เช้าวันถัดมา เซี่ยซูมี่ตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น (03.00-04.59 น.) รู้สึกว่าตัวเองนอนในห้องนอนเพียงลำพัง และไม่รู้ด้วยว่าสามีในนามนั้นหายไปไหน มั่นใจว่าเขาไม่ได้กลับเข้ามาภายในบ้านอีก หลังจากที่ตะโกนใส่หน้าเมื่อคืน หญิงสาวเองก็ไม่ได้สนใจ ดีเสียอีกจะได้ทำอะไรสะดวกๆ หน่อย
“ทำอะไรกินดีล่ะทีนี้” เซี่ยซูมี่คุยกับตัวเอง นางเบื่อข้าวต้มเกลือที่สามีทำให้ เขาไม่ใส่อะไรนอกจากข้าวและเกลือ มันให้ความรู้สึกจืดชืดกินแล้วไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อเข้าไปถึงห้องครัวกลับต้องแปลกใจ เพราะเตายังคงอุ่นอยู่ นอกจากนั้นบนเตายังมีหม้อข้าวต้ม และมีไก่ย่างอีก 1 ตัว ใช่แล้วล่ะไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะมันคือไก่ย่างที่เสียบไม้ย่างทั้งตัว เหมือนในหนังกำลังภายในที่เคยดูตอนเด็ก ๆ ซึ่งตอนนี้มันกำลังส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ทำให้ท้องของนางกำลังร้องประท้วง หากยังไม่รีบเอาเจ้าไก่ตัวนั้นเข้ามาในท้องพวกมันจะประท้วงให้ดังกว่าเดิม
“น่ากินจัง” เซี่ยซูมี่ไม่คิดว่าจะมีใครอื่นนอกจากสามีในนามที่ทำอาหารให้ ว่าแต่ตอนนี้เขาหายไปไหนนะ แล้วจะต้องรอกินข้าวพร้อมเขาหรือไม่ หรือจะลองเดินสำรวจดูรอบ ๆ เผื่อว่าเขาอยู่บริเวณหลังบ้าน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เซี่ยซูมี่ก็เดินไปล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็เดินสำรวจบริเวณรอบ ๆ เพื่อตามหาสามีในนาม แต่เมื่อเดินสำรวจรอบ ๆ บ้านแล้วกลับไม่พบใคร พบเพียงแปลงผักที่ถูกรดน้ำ แล้วก็ตุ่มน้ำที่ถูกเติมจนเต็ม ว่าแต่คนทำหายไปไหน ใจก็อยากจะเดินไปไกลกว่านี้ แต่ติดตรงที่ไม่รู้ทาง กลัวว่าหากเดินไปแล้วจะหาทางกลับไม่เจอ เพราะตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่างเลยด้วยซ้ำ อุตส่าห์คิดว่าตัวเองตื่นเช้าแล้ว แต่กลายเป็นว่าสามีตื่นเช้ากว่าหรือนี่
เซี่ยซูมี่เข้าไปทำความสะอาดบ้าน และพับผ้าห่มให้เป็นระเบียบเรียบร้อยตามนิสัยเดิม จากนั้นก็ทำงานบ้านรอสามี แม้ว่าจะไม่มีอะไรให้ทำเพราะทำไปเมื่อหลายวันก่อนแล้วก็ตาม จวบจนยามเฉิน (07.00-08.59 น.) ถึงได้พบหน้าสามี
“ท่านไปไหนมาหรือเจ้าคะ ข้าตามหาเสียทั่ว” เซี่ยซูมี่กำลังโมโหหิว กลิ่นไก่ย่างส่งกลิ่นยั่วยวนเหลือเกิน แต่ไม่กล้าจะกินก่อนเจ้าของบ้าน นับว่าตนยังพอมีมารยาทอยู่บ้าง จึงไม่กล้ากินของสุ่มสี่สุ่มห้า อย่างน้อย ๆ ก็ให้ได้ยินกับหูก่อนว่าเจ้าของบ้านอนุญาตแล้ว
“ไปดูกับดัก” ซ่งเวยหลงตอบสั้นๆ
เมื่อคืนหลังจากที่เขาพูดจาไม่ดีใส่หน้านาง ชายหนุ่มนอนไม่หลับจึงไปวางกับดักในป่า กลับมาก็พบว่านางนอนหลับไปแล้ว เขาจึงปูผ้าแล้วนอนพื้น ไม่อยากจะทำอะไรวู่วามให้ภรรยาในนามต้องตกใจ เขาคิดว่าเรื่องของตนและภรรยาควรจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปมากกว่า
“แล้วได้อะไรมาบ้างหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะหากชายหนุ่มได้สัตว์มาเหมือนเช่นวันนั้น เขาก็จะต้องเข้าไปในเมืองเพื่อเอาไปขายอย่างแน่นอน และนางก็จะถือโอกาสนี้ขอเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อของด้วย
