ที่เมืองเห่ยโจว ซึ่งมีลำน้ำไหลเชี่ยวผ่านเชิงเขา พื้นดินลาดชันและมีชุมชนกระจัดกระจายอยู่สองฝั่งน้ำ เผิงเหยียนเฉิงยืนอยู่บนเชิงเขาสูง สายตาคมกริบของเขากวาดมองแม่น้ำกว้างเบื้องหน้า ยืนยันว่าที่นี่คือจุดวิกฤติ หากไม่เร่งวางแผนยามน้ำหลากในฤดูฝน ชาวบ้านต้องเผชิญหายนะแน่แท้
บนโต๊ะไม้ยาวที่ตั้งชั่วคราวกลางลานหิน เขาและเหล่าขุนนางฝ่ายโยธาพร้อมช่างชำนาญการ กำลังล้อมวงสนทนา ดูแผนที่และแบบจำลองภูมิประเทศที่ขีดไว้ด้วยถ่าน
“ใต้เท้าเผิงวางแนวเขื่อนโค้งหรือ” ขุนนางวัยกลางคนผู้นั่งทางซ้ายขมวดคิ้วถาม พลางก้มมองแบบแปลนที่ลากเส้นโค้งราวครึ่งวงกลมตัดแม่น้ำ
เผิงเหยียนเฉิงพยักหน้า สีหน้ายังคงแน่วแน่
“ใช่ แนวโค้งจะรับแรงน้ำได้ดีกว่าแนวตรง ยิ่งโค้งเข้าหาฝั่งด้านต้นน้ำ แรงปะทะจะกระจายไปตลอดแนวเขื่อน ไม่กดดันจุดเดียว” เขาใช้ไม้ชี้ลากตามแนวบนแผน
“ตรงจุดนี้ ความลาดชันของตลิ่งมาก หากปล่อยไว้ ยามน้ำมาแรงจะพังทลายทุกปี ข้าต้องการให้เราทำฐานรากให้ลึกถึงชั้นหิน แล้วเสริมด้วยโครงไม้ไผ่ขัดชั้นหินกับหินก้อนใหญ่ ก่อนจะเทดินอัดเป็นชั้น ปิดทับด้วยหินลับคมอีกทีหนึ่ง”
ช่างก่อสร้างอี
ที่เมืองเห่ยโจว ซึ่งมีลำน้ำไหลเชี่ยวผ่านเชิงเขา พื้นดินลาดชันและมีชุมชนกระจัดกระจายอยู่สองฝั่งน้ำ เผิงเหยียนเฉิงยืนอยู่บนเชิงเขาสูง สายตาคมกริบของเขากวาดมองแม่น้ำกว้างเบื้องหน้า ยืนยันว่าที่นี่คือจุดวิกฤติ หากไม่เร่งวางแผนยามน้ำหลากในฤดูฝน ชาวบ้านต้องเผชิญหายนะแน่แท้บนโต๊ะไม้ยาวที่ตั้งชั่วคราวกลางลานหิน เขาและเหล่าขุนนางฝ่ายโยธาพร้อมช่างชำนาญการ กำลังล้อมวงสนทนา ดูแผนที่และแบบจำลองภูมิประเทศที่ขีดไว้ด้วยถ่าน“ใต้เท้าเผิงวางแนวเขื่อนโค้งหรือ” ขุนนางวัยกลางคนผู้นั่งทางซ้ายขมวดคิ้วถาม พลางก้มมองแบบแปลนที่ลากเส้นโค้งราวครึ่งวงกลมตัดแม่น้ำเผิงเหยียนเฉิงพยักหน้า สีหน้ายังคงแน่วแน่“ใช่ แนวโค้งจะรับแรงน้ำได้ดีกว่าแนวตรง ยิ่งโค้งเข้าหาฝั่งด้านต้นน้ำ แรงปะทะจะกระจายไปตลอดแนวเขื่อน ไม่กดดันจุดเดียว” เขาใช้ไม้ชี้ลากตามแนวบนแผน“ตรงจุดนี้ ความลาดชันของตลิ่งมาก หากปล่อยไว้ ยามน้ำมาแรงจะพังทลายทุกปี ข้าต้องการให้เราทำฐานรากให้ลึกถึงชั้นหิน แล้วเสริมด้วยโครงไม้ไผ่ขัดชั้นหินกับหินก้อนใหญ่ ก่อนจะเทดินอัดเป็นชั้น ปิดทับด้วยหินลับคมอีกทีหนึ่ง”ช่างก่อสร้างอี
