่นดินรับรู้ถึงพิธีสมรสพระราชทานอันยิ่งใหญ่ ระหว่าง หลงเจิ้งหยาง องค์ชายสามแห่งแคว้นต้าเฉิน และไป๋ลี่เยว่ ธิดาของเสนาบดีไป๋ ไป๋ลี่เยว่ในอาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสดงดงามปักลายดอกเหมย ก้าวลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง มือของนางเย็นเฉียบ แต่นางรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นเพราะความตื่นเต้นยินดี ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความดีใจ วันนี้ นางกำลังจะได้สมรสกับบุรุษที่เฝ้าหลงรักมาเนิ่นนาน ตั้งแต่วันที่ช่วยชีวิตเขาไว้ วันที่หัวใจของนางตกเป็นของเขาโดยสมบูรณ์แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าองค์ชายสามมิได้รักนาง แต่นางยังมีความหวัง นางยังเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งเขาจะมองเห็นความจริงใจของนาง เมื่อนั้นนางจะสามารถอยู่เคียงข้างเขาได้อย่างแท้จริง“เพียงแค่ได้อยู่ข้