“กระต่ายป่า 3 ตัว” ซ่งเวยหลงตอบพร้อมทั้งขมวดคิ้ว นางจะตื่นเต้นอันใดกัน เพียงแค่กระต่ายป่า 3 ตัวเท่านั้น ไม่เห็นมีเรื่องน่าตื่นเต้นยินดีเลยสักนิด
“เอาไปขายเลยดีหรือไม่เจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่เร่งเร้าชายหนุ่มให้เอากระต่ายป่าไปขาย
“ไม่ขายจะเก็บไว้กิน” ซ่งเวยหลงส่ายหน้า เขาตั้งใจว่าจะเอากระต่ายนี้มาทำน้ำแกงเพื่อบำรุงภรรยาขี้โรค ที่ต้องเรียกนางเช่นนี้ เพราะท่านหมอที่เขาเชิญมาดูอาการ ท่านก็เคยรักษาภรรยาของเขาก่อนหน้านั้นเช่นกัน ท่านหมอจำนางได้เพราะมักจะเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้ง
“ทำไมล่ะเจ้าคะ? ได้มาตั้งหลายตัวถึงอย่างไรเราก็กินวันเดียวไม่หมดอย่างแน่นอน” เซี่ยซูมี่เข้าสู่กระบวนการเกลี้ยกล่อมให้สามีเปลี่ยนใจ
“มื้อนี้ไม่หมดก็ยังมีมื้อต่อไป เจ้าเอาไปจัดการต่อได้แล้ว” ซ่งเวยหลงยื่นกระต่ายที่ติดอยู่ในกับดักให้ภรรยา แต่เซี่ยซูมี่กลับส่ายหน้าเดินถอยหลังพร้อมทั้งเอามือไขว้หลังไว้
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ทำเด็ดขาด ข้าทำไม่เป็น” เซี่ยซูมี่ปฏิเสธเสียงแข็ง นางไม่เคยจัดการกับสัตว์ตัวเป็นๆ เช่นนี้มาก่อน จะให้ถอนขนมันออกอย่างไร มันน่ารักเกินกว่าที่จะมาเป็นอาหารเสียด้วยซ้ำ
“ว่าอย่างไรนะ เจ้าไม่เคยทำกับข้าวหรืออย่างไร? ข้าปวดหัวกับเจ้าเสียจริง ถ้าเช่นนั้นก็ไปนั่งรอ ข้าจะจัดการเอง”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาน่ากลัว หนวดเครารุงรังขึ้นเสียงใส่หญิงสาวตัวเล็กๆ ตรงหน้า ตนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่านางทำไม่เป็น มีสาวชาวป่าที่ไหนบ้างที่จัดการกับกระต่ายไม่เป็น ตั้งแต่เกิดมาเขาก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
“เรากินมื้อเช้ากันก่อนไม่ได้หรือเจ้าคะ ข้าหิวแล้ว” เซี่ยซูมี่พูดขึ้นเสียงเบา
นางหิ้วท้องรอสามีจนจะเข้ายามจื่อ (09.00-10.59 น.) ไม่น่าเชื่อว่านางจะกลายเป็นคนกินข้าวตรงเวลาได้ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนทำงานหามรุ่งหามค่ำ กาแฟแก้วเดียวอยู่ได้ทั้งวัน แต่มาอยู่ที่นี่เลยเวลานิดหน่อยท้องไส้ก็ส่งเสียงร้องแข่งกัน คล้ายว่าไปทำร้ายพวกมันอย่างแสนสาหัสอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้ายังไม่กินอีกหรือ? ข้าก็ทำเตรียมไว้ให้ในครัวแล้วอย่างไรเล่า” ซ่งเวยหลงกินตั้งแต่ก่อนที่จะออกไปดูกับดักแล้ว เขาอุตส่าห์วางทิ้งไว้บนเตาจะได้เป็นที่สังเกตได้ง่าย ไม่คิดเลยว่าภรรยาของตนจะซื่อบื้อเพียงนี้
“ก็ข้ารอท่าน ภรรยาจะกินข้าวก่อนสามีได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่สังเกตสีหน้าเอือมระอาของสามี ก็เกิดอาการประหม่า เริ่มไม่มั่นใจว่าที่เข้าใจมาโดยตลอดนั้นถูกต้องหรือไม่
“หึ” ซ่งเวยหลงไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงหัวเราะในลำคอ จากนั้นก็วางกับดักที่มีกระต่ายลง แล้วเดินนำภรรยาเข้าไปภายในบ้าน เพื่อนั่งกินมื้อเช้ากับนาง