ณ เจียงเฉิน ท้องฟ้าครึ้มเมฆคล้ายจะมีฝนตกโปรยปราย ขบวนม้าของสกุลไป๋แล่นเข้าสู่ประตูเมืองอย่างสง่างาม ที่นำขบวนคือชายหนุ่มในอาภรณ์ลายคลื่นสีคราม ใบหน้าเคร่งขรึมเย่อหยิ่งตามแบบของเขาด้านหลังของไป๋ซื่ออัน มิใช่เพียงคณะผู้คุ้มกันสินค้าในสำนักและรถสินค้าที่ล้นคัน แต่ยังมีรถม้าคันหนึ่งที่ถูกผ้าไหมปิดหน้าต่างอย่างมิดชิด ส่งกลิ่นน้ำหอมอ่อนจางตลบอบอวลตลอดเส้นทางที่ผ่านเมื่อขบวนหยุดลงที่หน้าเรือนสกุลไป๋ หลิวอี้หรูที่ยืนรอการกลับมาของสามีอยู่ที่เฉลียง รีบก้าวลงมารับด้วยสีหน้าเรียบสนิทเมื่อเห็นว่ามีผู้ติดตามมานางกล่าวเสียงแผ่วแต่แข็งกร้าว “ข้ารู้ว่าท่านจะกลับวันนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะกลับมาพร้อมหญิงอื่น”ไป๋ซื่ออันปรายตามองนางอย่างเฉยเมย “เป็นเพียงนางบำเรอที่ข้าซื้อมา เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”“ข้าเป็นอนุของเจ้า แม้จะไร้ฐานะแต่ก็มีหัวใจ” หลิวอี้หรูเอ่ยอย่างอดกลั้นแต่เขาหัวเราะในลำคอ “อย่าลืมสถานะของเจ้า คิดจะมาเรียกร้อง ข้าจะส่งเจ้ากลับเรือนเดิมเสียเลยดีหรือไม่”คำพูดของเขาราวมีดกรีดกลางใจ หลิวอี้หรูยืนนิ่ง มือกำชายเสื้อแน่น นางไม่อาจโต้แย้งได้ แม
หลายวันหลังจากการเริ่มงานสร้างเขื่อน บรรยากาศที่เห่ยโจวยังเป็นไปอย่างเร่งรีบและตึงเครียด งานหลายส่วนเริ่มลงมือจริง กองไม้ไผ่และหินถูกลำเลียงมาตามลำธารเล็กๆ ใกล้พื้นที่สร้างเขื่อน ชาวบ้านจำนวนมากเริ่มเข้าร่วมงานด้วยแรงศรัทธาและความหวังว่าจะพ้นจากภัยน้ำหลากท่ามกลางความวุ่นวายของการแบ่งแรงงานและการก่อสร้าง เผิงเหยียนเฉิงเดินตรวจงานทุกวัน ทั้งเช้าจรดเย็นโดยแทบไม่ได้พัก ขุนนางท้องถิ่นยังอดทึ่งไม่ได้ที่จอหงวนหนุ่มผู้นี้มิได้ถือศักดิ์ศรี หากยังยอมก้าวลงโคลน ลงเหงื่อร่วมกับชาวบ้านทุกคนวันหนึ่งในช่วงบ่าย แดดร้อนจัดจนฝุ่นทรายลอยขึ้นปะทะใบหน้า ขณะเขากำลังตรวจแนวผนังชั้นแรกของเขื่อน มีเสียงร้องเรียกจากทางท้ายขบวน“ใต้เท้าเผิง จดหมายจากเมืองเจียงเฉินขอรับ มีตราสกุลลู่”เผิงเหยียนเฉิงหันกลับมาอย่างเร็ว เท้าก้าวเร็วทันใจจนฝุ่นปลิวตาม พอรับซองจดหมายมาถือ เขาก็รีบเปิดอ่านด้วยมือสั่นเล็กน้อย[ ถึงพี่เหยียนเฉิงท่านสบายดีหรือไม่ ส่วนทางนี้พวกเราทุกคนแข็งแรงดี ครั้งก่อนข้ารีบร้อนส่งจดหมายถึงท่านจึงลืมบอกไป ถุง
