บทที่ 12เล่นบทถูกกลั่นแกล้งโดยไม่รู้ตัววันนี้พอกลับมาถึงจวนแล้ว เจียงเยี่ยนฟางก็ไม่ถูกเรียกไปดูแลท่านอ๋องพิการผู้นั้นอีก นางจึงนั่งดื่มชาอย่างสบายใจอยู่ในสวนด้านหลังของเรือน ทอดตามองใบไม้ที่ยังคงอยู่เต็มต้น ทอดตามองพื้นที่โล่งกว้างตรงหน้าว่าควรวางที่ตากสมุนไพรของนางไว้ตรงไหน ครั้นคิดไปแล้วว่าตนเองเคยมีช่วงเวลาที่ได้สงบจิตสงบใจขนาดนี้บ้างหรือไม่อยู่นั้น คำตอบก็มาเยือนในไม่ช้า"พระชายาเพคะ!" เป็นเจินเจินที่คาบข่าวบางอย่างมาบอกด้วยท่าทางตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด "เรือนของพระชายากู่เกิดเรื่องแล้วเพคะ เห็นว่าท่านอ๋องทรงพิโรธหนักมาก เรื่องที่ท่านอ๋องมีรับสั่งให้พระชายากู่หาชุดให้พระชายาใส่ไปวังหลวงเมื่อเช้า แต่พระชายากู่กลับมอบชุดเก่าที่เปรอะเปื้อนให้พระชายาแทน แถมยังเรื่องสินเดิมของพระชายาที่หายไปอีก""..." เจียงเยี่ยนฟางเท้าคางอยู่ท่าเดิม ดวงตาก็กะพริบเชื่องช้า ราวกับไม่ได้เห็นว่าเจินเจินกำลังอยู่ข้างกายนางเจินเจินเห็นพระชายาไม่ได้ถามต่อก็ลังเล แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวเล่าต่อว่า "เห็นว่าสั่งกักบริเวณพระชายากู่ แถมยังยึดของในคลังถึงสามในสิบส่วนด้วยเพคะ!" เจินเจินตอนแรกคิดจะมาเล่าเรื่องที่คนในจ
"..." เจียงเยี่ยนฟางกลับไม่เข้าใจ นางหันไปมองเซียวลี่หยางที่นั่งอยู่ กลับพบว่าอีกฝ่ายไม่ยอมมองมาที่ตนแม้แต่น้อยไม่นานจากนั้น นางก็ถูกคนของฮ่องเต้พาตัวไปให้หมอหลวงตรวจดูอาการระหว่างที่เดินไป ดวงตาของเจียงเยี่ยนฟางก็เอาแต่มองพื้นตลอดทาง ในระยะที่นางมองเห็น ก็มีเพียงชายอาภรณ์ของคนด้านหน้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นองครักษ์มากกว่าขันทีกำลังขยับไหวไปมาเท่านั้น แต่กลับทำให้นางไม่อาจละสายตาไปได้เลย'คนของเซียวลี่หยาง?' คำนี้ ๆ ก็ปรากฏขึ้นในหัวภายหลังที่สองพี่น้องคุยกันจนฮ่องเต้แห่งแคว้นเฉิงต้องกลับไปว่าราชการแล้ว เจียงเยี่ยนฟางก็ได้เวลาเลิกปั้นหน้าเสียทีบนรถม้าที่กำลังเดินทางกลับไปยังจวน นางก็เป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นก่อน"ของสิ่งนั้นข้าทำให้ท่าน เหตุใดถึงมอบให้ฝ่าบาท" หาได้ยากที่น้ำเสียงของเจียงเยี่ยนฟางจะแฝงความไม่พอใจไว้เล็กน้อยเช่นนี้"ตั้งแต่เด็กเขาเป็นคนที่อยู่ข้างข้ามาตลอด แต่โตมาไม่ว่าข้ามีสิ่งใดก็มักถูกแย่งไปเสมอ ขัดเขาไปก็เปล่าประโยชน์" แม้วันนี้จะได้เห็นการกระทำของนางแล้ว แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อทั้งหมดว่า สุดท้ายแล้วนางเป็นคนของใคร เซียวลี่หยางจึงคิดลองเชิงนาง เปิดเผยเรื่องที่มีเพียงเขาเท่านั้