เซี่ยซูมี่เมื่อเห็นสามีเข้าไปนั่งรอที่โต๊ะภายในบ้าน ก็รีบเดินตรงเข้าไปในครัว เพื่อที่จะเอาอาหารออกมาตั้งสำรับทันที กลิ่นหอมของไก่ย่างช่างเย้ายวนใจเสียจริง เมื่อตักข้าวต้มให้สามีและรอเขาคีบอาหารเข้าปาก ก็เริ่มลงมือตามเขาไปบ้าง ไม่เคยคิดเลยว่าไก่ย่างเกลือธรรมดา ๆ มันจะอร่อยถึงเพียงนี้
ซ่งเวยหลงกินไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเขายังรู้สึกอิ่มอาหารที่กินไปก่อนหน้านั้น ทำเพียงนั่งนิ่ง แล้วดูภรรยากินอย่างเอร็ดอร่อย คิดในใจว่านางน่าจะชอบไก่ย่างที่ตนทำ เพราะนางแทบจะไม่แตะข้าวต้มเลยด้วยซ้ำ ช่วยไม่ได้เพราะฝีมือการทำอาหารของเขาก็ไม่ได้ดีอะไรมาก ชีวิตเขากินเพื่ออยู่เท่านั้น มีก็กินไม่มีก็อด เพราะตนเอาเงินเก็บทั้งชีวิตไปเป็นสินสอดให้กับภรรยาไปแล้ว
“อ่ะ นี่ให้เจ้า” ซ่งเวยหลงวางถุงผ้าที่มีเงินขายกวางเมื่อวานให้กับภรรยา
“อะไรหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่วางถ้วยข้าวต้มในมือ จากนั้นก็วางตะเกียบ แล้วเงยหน้าขึ้นถามสามี
“เงินขายกวางเมื่อวาน ข้ายกให้เจ้า” สามีมีหน้าที่หาเงินเข้าบ้าน ส่วนภรรยามีหน้าที่ดูแลบ้าน และเก็บรักษาสมบัติที่สามีหามา นี่คือสิ่งที่เขาถูกสอนมา
“ทำไมล่ะเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่ไม่เข้าใจ เงินเขาหาได้ก็ต้องเป็นของเขาสิถึงจะถูก สำหรับตนแล้วเรื่องเงินไม่สำคัญ เพราะคิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องหาวิธีทำเงินได้อย่างแน่นอน
“เจ้าคงลืมไปแล้วว่าข้าเป็นสามี สามีให้เงินภรรยาเป็นสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ใช่หรือ?” ซ่งเวยหลงเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นถูกต้องหรือไม่ เพราะเขาเองก็ไม่เคยมีครอบครัว จึงไม่รู้ว่าชีวิตครอบครัวเริ่มต้นอย่างไร
“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นแหละเจ้าค่ะ ขอบคุณนะเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่ไม่อยากจะแสดงพิรุธให้เขาสงสัย ทางที่ดีควรจะตามน้ำไปเป็นดีที่สุดแล้ว
“เจ้าอยากจะได้สิ่งใดก็ใช้เงินนี่ไปซื้อมันมา หรือไม่ก็ให้บอกข้า หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้าจะหามาให้” ซ่งเวยหลงพูดขึ้น เมื่อขึ้นชื่อว่าแต่งงานกันแล้วก็ควรที่จะรู้จักทะนุถนอมดูแลกัน เขาเป็นสุภาพบุรุษมากพอ ไม่มีทางทิ้งให้ภรรยาต้องอยู่อย่างอดอยากแน่นอน
“ท่านพูดจริงหรือเจ้าคะ? ข้าอยากจะเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อของใช้ส่วนตัวน่ะเจ้าค่ะ ท่านก็เห็นว่าข้ามาตัวเปล่าไม่มีสิ่งใดติดตัวมาเลย” เซี่ยซูมี่พูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร ผู้ชายบ้านป่าอย่างซ่งเวยหลงน่ะหรือจะทันเล่ห์เหลี่ยมมารยาสาวยุคสองพันเช่นนาง
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบกินข้าวจะได้ออกเดินทาง” ซ่งเวยหลงพยักหน้าเข้าใจ เพราะเขาเองก็เห็นกับตาว่าหญิงสาวไม่มีอะไรติดตัวมา
“ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ เราไปกันเลยดีหรือไม่เจ้าคะ?” เมื่อได้ยินว่าสามีจะพาเข้าไปในเมือง จากที่หิวๆ อยู่ก็อิ่มขึ้นมาทันที ว่าแต่พ่อหนุ่มนี่อายุเท่าไหร่กันนะ ทำไมถึงหลอกง่ายจัง
“ไปเอาผ้ามาโพกหัวไว้หน่อยก็แล้วกัน เดินไปราๆวครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้วล่ะ” ซ่งเวยหลงบอกกล่าวภรรยา เพราะเป็นหญิงไม่ควรที่จะเผยใบหน้าให้กับบุรุษเห็น ยิ่งหญิงที่แต่งงานมีสามีแล้วควรที่จะให้สามีเห็นเพียงคนเดียวเท่านั้น
“เจ้าค่ะ” เวลานี้เขาบอกอะไรเซี่ยซูมี่ก็ยอมทำตามทั้งนั้น รอให้รู้ทางเข้าไปในเมืองก่อนเถอะ จะไม่ง้อใครเลย
ระยะทางที่ซ่งเวยหลงบอกว่าเดินเพียงครึ่งชั่วยามถึงนั้น เซี่ยซูมี่สงสัยว่าเขาคงจะพูดไม่หมด ที่บอกว่าครึ่งชั่วยามถึง น่าจะหมายความว่าเดินทางอย่างไม่หยุดพักเลย แต่สำหรับนางแล้วเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เวลาที่จะออกกำลังกายยังไม่ค่อยจะมี แล้วจะให้เอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาเดินอย่างไม่หยุดพัก อีกทั้งชายหนุ่มก็ก้าวขายาวเหลือเกิน นางตัวเล็กนิดเดียวมีหรือจะเดินตามทันสามี
“นี่ท่าน เดินช้า ๆ รอข้าหน่อยได้หรือไม่ หากท่านเดินเร็วเพียงนี้ก็ทิ้งข้าไว้ที่นี่เสียเถิดเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ทิ้งหางเสียง อดที่จะประชดประชันสามีไม่ได้ เพราะเขาเล่นเดินก้าวขาฉับ ๆ ไม่สนใจอะไรเลย
“นั่งพักตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน ข้าลืมไปว่าเจ้าเพิ่งจะหายป่วย” ซ่งเวยหลงพูดเสียงแผ่ว จากนั้นก็ยื่นกระบอกน้ำไม้ไผ่ส่งให้ มันเป็นความเคยชินของเขาเองที่จำเป็นจะต้องทำอะไรเร็วๆ แข่งกับเวลา ชีวิตของคนหาเช้ากินค่ำไม่มีเวลาให้หยุดพักได้หรอก
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่พูดด้วยเสียงหายใจหอบเหนื่อย ร่างกายเจ้ากรรมนี่ก็ช่างบอบบางเสียเหลือเกิน เดินเพียงนิดเดียวก็เหนื่อยหอบแล้ว สงสัยว่าจะต้องหาวิตามินในมิติมากินแล้ว ไม่เช่นนั้นอาจตายได้ในสักวัน
หลังจากที่นั่งพักจนหายเหนื่อย สองสามีภรรยาก็เดินทางต่อ เมื่อเห็นประตูเมืองเซี่ยซูมี่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ นี่น่ะหรือการใช้ชีวิตของคนสมัยก่อน ทำไมมันถึงเรียบง่ายได้เพียงนี้ เห็นรถม้าก็คิดว่าต่อไปบ้านนางจำเป็นต้องมีม้ากับเขาบ้างสักตัว เวลาเดินทางไปไหนมาไหนจะได้ไม่ลำบากเท้าเหมือนอย่างเช่นวันนี้
“ถึงแล้วล่ะ” ซ่งเวยหลงหันไปบอกกับภรรยา
“เข้าไปได้เลยใช่หรือไม่เจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่กำลังจะเดินผ่านเข้าไปในประตูเมือง แต่กลับถูกสามีเรียกเอาไว้เสียก่อน
“ช้าก่อน เราจำเป็นต้องจ่ายค่าผ่านประตูเมืองก่อน โน้นตรงที่ทหารเวรยามยืนอยู่” ซ่งเวยหลงร้องห้ามภรรยา และคิดในใจว่านางคงไม่เคยเข้ามาเดินในเมืองเป็นแน่ถึงไม่รู้ธรรมเนียมอะไรเลย
“อย่างนั้นหรือเจ้าค่ะ เท่าไหร่หรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่พยักหน้าเข้าใจ คงจะคล้ายๆ ค่าบัตรเข้างานอะไรทำนองนั้นสินะ
“คนละ 1 อีแปะ” ซ่งเวยหลงบอก
