ที่เมืองเห่ยโจว ซึ่งมีลำน้ำไหลเชี่ยวผ่านเชิงเขา พื้นดินลาดชันและมีชุมชนกระจัดกระจายอยู่สองฝั่งน้ำ เผิงเหยียนเฉิงยืนอยู่บนเชิงเขาสูง สายตาคมกริบของเขากวาดมองแม่น้ำกว้างเบื้องหน้า ยืนยันว่าที่นี่คือจุดวิกฤติ หากไม่เร่งวางแผนยามน้ำหลากในฤดูฝน ชาวบ้านต้องเผชิญหายนะแน่แท้
บนโต๊ะไม้ยาวที่ตั้งชั่วคราวกลางลานหิน เขาและเหล่าขุนนางฝ่ายโยธาพร้อมช่างชำนาญการ กำลังล้อมวงสนทนา ดูแผนที่และแบบจำลองภูมิประเทศที่ขีดไว้ด้วยถ่าน
“ใต้เท้าเผิงวางแนวเขื่อนโค้งหรือ” ขุนนางวัยกลางคนผู้นั่งทางซ้ายขมวดคิ้วถาม พลางก้มมองแบบแปลนที่ลากเส้นโค้งราวครึ่งวงกลมตัดแม่น้ำ
เผิงเหยียนเฉิงพยักหน้า สีหน้ายังคงแน่วแน่
“ใช่ แนวโค้งจะรับแรงน้ำได้ดีกว่าแนวตรง ยิ่งโค้งเข้าหาฝั่งด้านต้นน้ำ แรงปะทะจะกระจายไปตลอดแนวเขื่อน ไม่กดดันจุดเดียว” เขาใช้ไม้ชี้ลากตามแนวบนแผน
“ตรงจุดนี้ ความลาดชันของตลิ่งมาก หากปล่อยไว้ ยามน้ำมาแรงจะพังทลายทุกปี ข้าต้องการให้เราทำฐานรากให้ลึกถึงชั้นหิน แล้วเสริมด้วยโครงไม้ไผ่ขัดชั้นหินกับหินก้อนใหญ่ ก่อนจะเทดินอัดเป็นชั้น ปิดทับด้วยหินลับคมอีกทีหนึ่ง”
ช่างก่อสร้างอี
เช้าวันหนึ่งในเจียงเฉิน แดดอ่อนยามสายส่องลอดหน้าต่างเรือนสกุลลู่ ลู่ซือหนานนั่งอยู่ตรงศาลาเล็กในสวนเสี่ยวหลานเร่งฝีเท้าเข้ามา ท่าทางตื่นเต้นแต่แฝงด้วยความประหลาดใจ“คุณหนูเจ้าคะ!” เสียงนางเรียกพร้อมค้อมกายลู่ซือหนานเงยหน้าขึ้นจากสมุดปักผ้า พลางเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “มีอะไรหรือเสี่ยวหลาน”เสี่ยวหลานสบตานางแล้วเอ่ยเสียงเบาลงเล็กน้อย “ข่าวจากในเมืองเจ้าค่ะ ได้ความว่า ไป๋ซื่ออันให้อนุหลิวออกจากเรือนไปแล้วเจ้าค่ะ”“เขาไล่นาง” ลู่ซือหนานขมวดคิ้วเล็กน้อย“เจ้าค่ะ เขาจะให้สตรีอีกคนที่พากลับมาจากต่างเมืองเข้ามาแทน ท่าทางจะเอามาแต่งเป็นอนุโดยไม่สนใจอะไรเลย” เสี่ยวหลานเบะปากอย่างไม่พอใจ“บุรุษผู้นี้มิได้เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย” ลู่ซือหนานถอนหายใจยาว เสี่ยวหลานรีบเสริมด้วยน้ำเสียงแฝงความแปลกใจ“แต่แม่นางหลิวกลับมิได้ร้องไห้หรือเสียใจเลยเจ้าค่ะ กลับดูสงบอย่างคาดไม่ถึง ได้ยินว่านางจะเดินทางไปเมืองหลวงในอีกไม่กี่วัน”“เมืองหลวงหรือ” ลู่ซือหนานเลิกคิ้วเล็กน้อย“เจ้าค่ะ ได้ยินมาว่านางตั้งใจจะไปเริ่มต้นใหม่ มองหาโอกาสทำกิจการเล