หลายวันต่อมา เผิงเหยียนเฉิงสวมชุดขุนนางเรียบง่าย ผ้าคาดเอวสีกรมท่าตัดกับเสื้อคลุมสีอ่อน กำลังตรวจดูข้าวของเตรียมตัวจะเดินทาง“คุณชาย! คุณชายขอรับ!” เสียงของอาหมิงดังก้องไปทั่วเรือนเผิงเหยียนเฉิงหันกลับทันที เมื่อเห็นผู้ติดตามคู่ใจของตนก็รีบเดินตรงไปหา แววตาสั่นไหวเมื่อเห็นบางสิ่งในมือของอาหมิง“ถึงแล้วหรือ?” เขาถาม เสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความคาดหวังอาหมิงพยักหน้าก่อนจะยื่นจดหมายที่ถูกห่อด้วยผ้าผืนบาง และห่อผ้าต่วนสีครามอีกชิ้นหนึ่ง “ข้านำมาด้วยมือขอรับ ไม่มีตกหล่น”เผิงเหยียนเฉิงรับจดหมายอย่างระมัดระวังราวกับของล้ำค่า เขาคลี่มันออกช้าๆ ท่ามกลางสายลมอ่อนของทุ่งริมแม่น้ำ พอได้อ่านแต่ละบรรทัด สีหน้าเขาอ่อนลงจนเห็นได้ชัด แววตาเข้มแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล แฝงด้วยความอิ่มเอมเขายืนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว “นางยินดีรอข้าอยู่…”เผิงเหยียนเฉิงยกมือขึ้นสัมผัสกระดาษหอมเบาๆ แล้วก้มมองห่อผ้าต่วนที่เขาเพิ่งได้รับมาเขาพึมพำขณะคลี่ออกอย่างแผ่วเบา เขาหยิบถุงหอมขึ้นมาแนบอก สูดกลิ่นหอมจางที่ลอยเข้าจมูก แล้วเผยรอยยิ้มที่แม้ยามยากลำบากเพี
ณ เรือนใหญ่ของสกุลลู่ในเมืองเจียงเฉินลู่ซือหนานนั่งอยู่ใต้ศาลาเล็ก กลางมือถือผ้าปักลายดอกเหมย แต่เข็มกลับแทบไม่ขยับไปไหนเลยตลอดครึ่งชั่วยามที่ผ่านมานางเหลือบตามองทางประตูใหญ่ของเรือนอยู่บ่อยครั้ง หัวใจเต้นรัวอย่างไม่มีเหตุผล เหมือนลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่าข่าวจากเมืองหลวงกำลังจะมาถึงไม่นานนัก เสียงฝีเท้ากับเสียงประกาศของพ่อบ้านก็ดังขึ้น“อาหมิงจากจวนเผิง ขอเข้าพบเจ้าค่ะ”ลู่ซือหนานวางผ้าปักทันที ลุกขึ้นเดินไปต้อนรับ ดวงตาเป็นประกาย“อาหมิง พี่เหยียนเฉิง…เขาสบายดีหรือไม่”อาหมิงค้อมศีรษะลงทันที“ใต้เท้าแข็งแรงดีขอรับ แม้งานราชการจะเร่งรัด แต่ไม่ลืมส่งข่าวถึงแม่นางเลยแม้แต่น้อย”เขายื่นม้วนจดหมายให้นาง ลู่ซือหนานรับมาอย่างเบามือ ประหนึ่งกลัวแรงไปจะทำให้ถ้อยคำที่เขียนเลือนหาย“เจ้าไปพักก่อนเถอะ” นางบอกเสียงเบา อาหมิงค้อมตัวแล้วเดินไปยังเรือนพักทางด้านหลังนางค่อยๆ แกะจดหมาย เปิดอ่านใต้ศาลา เสียงลมอ่อนพัดผ่านเงียบสงบ มีเพียงเสียงหัวใจของนางที่เต้นรัวขณะดวงตาไล่อ่านตัวอักษรลายมือของเขาทีละบรรทัด“ข้
