แชร์

ตอนที่ 5

ผู้เขียน: Scince
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-14 12:11:09

เมื่อพ้นประตูเมืองเข้ามา เซี่ยซูมี่ก็ต้องประหลาดใจ เพราะมีของขายมากมายละลานตา มีร้านขายของไม่แพ้ในเซินเจิ้นเสียด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่าครั้งหนึ่งบรรพบุรุษของตนจะเจริญรุ่งเรืองเพียงนี้ ผืนป่าอุดมสมบูรณ์ ข้าวของมากมาย เลือกซื้อได้ตามอัธยาศัย อยากจะเอาของมาทำการค้าในเมืองนี้เสียจริง

“ท่านอยากได้อะไรหรือไม่เจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่ถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอนนี้นางและสามีกลายเป็นจุดเด่น อาจจะเพราะรูปร่าง หน้าตารุงรังของสามีด้วย จึงทำให้ผู้คนต่างมองด้วยสายตาหวาดกลัว เขาไม่เคยคิดที่จะโกนหนวดโกนเคราบ้างหรืออย่างไรกันนะ เรื่องผมยาวพอจะเข้าใจได้ เพราะในยุคนี้ผู้ชายเองก็ไว้ผมยาวไม่แพ้สตรี นางสังเกตเห็นว่าผมของสามียังดูดีกว่าผมที่แห้งแตกปลายของตนเสียอีก

          “ไม่ล่ะ เจ้าเลือกซื้อของที่ต้องการเถอะ” ซ่งเวยหลงเบื่อสายตาของชาวบ้านพวกนี้ ขนาดว่าตัวเขาตัดสินใจไว้หนวดเครามานานหลายปีแล้ว ผู้คนยังจำได้อยู่อีกหรือ

          “ข้าอยากจะได้เสื้อผ้าใหม่น่ะเจ้าค่ะ หวังว่าท่านจะไม่ว่าอะไร” เซี่ยซูมี่รู้สึกเกรงใจที่จะใช้เงินของสามี เพราะไม่ได้เป็นคนหาเงินมา หากเป็นเงินของตัวเองล่ะก็ เฮ้อ...

          “ตามที่เจ้าเห็นสมควรเถิด ข้าจะเดินอยู่ข้างๆ” ซ่งเวยหลงพูด เขาไม่คิดว่านางจะมีความเกรงใจมากถึงเพียงนี้ โดยทั่วไปแล้วหญิงงามกับของสวยงามก็ย่อมเป็นของคู่กันไม่ใช่หรือ

          เซี่ยซูมี่พยักหน้าเข้าใจ จากนั้นก็เดินร้านนั้นออกร้านนี้ เลือกเนื้อผ้าและราคาที่ดูยุติธรรมมากที่สุด จนไปสะดุดตากับชุดสีชมพูขาวชุดหนึ่ง แม้จะไม่ใช่เนื้อผ้าที่ดีที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ผ้าหยาบ เป็นผ้าทั่วไปที่คนนิยมใส่กัน นางเลือกสีชมพูขาว และสีเขียวขาว คิดว่าน่าจะเหมาะผิวคนผิวขาวอย่างเจ้าของร่างนี้แล้ว

“ฮูหยินตาถึงที่สุดแล้วเจ้าค่ะ ผ้าสองชุดนี้เพิ่งจะตัดเย็บมาใหม่ ยังไม่มีหญิงงามในเมืองได้ไปครอบครอง ช่างเหมาะกับท่านจริง ๆ เจ้าค่ะ”