หลานซือหรูยังคงมาที่ค่ายพักอย่างสม่ำเสมอเช่นเคย แต่ในช่วงหลังๆ นางเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย ท่าทางดูเอาใจใส่เผิงเหยียนเฉิงเป็นพิเศษ แม้จะยังดูไม่โจ่งแจ้งนักขุนนางหนุ่มบางคนเริ่มหยอกเย้ากันเบาๆ“ข้าว่าคุณหนูหลานดูจะมอบน้ำใจให้ใต้เท้าเผิงเป็นพิเศษนะ ท่านสังเกตหรือไม่”“ก็เห็นว่านางแบ่งน้ำชาให้ทุกคนเท่าเทียมกันมิใช่หรือ” อีกคนหัวเราะ“เอาเถิด คนฉลาดก็ดูออกอยู่ดี…”แม้ไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อหน้าหลานซือหรู แต่น้ำเสียงและสายตาที่มองเผิงเหยียนเฉิง เริ่มเต็มไปด้วยการหยอกเย้าเบาๆ ยามพบกันบนโต๊ะสนทนาในตอนค่ำกระทั่งวันหนึ่ง อาหมิงสังเกตเห็นว่าหลานซือหรูแอบมองใต้เท้าหนุ่มนานเป็นพิเศษ ทั้งยังตั้งใจนำน้ำล้างหน้ามาให้ด้วยตนเองแทนที่จะใช้คนรับใช้ตามปกติ เขาจึงทนไม่ไหว เดินเข้ามาหาเจ้านายหลังเสร็จงานในตอนค่ำ“นายท่าน ข้ามีเรื่องอยากจะถาม” อาหมิงพูดเสียงเบาเมื่อทั้งสองยืนอยู่หลังเรือนพักชั่วคราวเผิงเหยียนเฉิงหันไปมอง “มีอะไรหรือ อาหมิง”“ท่าน ไม่รู้ตัวเลยหรือขอรับ ว่าคุณหนูหลานเริ่มแสดงท่าทีมีใจต่อท่านน่ะ” คำพูดนั้นทำให้เผิงเหยียนเฉิงชะงัก
บรรยากาศยามสายในค่ายพักใกล้ลานก่อสร้างเขื่อน แสงแดดอบอุ่นสาดส่องผ่านหมู่ไม้ลงมายังศาลาไม้เล็กซึ่งปลูกไว้ชั่วคราวสำหรับพักดื่มน้ำ ชาวบ้านกำลังพักเหนื่อย บ้างหัวเราะ บ้างพูดคุย ขณะที่เผิงเหยียนเฉิงนั่งอยู่ที่โต๊ะใต้ชายคาศาลา กำลังอ่านบันทึกการขนส่งไม้และหินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากแนวทางเดิน สตรีในชุดเขียวอ่อนผมถักมวยแน่น ในมือถือตะกร้าฮวยน้าสามชั้นที่ใส่อาหารเดินเข้ามาอย่างมั่นคง นางคือหลานซือหรูบุตรีของนายอำเภอเมืองเห่ยโจว ผู้ที่มีชื่อเสียงในหมู่ชาวบ้านทั้งด้านความงามและความสามารถในการจัดการเรือน“ใต้เท้าเผิง” เสียงนางไพเราะ ชวนฟัง เหมือนผ่านการฝึกมาอย่างดีเผิงเหยียนเฉิงเงยหน้าขึ้น เห็นสตรีตรงหน้าแล้วจึงยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ “คุณหนูหลาน วันนี้นำอาหารมาเองอีกแล้วหรือ ท่านไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้ก็ได้ ข้ามีบ่าวทำหน้าที่ตรงนี้อยู่แล้ว”หลานซือหรูยิ้มจาง “มิได้ลำบากเลยเจ้าค่ะ บิดาข้าเห็นพวกท่านทำงานเหน็ดเหนื่อยไม่หยุดจึงให้ข้านำของมาบำรุงท่าน ถือเสียว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากสกุลหลาน”เผิงเหยียนเฉิงพยักหน้าด้วยความสุภาพ “ขอขอบคุณท่านและนายอำเภอเป็นอย่างยิ่ง ข้ารับไว้ด้วยความยินดี”นางวา
เมฆหมอกลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือยอดไม้รอบเรือนสกุลลู่ ลู่ซือหนานนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ใต้ชานเรือน ดวงตาเรียวยาวทอดมองไกลออกไปเบื้องหน้า ราวกับเฝ้ารออะไรบางอย่างสองเดือนแล้วที่จดหมายขาดหายไป นางได้แต่เฝ้ารออย่างคาดหวัง ไม่กล้าเร่งเร้าให้เขาตอบกลับ แต่ก็อดใจไม่ไหวที่จะเขียนจดหมายหาเขา แม้ไม่รู้ว่าจะส่งถึงหรือไม่แผ่นกระดาษฝีมือดีถูกวางลงตรงหน้า นางสูดหายใจแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ จรดปลายพู่กันลงไป[ ถึงพี่เหยียนเฉิงใกล้เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว จดหมายของท่านทุกฉบับข้าอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ตัวอักษรจะเลือนรางจากน้ำตาที่ห้ามไม่อยู่ ข้าเข้าใจว่าหน้าที่ต่อแผ่นดินมาก่อนความรักส่วนตน และข้าก็ภูมิใจเหลือเกินที่ได้มีบุรุษเช่นท่านในใจ แต่ก็สุดจะหักห้ามให้คิดถึงท่านแม้จะห่างกันแสนลี้ แต่ใจของข้ายังมั่นคงดังเดิม ไม่มีสิ่งใดในเมืองนี้หรือในโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของข้าได้ ข้าเพียงอยากให้ท่านรู้ว่า ข้ายังยินดีที่จะรอท่านต่อไปท่านไม่ต้องเร่งรีบ ขอเพียงกลับมาโดยปลอดภัย วันใดที่ฤกษ์งามมาถึง ข้าจะเป็นผู้หญิงที่สวมชุดเจ้าสาวอย่างภาคภูมิ ยืนรอท่านอยู่หน้าประตูด้วยรอยยิ้มข้าฝากความคิดถึงนี้ไปกับสายลม ฝากความห่วงใย
ที่เมืองเห่ยโจว ซึ่งมีลำน้ำไหลเชี่ยวผ่านเชิงเขา พื้นดินลาดชันและมีชุมชนกระจัดกระจายอยู่สองฝั่งน้ำ เผิงเหยียนเฉิงยืนอยู่บนเชิงเขาสูง สายตาคมกริบของเขากวาดมองแม่น้ำกว้างเบื้องหน้า ยืนยันว่าที่นี่คือจุดวิกฤติ หากไม่เร่งวางแผนยามน้ำหลากในฤดูฝน ชาวบ้านต้องเผชิญหายนะแน่แท้บนโต๊ะไม้ยาวที่ตั้งชั่วคราวกลางลานหิน เขาและเหล่าขุนนางฝ่ายโยธาพร้อมช่างชำนาญการ กำลังล้อมวงสนทนา ดูแผนที่และแบบจำลองภูมิประเทศที่ขีดไว้ด้วยถ่าน“ใต้เท้าเผิงวางแนวเขื่อนโค้งหรือ” ขุนนางวัยกลางคนผู้นั่งทางซ้ายขมวดคิ้วถาม พลางก้มมองแบบแปลนที่ลากเส้นโค้งราวครึ่งวงกลมตัดแม่น้ำเผิงเหยียนเฉิงพยักหน้า สีหน้ายังคงแน่วแน่“ใช่ แนวโค้งจะรับแรงน้ำได้ดีกว่าแนวตรง ยิ่งโค้งเข้าหาฝั่งด้านต้นน้ำ แรงปะทะจะกระจายไปตลอดแนวเขื่อน ไม่กดดันจุดเดียว” เขาใช้ไม้ชี้ลากตามแนวบนแผน“ตรงจุดนี้ ความลาดชันของตลิ่งมาก หากปล่อยไว้ ยามน้ำมาแรงจะพังทลายทุกปี ข้าต้องการให้เราทำฐานรากให้ลึกถึงชั้นหิน แล้วเสริมด้วยโครงไม้ไผ่ขัดชั้นหินกับหินก้อนใหญ่ ก่อนจะเทดินอัดเป็นชั้น ปิดทับด้วยหินลับคมอีกทีหนึ่ง”ช่างก่อสร้างอี