“นี่เจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ยื่นเงิน 2 อีแปะให้กับสามี จากนั้นก็ยืนรอเขาอยู่ใกล้ ๆ เมื่อสามีหันมาพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าผ่านเข้าไปได้แล้ว จึงเดินตามสามีเข้าไปในประตูเมือง
“ท่านพี่เจ้าคะ ข้าเจ็บท้องเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ปลุกสามีในช่วงกลางดึกของคืนฝนตกหนักคืนหนึ่ง วันนี้กลับไม่โชคดีเหมือนครั้งที่คลอดซ่งอี้เทียน เพราะยังไม่ถึงกำหนดคลอดทุกคนจึงยังไม่มีการเตรียมการใดๆ “เจ็บอย่างไร ทนได้หรือไม่” ซ่งเวยหลงรีบลุกขึ้นเพื่อดูอาการของภรรยา ไม่หลงเหลือความง่วงเลยสักนิด “ไม่ไหวเจ้าค่ะ ให้คนไปตามหมอตำแยให้น้องทีเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่เค้นเสียงออกมา แม้ว่าภายในใจจะไม่อยากพูดคุยอะไรไปมากกว่านี้เลยก็ตามทันทีที่ฟังภรรยาพูดจบ ซ่งเวยหลงก็ออกไปสั่งการสาวใช้ที่คอยรับใช้หน้าห้อง ให้ไปตามหมอตำแยมาโดยด่วน ฮูหยินซ่งกำลังจะคลอดลูกแล้ว สาวใช้ในเรือนรีบลุกเพื่อไปทำหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่มีอิดออด แม้จะสงสัยอยู่บ้างว่ายังไม่ครบกำหนดจะคลอดได้อย่างไร แต่ก็มีเสียงแตกหลายเสียง เนื่องจากว่าครรภ์ของฮูหยินนั้นใหญ่ผิดปกติหลังจากนั้นราวๆ 2 ชั่วยาม เซี่ยซูมี่ก็ได้ให้กำเนิดทายาทสกุลซ่ง แต่ที่น่ายินดีไปมากกว่านั้นคือเป็นแฝดชาย แม้ว่าจะคลอดก่อนกำหนด แต่แฝดทั้งสองก็สมบูรณ์แข็งแรงดี เมื่อแฝดทั้งสองคลอดฟ้าฝนกลับหยุดลง จากนั้นก็มีแสงใหม่ของอีกวันโผล่ขึ้น คล้ายจะบอกเป็น
3 ปีผ่านไป ซ่งอี้เทียนเริ่มโตขึ้นมาก อีกทั้งยังเป็นเด็กที่รู้มากอีกด้วย เซี่ยซูมี่สอนลูกชายอ่านเขียนตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยหวังว่าโตขึ้นไปในภายภาคหน้าเขาจะสามารถดูแลตัวเองได้ ส่วนกิจการของบ้านซ่งต้องบอกว่าขยายใหญ่โตมาก อีกทั้งยังสร้างโรงเตี๊ยมขึ้นมา เพื่อแข่งกับโรงเตี๊ยมเหอฟู่อีกด้วย โดยให้ชื่อโรงเตี๊ยมว่า หลงโถว เช่นเดียวกับร้านค้า ผู้คนในเมืองรวมไปถึงลูกค้าต่างเมือง ต่างรู้จักร้านหลงโถวนี้เป็นอย่างดีทางด้านคุณชายเหอได้ถูกทางการจับตัว เนื่องจากว่ามีคนมาร้องเรียนเรื่องที่ลูกสาวหายตัวไป หลังจากที่แต่งเข้าไปเป็นอนุ เมื่อมีคนมาร้องเรียนกับทางการ อีกหลายๆคนที่ได้ข่าวก็เริ่มมาร้องเรียนบ้าง เนื่องจากว่าเมื่อก่อนชาวบ้านต่างเกรงกลัวอำนาจและบารมีของสกุลเหอ อีกทั้งยังมีท่านเจ้าเมืองหนุนหลัง ทำให้ไม่มีใครแจ้งความเอาผิด แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อมีท่านรองแม่ทัพหยางเข้ามาประจำการในเมืองนี้ ทำให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงทางการได้ง่ายขึ้น“มีชาวบ้านเข้ามารองเรียนเรื่องคนหายไม่เว้นวัน” ท่านเจ้าเมืองถอนหายใจ ไม่คิดเลยว่าสหายที่เติบโตด้วยกันมาจะเป็นคนเช่นนี้ เดิมทีเหอฟู่ผู้นี้เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา
หลังจากที่ให้ลูกชายกินนม เซี่ยซูมี่จึงพาลูกชายออกมายังห้องโถง ซึ่งแม่บ้านเห่ยนำเตาขนาดเล็กมาวางไว้รอบๆ ห้อง เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับภายในบ้าน ทำให้บ้านไม่หนาวเย็นอย่างที่ควรจะเป็น “มาแล้วหรือหลานชายของป้า มาให้ป้าอุ้มให้หายคิดหน่อยหน่อยเถิด” เซี่ยซือมั่นเงยหน้าจากผ้าที่กำลังปักอยู่ จากนั้นก็ยื่นงานปักให้สาวใช้คนสนิททำต่อ ส่วนนางนั้นเอื้อมมือเพื่อที่จะไปอุ้มหลายชายเข้าสู่อ้อมกอดซ่งอี้เทียนเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความรักความเอ็นดูที่ท่านป้าหมาดๆของเขามีให้ ทารกน้อยอายุเพียง 1 เดือน จากตอนแรกที่อยู่ในอ้อมกอดมารดา จึงยอมให้ท่านป้าของเขาอุ้มเข้าไปกอดอย่างง่ายดายส่วนทางด้านท่านป้าที่เมื่อได้อุ้มหลานชายแล้วนั้น ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าหลานชายไม่ได้ผอมแห้งดังเช่นที่ตนนั้นกังวล แต่เขากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ทารกน้อยมีน้ำหนักหากจะพูดแล้วนั้น น่าจะหนักกว่าเด็กทั่วๆ ไปเสียด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าทารกที่กินเพียงน้ำนมของผู้เป็นแม่เพียงอย่างเดียวจะอุดมสมบูรณ์ได้ “เป็นไรไปหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่สังเกตเห็นสีหน้าฉงนของพี่สาวจึงอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้ “เสี่
1 เดือนผ่านไปเซี่ยซูมี่ออกจากการอยู่ไฟแล้วเรียบร้อย อีกทั้งวันนี้ยังมีแขกมาเยี่ยม ซ่งอี้เทียน นั่นก็คือท่านป้าและท่านลุงหยางหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือท่านรองแม่ทัพหยางนั่นเองกล่าวถึงเซี่ยซือมั่นเมื่อเข้าไปทำงานยังจวนของท่านรองแม่ทัพ ก็ได้มีโอกาสศึกษาดูใจกับรองแม่ทัพหนุ่มมากขึ้น ทำให้ทั้งสองคนมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน อีกทั้งหญิงสาวยังรับหน้าที่ในการทำอาหารขึ้นโต๊ะให้แก่เขาเองอีกด้วย คุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนั้นจะหนีจากฮูหยินใหญ่ของเขาไปได้อย่างไรกัน“หลานชายของป้า น่าตีท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้ายิ่งนัก หลานชายคลอดทั้งที กลับไม่ส่งข่าวคราวให้ป้าบ้างเลย” เซี่ยซือมั่นทำทีเป็นบ่นกับหลานชาย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพ่อกับแม่ของเจ้าก้อนกลมนั้นก็นั่งอยู่ด้วย “หิมะตกหนัก อีกทั้งข้าเองก็เพิ่งจะออกจากการอยู่ไฟ ป้าเห่ยไม่ยอมให้ข้าเห็นเดือนเห็นตะวันเลยล่ะเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่อดที่จะบ่นแม่บ้านของตัวเองไม่ได้ เพราะนางไม่ยอมให้ออกไปไหนเลยแม้ว่าจะอ้อนวอนมากเพียงใดก็ตาม เซี่ยซูมี่เป็นคนสะอาด จะยอมให้ผมตัวเองมันเยิ้มได้อย่างไรกัน นอกจากมันแล้วก็ยังรู้สึกคันหนังหัวแต่ไม่อยากสอดนิ้วมือเข้าไปเพราะหนังหัวช่