เด็กในร้านสังเกตเห็นว่าเซี่ยซูมี่ไม่ได้เลือกผ้าเนื้อหยาบเลยสักนิด นางจะเลือกเนื้อผ้าที่พลิ้วไหว และใส่สบาย จึงคิดว่าน่าจะมีกำลังซื้ออยู่พอสมควร หากเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาๆ ก็คงจะเลือกจับแต่ผ้าเนื้อหยาบเท่านั้น แม้จะนึกหวั่นใจอยู่บ้างว่าฮูหยินผู้นี้จะไม่มีจ่าย เพราะดูจากการแต่งตัวแล้วเหมือนขอทานก็ไม่ปาน แต่เมื่อได้มาเห็นผู้ที่ติดตามอยู่เบื้องหลังเป็นต้องตาโต คงไม่มีผู้ใดที่ไม่รู้จักพรานหนุ่มเก่งกาจผู้นี้

“ถ้าเช่นนั้นข้าเอาสองชุดนี้ รบกวนท่านด้วย” เซี่ยซูมี่ไม่ถามราคา เพราะเข้ามาสอบถามราคาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง และครั้งนี้จึงเป็นการตัดสินใจซื้อไม่ใช่ถามราคา

          “ทั้งหมด 100 อีแปะเจ้าค่ะ” คนขายยื่นถุงผ้าให้กับเซี่ยซูมี่ หญิงสาวรับมาพร้อมทั้งจ่ายเงินไป 1 พวง ซึ่งมีเงินอยู่พวงละ 100 อีแปะ

          “นี่เจ้าค่ะ ขอบคุณฮูหยินมากนะเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่ยื่นเงินให้คนขาย จากนั้นก็ยื่นถุงผ้าให้กับสามี เดินซื้อของฝ่ายชายควรจะเป็นคนถือของให้ฝ่ายหญิงถึงจะถูก ซึ่งคนที่ถูกถุงผ้าจ่ออยู่ตรงหน้าแม้ว่าจะไม่เข้าใจในตอนแรก แต่สักพักก็เข้าใจ จึงยื่นมือเข้าไปรับถุงผ้ามาไว้กับตัว

          “ต่อไปข้าคงจะต้องเย็บกระเป๋าสำหรับใส่ของเอง” เซี่ยซูมี่คิดถึงถุงผ้าลดโลกร้อนในยุคของตน จริง ๆ แล้วมันก็เป็นผ้าฝ้ายน่าจะเอามาให้แทนย่ามของยุคนี้ได้

          “เจ้าหมายถึงย่ามน่ะหรือ” ซ่งเวยหลงได้ยินหญิงสาวพูด ฟังไม่ถนัดเท่าไหร่ เพราะเสียงคนตะโกนขายของแข่งกับแสดงการแสดง ทำให้ทั้งสองต้องตะโกนคุยกัน

          “ม้าที่นี่ราคาแพงหรือไม่เจ้าคะ” จู่ ๆ เซี่ยซูมี่ก็เปลี่ยนเรื่องคุย เพราะเมื่อคิดว่าอาจจะเดินเท้ากลับบ้าน ทำให้รู้สึกขาอ่อนแรงขึ้นมาทันทีทันใด

          “น่าจะหลายร้อยตำลึง” ซ่งเวยหลงพูดขึ้น ม้ามีแต่คนชั้นสูงเท่านั้นที่ใช้กัน ชาวบ้านธรรมดาๆ ทำได้เพียงเป็นเด็กเลี้ยงม้าเท่านั้นแหละ

          “ถ้าเช่นนั้นก็เอาไว้ก่อนเถอะเจ้าค่ะ ตอนนี้เราต้องไปหาซื้อเครื่องปรุงเสียก่อน” แต่แล้วเซี่ยซูมี่ก็ต้องผิดหวัง เพราะเครื่องปรุงที่มีขายนั้นมีเพียงเกลือเท่านั้นที่ใช้สำหรับชูรสของอาหาร แม้กระทั่งน้ำตาลก็เป็นสิ่งที่หายาก

          “แวะซื้อแป้งแล้วกลับกันเถอะเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ซื้อข้าว และแป้ง อย่างละ 10 ชั่ง อยากจะซื้อมากกว่านี้แต่เกรงว่าจะเอากลับไม่ไหว