ณ เจียงเฉิน ท้องฟ้าครึ้มเมฆคล้ายจะมีฝนตกโปรยปราย ขบวนม้าของสกุลไป๋แล่นเข้าสู่ประตูเมืองอย่างสง่างาม ที่นำขบวนคือชายหนุ่มในอาภรณ์ลายคลื่นสีคราม ใบหน้าเคร่งขรึมเย่อหยิ่งตามแบบของเขาด้านหลังของไป๋ซื่ออัน มิใช่เพียงคณะผู้คุ้มกันสินค้าในสำนักและรถสินค้าที่ล้นคัน แต่ยังมีรถม้าคันหนึ่งที่ถูกผ้าไหมปิดหน้าต่างอย่างมิดชิด ส่งกลิ่นน้ำหอมอ่อนจางตลบอบอวลตลอดเส้นทางที่ผ่านเมื่อขบวนหยุดลงที่หน้าเรือนสกุลไป๋ หลิวอี้หรูที่ยืนรอการกลับมาของสามีอยู่ที่เฉลียง รีบก้าวลงมารับด้วยสีหน้าเรียบสนิทเมื่อเห็นว่ามีผู้ติดตามมานางกล่าวเสียงแผ่วแต่แข็งกร้าว “ข้ารู้ว่าท่านจะกลับวันนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะกลับมาพร้อมหญิงอื่น”ไป๋ซื่ออันปรายตามองนางอย่างเฉยเมย “เป็นเพียงนางบำเรอที่ข้าซื้อมา เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”“ข้าเป็นอนุของเจ้า แม้จะไร้ฐานะแต่ก็มีหัวใจ” หลิวอี้หรูเอ่ยอย่างอดกลั้นแต่เขาหัวเราะในลำคอ “อย่าลืมสถานะของเจ้า คิดจะมาเรียกร้อง ข้าจะส่งเจ้ากลับเรือนเดิมเสียเลยดีหรือไม่”คำพูดของเขาราวมีดกรีดกลางใจ หลิวอี้หรูยืนนิ่ง มือกำชายเสื้อแน่น นางไม่อาจโต้แย้งได้ แม
หลายวันหลังจากการเริ่มงานสร้างเขื่อน บรรยากาศที่เห่ยโจวยังเป็นไปอย่างเร่งรีบและตึงเครียด งานหลายส่วนเริ่มลงมือจริง กองไม้ไผ่และหินถูกลำเลียงมาตามลำธารเล็กๆ ใกล้พื้นที่สร้างเขื่อน ชาวบ้านจำนวนมากเริ่มเข้าร่วมงานด้วยแรงศรัทธาและความหวังว่าจะพ้นจากภัยน้ำหลากท่ามกลางความวุ่นวายของการแบ่งแรงงานและการก่อสร้าง เผิงเหยียนเฉิงเดินตรวจงานทุกวัน ทั้งเช้าจรดเย็นโดยแทบไม่ได้พัก ขุนนางท้องถิ่นยังอดทึ่งไม่ได้ที่จอหงวนหนุ่มผู้นี้มิได้ถือศักดิ์ศรี หากยังยอมก้าวลงโคลน ลงเหงื่อร่วมกับชาวบ้านทุกคนวันหนึ่งในช่วงบ่าย แดดร้อนจัดจนฝุ่นทรายลอยขึ้นปะทะใบหน้า ขณะเขากำลังตรวจแนวผนังชั้นแรกของเขื่อน มีเสียงร้องเรียกจากทางท้ายขบวน“ใต้เท้าเผิง จดหมายจากเมืองเจียงเฉินขอรับ มีตราสกุลลู่”เผิงเหยียนเฉิงหันกลับมาอย่างเร็ว เท้าก้าวเร็วทันใจจนฝุ่นปลิวตาม พอรับซองจดหมายมาถือ เขาก็รีบเปิดอ่านด้วยมือสั่นเล็กน้อย[ ถึงพี่เหยียนเฉิงท่านสบายดีหรือไม่ ส่วนทางนี้พวกเราทุกคนแข็งแรงดี ครั้งก่อนข้ารีบร้อนส่งจดหมายถึงท่านจึงลืมบอกไป ถุง