ทุกคนต่างรีบก้มตัวลงกับพื้นทำความเคารพฮ่องเต้ แต่เจียงเยี่ยนฟางไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น นางเพียงแค่ยืนทำความเคารพอีกฝ่ายก็พอ เพราะมียศเช่อฝูจิ้นของชินอ๋องติดกายนางกำนัลของเต๋อเฟยรีบรายงานเหตุการณ์ออกไป ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้คนพาตัวเต๋อเฟยไปรอหมอในตำหนักของตนเอง เรื่องราววุ่นวายจึงจบลงในไม่ช้าเวลานี้เหล่าขบวนที่ตามเสด็จฮ่องเต้มาก็ถอยร่นไปรออยู่ห่างจากตรงที่เจียงเยี่ยนฟางยืนอยู่พอสมควร ในระหว่างนั้นเจียงเยี่ยนฟางกลับรู้สึกว่าฮ่องเต้ทอดสายตามามองนางอยู่สองสามครั้ง จนนางนึกอยากยกมือขึ้นมาลูบคลำใบหน้าตนเองดูว่า พิษจากถั่วที่นางแพ้หายดีแล้วหรือไร เพราะเมื่อเช้านางก็มั่นใจว่าตัวเองกินถั่วเข้าไปไม่น้อยเลย"น้องสี่เจ้าสบายดีหรือไม่" เซียวมู่หยางเอ่ยถามน้องชายของตน"ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ""เกรงใจกันเกินไปแล้ว หรืออยู่ต่อหน้าชายาตนเองเลยต้องทำตัวห่างเหินกับข้ากัน" ครั้นเอ่ยจบเขาก็หัวเราะขบขัน ด้วยใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเซียวลี่หยางก็นับว่าน่ามองมากนัก"พี่สอง..." เซียวลี่หยางยกยิ้มบางเบาเอ่ยเรียกเขาอีกรอบแทน"แล้วเจ้าเล่า ได้ข่าวว่าที่ผ่านมาไม่สบาย จึงไม่สามารถมาเข้าเฝ้าข้าได้" ครา
"ท่านอ๋องคิดมากไปแล้ว ซิ่นซิ่นเพียงแค่มาเด็ดดอกไม้ไปตากแห้งจะทำชา แต่ดอกไม้ที่ว่า ในราชวังแห่งนี้ปลูกไว้แค่ในตำหนักของไทเฮาเท่านั้นก่อนหน้านี้ซิ่นซิ่นก็ได้ทรงขออนุญาตจากไทเฮาไปแล้ว ครั้นถึงเวลาที่ดอกผลิบานจึงเดินทางมาพอดี ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะประทับอยู่ที่นี่ด้วย" อี๋เฟยซิ่นเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ นางมองเขาด้วยสายตาหวานหยดย้อย กาลก่อนชอบเขามากเพียงไร ยามนี้ก็ยังคงมิเสื่อมคลาย เสียแต่ว่าต่างคนต่างเส้นทางไม่อาจบรรจบ วาสนาล้วนแคล้วคลาดกันหากแต่ว่าท่านอ๋องผู้นี้นั้น... ต่อให้พิการแล้วก็เถอะ รูปโฉมที่งดงามองอาจกลับไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย และยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้นก็ยิ่งดึงดูดสายตาของนางได้มากกว่าเดิม ถ้าเทียบระหว่างฮ่องเต้กับคนตรงหน้าแล้วนั้น แม้นจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกันถึงห้าส่วน แต่ใครเหนือกว่าย่อมมองออกได้ไม่ยาก 'น่าเสียดายยิ่งนัก' นางรำพึงรำพันเช่นนั้นในใจ"เช่นนั้นก็ไปเก็บดอกไม้ที่ว่าเถิด ข้าคงไปส่งเจ้าไม่ได้" เซียวลี่หยางขยับรถเข็น จะจากไปด้วยตนเอง"ท่านอ๋องช้าก่อน" แต่อี๋เฟยซิ่นก็ไม่ยอม นางขยับตัวคิดจะขวางทางไปของเขา ทว่ากลับเซจะล้ม ดวงตาก็หรี่ลงเหมือนคนจะเป็นลม"..." เซ