          “ต้องสิ่งใดเพิ่มอีกหรือไม่” ซ่งเวยหลงถามภรรยา ในตอนแรกเขาคิดว่านางจะซื้อของเยอะกว่านี้ เพราะเห็นว่าเจ้าตัวอยากจะเข้ามาในเมือง แต่เมื่อเห็นของที่หญิงสาวซื้อมาแล้ว มันดูไม่เหมือนคนอยากจะซื้อของเท่าไหร่ หรือจะเป็นเพราะนางเกรงใจ ต้องการที่จะช่วยเขาประหยัด แต่เงินที่เขาขายกวางให้กับหลงจู๊ในวันก่อนได้ตั้ง 1 ตำลึงเงินเชียวหนา ยังไม่พออีกหรือ

“ไม่แล้วล่ะเจ้าค่ะ เท่านี้ก็พอแล้ว” เซี่ยซูมี่ส่ายหน้า วันนี้นางใช้เงินไปทั้งหมดเยอะพอสมควร ซื้อเสื้อผ้า 100 อีแปะ ข้าว 10 ชั่ง 50 อีแปะ แป้ง 10 ชั่ง 30 อีแปะ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 180 อีแปะ เหลือเงินที่สามีให้มาอยู่ 820 อีแปะ ซึ่งไม่รวมกับเงิน 5 ตำลึงเงินที่ได้จากสินสอด ที่บิดามารดาไม่ต้องการแม้แต่จะเปิดดู เซี่ยซูมี่ตั้งใจว่าจะเก็บเงินจำนวนนั้นเอาไปสร้างบ้านให้ดูแข็งแรงมากกว่านี้

เมื่อกลับถึงบ้าน ซ่งเวยหลงจัดการชำแหละกระต่าย 3 ตัวที่ติดในกับดัก เขาถลกหนังเพื่อเอาขนออก จากนั้นก็เอาเครื่องในออก แล้วนำไปให้ภรรยา ให้นางจัดการต่อไป เวลานี้เป็นยามเซิน (15.00-16.59 น.) เซี่ยซูมี่รีบทำอาหารสำหรับมื้อเย็นให้กับสามีและตัวเอง เพราะเริ่มหิวขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน

          เซี่ยซูมี่นวดแป้งเพื่อทำซาลาเปากินกับน้ำแกงกระต่าย ส่วนเนื้อที่เหลือนำไปหมักเกลือ เพื่อคงสภาพของอาหารให้ได้นานที่สุด ตั้งใจว่าจะตุ๋นยาจีนในช่วงเช้า เมื่อทำอาหารเสร็จก็เรียกสามีให้มากินมื้อเย็นด้วยกัน

          “ได้เวลากินมื้อเย็นแล้วเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ไม่รู้ว่าควรเรียกสามีในนามว่าอย่างไร ได้แต่แทนตัวเองกับเขาว่า ท่านกับข้า

“เจ้าเรียกข้าว่าท่านพี่ได้แล้ว ข้าหาใช่คนอื่นไม่” ซ่งเวยหลงพูดเสียงเรียบ ๆ เขาเบื่อสรรพนามที่ภรรยาเรียกเต็มทน ท่านอย่างนั้นหรือ เขาไม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียหน่อย เหตุใดถึงได้เรียกห่างเหินนัก

          “ก็ข้าไม่รู้นี่เจ้าคะว่าจะเรียกท่าน..พี่ว่าอย่างไร ไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่ด้วย” เซี่ยซูมี่พูดออกไปตามตรง หากเป็นหญิงอื่นคงอายม้วน เมื่อฝ่ายชายให้เรียกว่าท่านพี่ เพราะนั่นมันหมายถึงว่าพวกเขาทั้งสองได้เป็นสามีภรรยากันจริง ๆ แล้ว

          “ข้าอายุ 19 ปี หากว่าจำไม่ผิดเจ้าเองก็น่าจะอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น เช่นนี้แล้วเห็นสมควรเรียกข้าว่าพี่ได้หรือยังเล่า? แต่ถึงแม้ว่าเจ้าจะรู้อายุที่แท้จริงของข้า เจ้าก็สมควรเรียกข้าว่าท่านพี่” ซ่งเวยหลงพูดขึ้น