เซี่ยซูมี่ลืมตาตื่นในเช้าของอีกวัน คิดว่าตัวเองฝันไปหรือเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อใช้มือคลำสัมผัสที่หน้าท้องกลับพบว่ามันยุบลง ไม่ป่องเหมือนเมื่อวาน นอกจากนั้นแล้วในยามที่ขยับตัวก็รู้สึกเจ็บ อีกทั้งยังเหมือนได้ยินเสียงร้องงอแงของเด็กอีกด้วย “อือ” คุณแม่มือใหม่ส่งเสียงในลำคอ “ลูกพ่อ แม่ของลูกตื่นแล้ว” ซ่งเวยหลงตอนนี้กำลังอุ้มลูกชายอยู่สืบเนื่องจากเมื่อคืนที่ได้บอกกับหมอตำแยเอาไว้ว่าจะให้ลูกกินนมของภรรยาเป็นคนแรกนั้นต้องหยุดลง เนื่องจากว่าลูกชายร้องไห้งอแงในยามเช้าแต่ภรรยาเขากลับยังไม่ได้สติ ตนจึงจำเป็นต้องให้แม่นมที่เตรียมไว้สำหรับลูกชายทำหน้าที่แทนทารกน้อยราวกับว่ารับรู้และเข้าใจในสิ่งที่บิดาพูด ทันทีที่พูดถึงมารดาเขากลับเงียบเสียงลง คล้ายกำลังฟังเสียงการเคลื่อนไหวของมารดา แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเหมือนตอนที่อยู่ในท้อง เขากลับเริ่มเบะปากเตรียมที่จะร้องไห้อีกครั้ง “ท่านพี่ นะ น้ำเจ้าค่ะ น้องขอน้ำ” เซี่ยซูมี่รู้สึกลำคอแห้งผาก แม้ว่าอยากจะลุกขึ้นไปอุ้มลูกชายมากเพียงใด แต่ตอนนี้ตนต้องได้กินน้ำเพื่อให้ร่างกายมีแรงขึ้นมาก่อน “ฮูหยิน น้ำเจ้าค่ะ”
หลังจากที่ไปส่งพี่สาวที่จวนของท่านรองแม่ทัพ เรียกได้ว่าหายห่วงไปได้มากทีเดียว เดิมทีเซี่ยซูมี่ตั้งใจจะพาพี่สาวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ให้สมกับตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ของจวนท่านรองแม่ทัพ แต่กลับถูกเจ้าของจวนขัดขึ้นเสียก่อน เนื่องจากว่าเขาได้ให้คนงานจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อไปถึงจวนก็ไปดูที่พักของพี่สาว คงต้องบอกว่าไม่เหมือนกับที่พักพิงของคนงานเลยสักนิด แม้จะบอกว่าไม่ได้ให้เข้าทำงานมาเป็นทาส หรือแม้กระทั่งยกตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ให้ ก็ยังดูไม่ใช่ที่พักของคนงานอยู่ดี แต่คล้ายว่าเป็นห้องนอนของแขกคนสำคัญมากกว่าเซี่ยซือมั่นได้แต่มองหน้าน้องสาวเพื่อขอความคิดเห็น แต่เซี่ยซูมี่กับเดินตัวติดกับสามี ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสายตาที่พี่สาวพยายามจะส่งมาให้ ได้เห็นการต้อนรับที่อบอุ่นเช่นนี้แล้วเซี่ยซูมี่เองก็เบาใจ “ท่านว่าพี่ชายของท่านจะจริงจังกับพี่สาวของข้ามากน้อยเพียงใดเจ้าคะ?” ระหว่างที่กลับบ้านป่า เซี่ยซูมี่ก็ชวนสามีพูดคุยเพื่อให้ไม่เหงาปากมากจนเกินไป “ชู่ว หยุดพูดจาส่งเดช มีคนตามมาส่งเราด้วย” ซ่งเวยหลงทำเสียงเป็นเชิงบอกให้ภรรยาหยุดพากพิงถึงบุคคลอื่น เนื่องจากว่าพี่ชายได้
“คารวะท่ารองแม่ทัพเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่และพี่สาวทำความเคารพรองแม่ทัพหนุ่มอีกครั้ง “ตามสบายเถิดน้องสะใภ้ ไม่ต้องมากพิธี” รองแม่ทัพกล่าวทักทายภรรยาของสหายอย่างเป็นกันเอง ทั้งๆที่ความเป็นจริงคือเขาเป็นคนที่ค่อนข้างระวังตัว ด้วยมีหน้าที่ที่ต้องถวายอารักขาความปลอดภัยให้แก่องค์ชายห้ามาตั้งแต่เด็กๆ “ท่านมาก็ดีแล้วขอรับ ข้าขอขอบคุณสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ด้วย” ซ่งเวยหลงเอ่ยขึ้น ช่วงที่ไปล่าสัตว์ด้วยกันเขาได้เรียนรู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับวิชาป้องกันตัว รองแม่ทัพหนุ่มเองก็ได้เรียนรู้วิชาเอาตัวรอดเมื่ออยู่ในป่าเช่นกัน ทำให้ทั้งสองคนสนิทกันมาก “ไม่เป็นไร เรื่องของเจ้าก็เหมือนเรื่องขอข้า ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อจะมาทำเรื่องที่พูดเอาไว้ให้สำเร็จลุล่วง ซ่งเวยหลง เจ้าต้องการที่จะเป็นพี่น้องสาบานร่วมกับข้าหรือไม่?” รองแม่ทัพเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งจ้องมองหน้าสหายที่ตนเอ็นดูเหมือนน้องชายแท้ๆ “ไมตรีที่ท่านมอบให้ ข้าซ่งเวยหลงไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ อีกทั้งยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้เป็นพี่น้องกับท่าน” ซ่งเวยหลงไม่คิดปฏิเสธ เพราะเขาเองก็รับรู้ได้ถึงความเมตตาที่รองแม่
ทุกคนถูกจับตัวไปที่ศาลของท่านเจ้าเมืองเพื่อช่วยตัดสิน โดยท่านลุงไท่ร้องทุกข์แก่ท่านเจ้าเมืองทันทีที่ไปถึง รวมไปถึงเซี่ยซูมี่และซ่งเวยหลงเองก็ถูกควบคุมตัวมาในที่นี้ด้วย “จับตัวข้ามาด้วยเรื่องอันใดกัน ข้าจะกลับหมู่บ้านป่า” นางเซี่ยโวยวายในขณะที่ถูกจับกุมตัวมีเพียงซ่งเวยหลงและภรรยาเท่านั้นที่ไม่ถูกควบคุมตัวโดยทหาร หากจะบอกว่าทหารเหล่านั้นเกรงกลัวสายตาของซ่งเวยหลงที่จ้องมองในตอนที่กำลังจะไปคุมตัวคนท้องก็คงจะไปผิด ทหารผู้น้อยจึงทำได้เพียงผายมือเชิญทั้งสองคนไปยังศาล ซึ่งเซี่ยซูมี่ก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด “หุบปาก ต่อหน้าท่านเจ้าเมืองห้ามเสียมารยาท” ลูกน้องคนสนิทของท่านเจ้าเมืองเอ่ยขึ้นน้ำเสียงน่าเกรงขาม ทำให้ชาวบ้านที่ตามมาดูคำตัดสินต่างเงียบไม่มีใครกล้าเอ่ยคำใดออกมา หลังจากที่ท่านเจ้าเมืองเข้ามานั่งประจำตำแหน่งก็เริ่มทำการสอบสวน ซึ่งเปิดโอกาสให้กับผู้ร้องทุกข์นั่นก็คือท่านลุงไท่เป็นคนพูดก่อน “เซี่ยซือมั่น สิ่งที่ไท่หานพูดเป็นความจริงหรือไม่” ท่านเจ้าเมืองเริ่มทำการสอบสวน “ข้าน้อยเซี่ยซือมั่นคารวะท่านเจ้าเมือง สิ่งที่ท่านลุงไท่พูดเป็นความจริ
เซี่ยซือมั่นถูกบิดาจับข้อมือเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่มารดาตะโกนออกมาจนสุดเสียง ท่านลุงไท่เองก็ตกใจเมื่ออยู่ดีๆ ก็ถูกกล่าวหาว่าคดโกง สมัยนี้เรื่องโกงต่างๆ ไม่ค่อยมีเกิดขึ้น ทุกคนอยู่ด้วยกันด้วยความซื่อสัตย์ รักเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองเป็นอย่างมาก “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ท่านลุงไท่มองตาเขียวรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก คนในเมืองรู้จักตนอยู่ไม่น้อย เพราะมีอาชีพรับของป่าจากหมู่บ้านต่างๆ มาขาย หากเรื่องนี้ถูกผู้คนเข้าใจผิด แล้วตนจะทำงานต่อไปอย่างไร “หมายความว่าที่ผ่านมาเจ้าคดโกงข้า วันนี้หากข้าไม่มารับเงินกับลูกสาวด้วยมือของข้าเอง ก็หารู้ไม่ว่าเจ้าโกงเงินข้าทุกเดือน เร่เข้ามา… มาดูคนหน้าด้านโกงได้แม้กระทั่งเงินอีแปะ” นางเซี่ยแผดเสียงออกไปเพื่อต้องการให้ทุกคนมามุงและสนใจ “นี่เจ้า….” ท่านลุงไท่ชี้หน้านางเซี่ยด้วยความโมโห จากนั้นก็หันไปสบตากับเซี่ยซือมั่น เพื่อต้องการให้นางพูดและอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น ตนไม่เคยคิดที่จะเปิดดูถุงผ้านั้นว่ามีเงินอยู่จำนวนเท่าใด เพราะความสงสารหญิงสาวที่จากบ้านมาทำงานไกลถึงในเมือง อยู่กินตัวคนเดียวเป็นสาวเป