ท่ามกลางความวุ่นวายของเรื่องร้องเรียนถึงภัยพิบัติที่กำลังจะมาถึง ในท้องพระโรงหลวง ณ เวลายามเฉิน ขุนนางน้อยใหญ่จากทั่วแคว้นถูกเรียกเข้าพบอย่างเร่งด่วนภายใต้แสงสว่างจากโคมหยกที่ประดับอยู่เหนือศีรษะ เสียงกลองเตือนภัยในท้องพระราชวังยังคงดังก้องเป็นระยะ เตือนถึงภัยน้ำท่วมใหญ่ทางทิศใต้ที่กำลังคืบคลานเข้ามาฮ่องเต้เสด็จประทับเหนือบัลลังก์ พระพักตร์ทรงเครียดแต่ยังเปี่ยมไปด้วยอำนาจ เสียงตรัสดังกังวานชัดทั่วท้องพระโรง“เรื่องน้ำท่วมทางใต้ ปีที่แล้วท่วมหนักไร่นาเสียหาย ปีนี้ใกล้ถึงหน้าฝนแล้ว ราษฎรร้องทุกข์มา ผู้ใดมีแนวทางแก้ไขหรือเยียวยาหรือไม่”เสียงขุนนางชั้นสูงต่างซุบซิบกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ขุนนางฝ่ายโยธาคนหนึ่งจะก้าวออกมาคำนับ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง“กระหม่อมเห็นควรส่งทหารไปเสริมสร้างแนวกั้นน้ำชั่วคราว พร้อมจัดสรรเสบียงแก่ราษฎรเพื่อบรรเทาทุกข์เพียงเบื้องต้นก่อนพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อย แต่มิได้ทรงแสดงความพอพระทัย ยังทอดพระเนตรมองไปยังขุนนางทั้งหลาย ทันใดนั้น เผิงเหยียนเฉิง ตำแหน่งผู้ตรวจการกรมพิธีการก้าวออกมาจากแถวด้วยอากัปกิริยาส
เช้าวันถัดมา ณ เรือนสกุลลู่ในเมืองเจียงเฉิน ท้องฟ้าโปร่งใส เสียงนกกระจิบเจื้อยแจ้วอยู่บนต้นไม้ริมระเบียง บรรยากาศสดชื่นเป็นพิเศษราวกับมีข่าวดีบางอย่างกำลังจะมาถึงณ ศาลาริมสวน ลู่หยวนฉีกำลังจิบชาอย่างเงียบสงบ ข้างกายคืออันเหม่ยฉินภรรยาที่นั่งจัดชาดอกหอมเอาไว้ต้อนรับแขกในยามสายขณะที่คนทั้งสองกำลังพูดคุยกันเรื่องดอกไม้ฤดูร้อนที่กำลังบานสะพรั่งอยู่ตรงหน้า เสียงจังหวะเกี้ยวม้าก็ค่อยๆ ดังมาจากด้านหน้าเรือน ก่อนจะมีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานเสียงใส“คุณท่านเจ้าคะ แม่สื่อจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเจ้าค่ะ พร้อมรถม้าใหญ่ ดูท่าทางไม่ธรรมดาเลยเจ้าค่ะ”ลู่หยวนฉีชะงักนิ่งก่อนจะเหลือบตาไปมองภรรยา ทั้งคู่สบตากันพลางยิ้มอย่างรู้ความหมาย“เช่นนั้นก็ให้คนต้อนรับตามธรรมเนียม แล้วนำมายังศาลานี้เถิด”“เตรียมชาดีที่สุดมาไว้ด้วย” อันเหม่ยฉินเสริมพลางลูบชายเสื้อเรียบร้อยไม่นานนัก แม่สื่อวัยกลางคนในชุดผ้าไหมสีแดงปักลายเมฆทองก็ถูกนำเข้ามาในศาลา ตามด้วยหญิงสาววัยกลางคนอีกสองนางซึ่งเป็นผู้ติดตาม แม่สื่อก้าวเข้ามาอย่างมั่นใจ นางยกมือขึ้นประนมคำนับด้วยรอยย