          “เช่นนั้นเรียกว่าท่านพี่ถูกแล้วเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่พูดลอยหน้าลอยตา ส่วนคนที่ถูกเรียกนั้นกลับหัวใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก เป็นอันใดไป นางเพียงแค่เรียกท่านพี่เท่านั้น มีสิ่งใดให้ต้องตกใจ

          “กินข้าวเถอะเจ้าค่ะ ข้ารู้สึกปวดเมื่อยขาไปหมดแล้ว อยากจะนอนพักผ่อนเสียเต็มทน” เซี่ยซูมี่พูดขึ้น นางอยากจะไปอาบน้ำแล้วนอนพักเสียที แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ใช้เวลาทั้งวันอยู่กับเขา แถมตอนนี้ยังไม่หายไปไหน นั่งตาใสอยู่ตรงข้ามกับตนด้วย แล้วคืนนี้จะนอนกันอย่างไรดี

“อืม” จู่ ๆ ซ่งเวยหลงก็หน้าแดง หูแดงอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อภรรยาบอกว่าต้องการที่จะนอนพักผ่อน

          เซี่ยซูมี่เองก็เหมือนจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป แต่จะให้แก้ตัวตอนนี้ก็คงจะไม่ทันแล้ว จะให้นอนกับสามีหน้ารุงรังเช่นนี้ก็คงต้องบอกเลยว่านางเองยังทำใจไม่ได้ แต่จะหาทางออกเช่นไรให้กับตัวเองดี

“อะ เอ่อ ข้ารู้สึกว่าเตียงนี่ไม่เหมาะที่จะนอนหลายคนเลยเจ้าค่ะ ท่านคิดเหมือนข้าหรือไม่เจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่รู้สึกว่าวันนี้อากาศร้อนกว่าทุกวัน เพราะนางและสามีในนามกำลังเหงื่อออกเป็นเม็ดๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ

          “เจ้านอนบนเตียงเถอะ ข้าจะปูผ้านอนด้านล่างเอง” ซ่งเวยหลงพูดตัดปัญหา เขาไม่ใช่คนโง่พูดเช่นนี้มาก็พอจะเข้าใจแล้วว่านางไม่อยากจะนอนร่วมเตียงกับตน เป็นไปไม่ได้เลยที่เตียงจะเล็ก เพราะก่อนหน้าที่จะแต่งงาน ตนได้ทำเตียงขึ้นมาใหม่ให้พอดีกับนอนสองคนได้อย่างสบายๆ

          “ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ ท่านเป็นเจ้าของบ้านสมควรที่จะนอนบนเตียง ส่วนข้าจะลงไปนอนที่พื้นเองเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่เองก็ไม่ยอม จะให้เอาเปรียบเขาได้อย่างไร วันนี้สามีออกไปล่าสัตว์มา อีกทั้งยังต้องพาเข้าไปในเมืองอีก เขาสมควรได้นอนบนเตียงสิถึงจะถูก

“เจ้าไปอาบน้ำเถอะ” ซ่งเวยหลงพูดขึ้นพร้อมทั้งถือถ้วยชามไปล้างโดยไม่รอให้หญิงสาวพูดอะไรต่อ

เซี่ยซูมี่ได้แต่ยืนกะพริบตาปริบ ๆ นั่งทบทวนว่าตนพูดสิ่งใดให้สามีไม่พอใจ แต่เมื่อคิดไม่ออกจึงเดินไปยังห้องอาบน้ำ เพื่อชำระล้างร่างกาย ไม่ลืมที่เอาชุดที่ซื้อมาใหม่มาซักด้วย เมื่อเข้ามาในห้องอาบน้ำก็นึกถึงภายในห้องของตัวเอง จำได้ว่ามีน้ำยาซักผ้าเพราะถึงแม้ว่าเสื้อผ้าจะส่งร้านซักรีด แต่พวกชุดชั้นในจำเป็นต้องซักเอง จึงมีน้ำยาพวกนี้ติดห้องเอาไว้บ้าง จากนั้นก็ลงมือซักชุดใหม่ที่ซื้อมา รวมไปถึงชุดที่ใส่ในวันนี้ด้วย

          จัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก็เข้าไปภายในห้องนอน พบว่าชายหนุ่มปูผ้านอนเรียบร้อยแล้ว เขาไม่อาบน้ำหรอกหรือ หรือว่านอนรอตนจนเผลอหลับไปแล้ว แบบนี้จะปลุกเขาขึ้นมาได้อย่างไรกัน

          “ท่าน..พี่เจ้าคะ” เซี่ยซูมี่ยังไม่ชินที่จะเรียกชายหนุ่มว่าท่านพี่ แต่คนตรงหน้ากลับแน่นิ่งไม่ยอมตอบ

          “ท่านพี่เจ้าคะ ได้ยินข้าหรือไม่ ท่านจะไม่ลุกไปอาบน้ำก่อนหรือเจ้าคะ” เซี่ยซูมี่เขย่าแขนเขาเบาๆ นางไม่มีวันยอมให้ชายหนุ่มลงไปนอนบนที่นอนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำโดยเด็ดขาด

“อือ” ซ่งเวยหลงลืมตา จากนั้นก็ขยี้ตาเบาๆ เดิมทีชายหนุ่มตั้งใจจะพักสายตารอหญิงสาวเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าหล่อนจะอาบน้ำนานถึงเพียงนี้ ทำให้เขาเผลอหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยด้วยซ้ำ

          “ขอโทษที่ให้รอนานเจ้าค่ะ แต่ข้าว่าท่านพี่น่าจะไปอาบน้ำก่อนค่อยนอน” เซี่ยซูมี่พูดขึ้น

          ชายหนุ่มทำเพียงลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ ทำตามคำสั่งของภรรยา เดินตรงไปยังห้องอาบน้ำ ระหว่างที่ซ่งเวยหลงอาบน้ำอยู่นั้นเซี่ยซูมี่ก็เอาหมอนของสามีขึ้นไปไว้บนเตียง แล้วเอาหมอนของตัวเองลงมายังด้านล่างแทน ยังไม่ทันที่จะล้มตัวลงนอนเลยด้วยซ้ำ สามีในนามก็เปิดประตูเข้ามาเสียแล้ว

          “เจ้าจะทำอะไร” ซ่งเวยหลงหลังจากที่อาบน้ำแล้วความง่วงก็หายไปโดยสนิท เขาขมวดคิ้วสงสัยว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้กำลังจะทำอะไรกันแน่

          “ข้าบอกท่านแล้วว่าจะนอนพื้นเอง เชิญท่านพี่ขึ้นไปนอนบนเตียงเถิดเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ไขข้อข้องใจให้สามี

          “ข้าเป็นบุรุษจะให้สตรีนอนที่พื้น แล้วตัวเองไปนอนบนเตียงได้เช่นไร อีกอย่างข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าจะนอนพื้นเอง รีบขึ้นไปนอนเสียเถิดอีกไม่กี่ชั่วยามก็เช้าแล้ว” ซ่งเวยหลงพูดขึ้นอย่างเหนื่อยใจ

“ไม่ไปเจ้าค่ะ ข้าจะนอนที่พื้นเอง” เซี่ยซูมี่ปฏิเสธเสียงใส

          “ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเจ้าก็แล้วกัน”