หลายวันต่อมา เผิงเหยียนเฉิงสวมชุดขุนนางเรียบง่าย ผ้าคาดเอวสีกรมท่าตัดกับเสื้อคลุมสีอ่อน กำลังตรวจดูข้าวของเตรียมตัวจะเดินทาง“คุณชาย! คุณชายขอรับ!” เสียงของอาหมิงดังก้องไปทั่วเรือนเผิงเหยียนเฉิงหันกลับทันที เมื่อเห็นผู้ติดตามคู่ใจของตนก็รีบเดินตรงไปหา แววตาสั่นไหวเมื่อเห็นบางสิ่งในมือของอาหมิง“ถึงแล้วหรือ?” เขาถาม เสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความคาดหวังอาหมิงพยักหน้าก่อนจะยื่นจดหมายที่ถูกห่อด้วยผ้าผืนบาง และห่อผ้าต่วนสีครามอีกชิ้นหนึ่ง “ข้านำมาด้วยมือขอรับ ไม่มีตกหล่น”เผิงเหยียนเฉิงรับจดหมายอย่างระมัดระวังราวกับของล้ำค่า เขาคลี่มันออกช้าๆ ท่ามกลางสายลมอ่อนของทุ่งริมแม่น้ำ พอได้อ่านแต่ละบรรทัด สีหน้าเขาอ่อนลงจนเห็นได้ชัด แววตาเข้มแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล แฝงด้วยความอิ่มเอมเขายืนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “นางยินดีรอข้าอยู่…”เผิงเหยียนเฉิงยกมือขึ้นสัมผัสกระดาษหอมเบาๆ แล้วก้มมองห่อผ้าต่วนที่เขาเพิ่งได้รับมาเขาพึมพำขณะคลี่ออกอย่างแผ่วเบา เขาหยิบถุงหอมขึ้นมาแนบอก สูดกลิ่นหอมจางที่ลอยเข้าจมูก แล้วเผยรอยยิ้มที่แม้ยามยากลำบากเพี
ณ เรือนใหญ่ของสกุลลู่ในเมืองเจียงเฉินลู่ซือหนานนั่งอยู่ใต้ศาลาเล็ก กลางมือถือผ้าปักลายดอกเหมย แต่เข็มกลับแทบไม่ขยับไปไหนเลยตลอดครึ่งชั่วยามที่ผ่านมานางเหลือบตามองทางประตูใหญ่ของเรือนอยู่บ่อยครั้ง หัวใจเต้นรัวอย่างไม่มีเหตุผล เหมือนลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าข่าวจากเมืองหลวงกำลังจะมาถึงไม่นานนัก เสียงฝีเท้ากับเสียงประกาศของพ่อบ้านก็ดังขึ้น“อาหมิงจากจวนเผิง ขอเข้าพบเจ้าค่ะ”ลู่ซือหนานวางผ้าปักทันที ลุกขึ้นเดินไปต้อนรับ ดวงตาเป็นประกาย“อาหมิง พี่เหยียนเฉิง…เขาสบายดีหรือไม่”อาหมิงค้อมศีรษะลงทันที“ใต้เท้าแข็งแรงดีขอรับ แม้งานราชการจะเร่งรัด แต่ไม่ลืมส่งข่าวถึงแม่นางเลยแม้แต่น้อย”เขายื่นม้วนจดหมายให้นาง ลู่ซือหนานรับมาอย่างเบามือ ประหนึ่งกลัวแรงไปจะทำให้ถ้อยคำที่เขียนเลือนหาย“เจ้าไปพักก่อนเถอะ” นางบอกเสียงเบา อาหมิงค้อมตัวแล้วเดินไปยังเรือนพักทางด้านหลังนางค่อยๆ แกะจดหมาย เปิดอ่านใต้ศาลา เสียงลมอ่อนพัดผ่านเงียบสงบ มีเพียงเสียงหัวใจของนางที่เต้นรัวขณะดวงตาไล่อ่านตัวอักษรลายมือของเขาทีละบรรทัด“ข้