"เพราะอาซื่อ [1] ตกปากรักมั่นเพียงกู่เยว่ชิง เจ้าคงลำบากไม่น้อย" ไม่รู้ด้วยเหตุใดทำให้จางลี่ซินเห็นเจียงเยี่ยนฟางเหมือนตนเองในสมัยก่อนขึ้นมา ตัวนางในอดีตไม่สามารถครองใจบุรุษที่ตนรักไว้ได้ ไม่ว่าจะพยายามมากเท่าไรก็ไร้ผล เวลานี้เลยอดจะสงสารอีกฝ่ายไม่ได้"ไทเฮาทรงวางพระทัย หม่อมฉันได้รับการดูแลอย่างดีเพคะ และหม่อมฉันก็เข้าใจตั้งแต่แรกแล้วว่าท่านอ๋องมีสตรีในดวงใจ ยามนี้ต่อให้น้อยใจไปบ้าง แต่ก็จะไม่นำมาใส่ใจ" เจียงเยี่ยนฟางถูกอีกฝ่ายยึดมือไว้ ไทเฮาทรงลูบมือนางแผ่วเบาอย่างเอ็นดู ความอุ่นที่แผ่ลามมาจากมืออันอบอุ่นของเจ้าตัวทำให้นางรู้สึกแปลก ๆ ในอก หากแต่สีหน้าของเจียงเยี่ยนฟางยังคงสงบนิ่งดั่งเดิมจางลี่ซินยกยิ้มด้วยความรู้สึกผิด "เพราะตอนนั้นข้าไม่สบายพอดี เจ้าเลยไม่ได้เข้ามายกน้ำชา ทำให้ผู้คนเล่าลือไปต่าง ๆ นานา เช่นนั้นก็ขอให้เจ้าถือว่าวันนี้เป็นวันยกน้ำชาก็แล้วกัน""เพคะไทเฮา" เจียงเยี่ยนฟางครานี้ยกยิ้มแผ่วเบา ไม่เข้าใจว่าสตรีที่อบอุ่นเช่นนี้ สั่งสอนคนนิสัยเช่นชินอ๋องออกมาได้อย่างไรภายหลังจากนั้น ไทเฮาทรงมีรับสั่งให้คนไปยกของมามอบให้เจียงเยี่ยนฟางมากมาย ถือเป็นการขอโทษที่นางไม่อาจให้นาง
"หรือท่านอ๋องทรงรังเกียจที่คนอัปลักษณ์เช่นหม่อมฉันจะสวมใส่อาภรณ์หรูหราของพระองค์ เช่นนั้นก็ชุดของหงเปา เป็นอย่างไร..." คนสนิทของท่านอ๋องผู้นี้แต่งตัวไม่ธรรมดา แต่ละชุดที่เขาสวมสามารถเอาไปขายและนำเงินไปเลี้ยงปากท้องครอบครัวธรรมดาได้เกินครึ่งปีด้วยซ้ำ เช่นนั้นก็พอที่จะทำให้จวนอ๋องไม่ขายหน้าแล้ว แต่ว่า...เจียงเยี่ยนฟางมองหงเปาหัวจรดเท้าไปถึงสองรอบ "ถึงหงเปาจะขาสั้นกว่าหม่อมฉันไปบ้าง แต่ก็น่าจะพอดีกว่าชุดที่ท่านอ๋องส่งคนมามอบให้อยู่ดี" นางพูดถึงผู้อื่น ราวกับคนผู้นั้นไม่ได้ยืนอยู่ ณ ห้องแห่งนี้ด้วยกัน"พระชายาเจียง ท่าน!" หงเปาอยากโต้แย้ง รู้สึกไม่เป็นธรรม เขากับนางตัวไล่เลี่ยกันแทบจะพอดี นางเอาส่วนไหนมองว่าขาเขาสั้นกว่า!"..." เซียวลี่หยางถอนหายใจ ตั้งแต่เจียงเยี่ยนฟางเข้ามาในจวนก็มีเรื่องให้เขาต้องคิดหนักไม่น้อย เวลานี้สุดท้ายก็ไปไม่ทันแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่อาจไม่ไปได้ "หงเปา นำพระชายาเจียงไปเลือกชุดของข้า""..." หงเปาไม่ตอบรับอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ก้มหน้าทำความเคารพท่านอ๋อง ก่อนผายมือพาคนไปโดยไม่สบอารมณ์แต่สิ่งที่เซียวลี่หยางไม่คิดก็คือ สตรีผู้นี้กลับกัดไม่ปล่อย!เมื่อนางก้าวเข้ามาในรถม