ภายในรถม้าของสกุลลู่ เสียงล้อไม้กระทบพื้นหินอย่างสม่ำเสมอดังคลอเคล้าไปกับความเงียบงันภายในตัวรถ ลู่ซือหนานนั่งสงบนิ่งเบื้องหน้าหน้าต่างบานเล็ก ผ้าม่านบางไหวพลิ้วไปตามแรงลม นางไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดตั้งแต่ออกจากจวนเผิง แววตาที่เคยสดใสกลับเหม่อมองทิวทัศน์ข้างทางราวกับใจไม่อยู่กับตัวอันเหม่ยฉินผู้เป็นมารดา นั่งอยู่ข้างบุตรี เฝ้ามองอารมณ์อ่อนไหวของนางมาตลอดทาง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่พูดจา จึงเอื้อมมือไปจับมือนุ่มของบุตรีเบาๆ กล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ลูกแม่… อย่าคิดมากไปเลยนะ หนานเอ๋อร์ เจ้ากับเขาผูกพันกันถึงเพียงนี้ ต่อให้ตอนนี้เขาเป็นถึงจอหงวนแห่งราชสำนัก ข้าก็ยังเห็นสายตาของเขาที่มองเจ้าวันนั้นมันไม่ต่างจากเดิมที่มอบใจให้คนรักอย่างหมดใจแม้แต่น้อย”ลู่ซือหนานเม้มริมฝีปากแน่น ใบหน้านวลหันมามองมารดา น้ำเสียงนางแผ่วเบา “ท่านแม่… ข้ารู้ว่าเขารักข้า”“แต่เมืองหลวงกว้างใหญ่ เหล่าผู้คนมีมาก บุตรีขุนนางมีคุณวุฒิและชาติตระกูลมากมาย ล้วนแต่เข้าหาเขาด้วยความหวัง ข้ากลัว… กลัวว่าวันหนึ่งเขาอาจจะ…”นางพูดไม่จบประโยค ดวงตาคู่สวยเริ่มคลอด้วยน้ำใส อันเหม่ยฉินยิ้
กลางคืนหลังงานเลี้ยงสงบลง เหล่าแขกเหรื่อทยอยกลับ เหลือเพียงเสียงลมอ่อนพัดแผ่วผ่านยอดไม้ และแสงจันทร์เต็มดวงที่ทาบลงบนระเบียงด้านตะวันออกของจวนเผิงเผิงเหยียนเฉิงยืนพิงราวระเบียง ชุดขุนนางยังไม่ถอดเปลี่ยน แต่ปลดกระดุมคอออกหลวมๆ ดวงตาสะท้อนแสงจันทร์ ทอดมองขึ้นฟ้าเงียบๆ สายลมกลางคืนเย็นจัดนิดๆ แต่ความอุ่นในใจยังเต็มเปี่ยมเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากเบื้องหลัง ก่อนที่ลู่ซือหนานจะก้าวมายืนข้างเขา นางสวมเพียงเสื้อคลุมบางเบาทับชุดราตรีที่ยังไม่ได้เปลี่ยน กลิ่นหอมอ่อนจากตัวนางทำให้เขาเผยรอยยิ้มออกมา“คืนนี้จันทร์สวยนัก” นางพูดเบาๆ ขณะเงยหน้ามองฟ้า“งานเลี้ยงตำแหน่งของท่านก็ผ่านไปด้วยดี…”เขาพยักหน้าช้าๆ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “แต่ข้าสนใจจันทร์ที่อยู่ข้างกาย มากกว่าจันทร์บนฟ้าเสียอีก”ลู่ซือหนานหน้าแดงทันที หันหน้าหนีเล็กน้อย แต่ริมฝีปากยังคงคลี่ยิ้มอายๆ เผิงเหยียนเฉิงทอดตามองนางเนิ่นนาน ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังแฝงความอ่อนโยน“หนานเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องอยากสารภาพ”“เมื่อก่อน ข้าเคยคิดว่าตนเองอาจจะตกต่ำลง ข้าจึงไม่กล้ารั้งใครไว้ ไม่กล้าพูด