          “ว้าย”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 63

    “ท่านพี่เจ้าคะ ข้าเจ็บท้องเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่ปลุกสามีในช่วงกลางดึกของคืนฝนตกหนักคืนหนึ่ง วันนี้กลับไม่โชคดีเหมือนครั้งที่คลอดซ่งอี้เทียน เพราะยังไม่ถึงกำหนดคลอดทุกคนจึงยังไม่มีการเตรียมการใดๆ “เจ็บอย่างไร ทนได้หรือไม่” ซ่งเวยหลงรีบลุกขึ้นเพื่อดูอาการของภรรยา ไม่หลงเหลือความง่วงเลยสักนิด “ไม่ไหวเจ้าค่ะ ให้คนไปตามหมอตำแยให้น้องทีเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่เค้นเสียงออกมา แม้ว่าภายในใจจะไม่อยากพูดคุยอะไรไปมากกว่านี้เลยก็ตามทันทีที่ฟังภรรยาพูดจบ ซ่งเวยหลงก็ออกไปสั่งการสาวใช้ที่คอยรับใช้หน้าห้อง ให้ไปตามหมอตำแยมาโดยด่วน ฮูหยินซ่งกำลังจะคลอดลูกแล้ว สาวใช้ในเรือนรีบลุกเพื่อไปทำหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่มีอิดออด แม้จะสงสัยอยู่บ้างว่ายังไม่ครบกำหนดจะคลอดได้อย่างไร แต่ก็มีเสียงแตกหลายเสียง เนื่องจากว่าครรภ์ของฮูหยินนั้นใหญ่ผิดปกติหลังจากนั้นราวๆ 2 ชั่วยาม เซี่ยซูมี่ก็ได้ให้กำเนิดทายาทสกุลซ่ง แต่ที่น่ายินดีไปมากกว่านั้นคือเป็นแฝดชาย แม้ว่าจะคลอดก่อนกำหนด แต่แฝดทั้งสองก็สมบูรณ์แข็งแรงดี เมื่อแฝดทั้งสองคลอดฟ้าฝนกลับหยุดลง จากนั้นก็มีแสงใหม่ของอีกวันโผล่ขึ้น คล้ายจะบอกเป็น

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 62

    3 ปีผ่านไป ซ่งอี้เทียนเริ่มโตขึ้นมาก อีกทั้งยังเป็นเด็กที่รู้มากอีกด้วย เซี่ยซูมี่สอนลูกชายอ่านเขียนตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยหวังว่าโตขึ้นไปในภายภาคหน้าเขาจะสามารถดูแลตัวเองได้ ส่วนกิจการของบ้านซ่งต้องบอกว่าขยายใหญ่โตมาก อีกทั้งยังสร้างโรงเตี๊ยมขึ้นมา เพื่อแข่งกับโรงเตี๊ยมเหอฟู่อีกด้วย โดยให้ชื่อโรงเตี๊ยมว่า หลงโถว เช่นเดียวกับร้านค้า ผู้คนในเมืองรวมไปถึงลูกค้าต่างเมือง ต่างรู้จักร้านหลงโถวนี้เป็นอย่างดีทางด้านคุณชายเหอได้ถูกทางการจับตัว เนื่องจากว่ามีคนมาร้องเรียนเรื่องที่ลูกสาวหายตัวไป หลังจากที่แต่งเข้าไปเป็นอนุ เมื่อมีคนมาร้องเรียนกับทางการ อีกหลายๆคนที่ได้ข่าวก็เริ่มมาร้องเรียนบ้าง เนื่องจากว่าเมื่อก่อนชาวบ้านต่างเกรงกลัวอำนาจและบารมีของสกุลเหอ อีกทั้งยังมีท่านเจ้าเมืองหนุนหลัง ทำให้ไม่มีใครแจ้งความเอาผิด แต่ตอนนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อมีท่านรองแม่ทัพหยางเข้ามาประจำการในเมืองนี้ ทำให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงทางการได้ง่ายขึ้น“มีชาวบ้านเข้ามารองเรียนเรื่องคนหายไม่เว้นวัน” ท่านเจ้าเมืองถอนหายใจ ไม่คิดเลยว่าสหายที่เติบโตด้วยกันมาจะเป็นคนเช่นนี้ เดิมทีเหอฟู่ผู้นี้เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 61

    หลังจากที่ให้ลูกชายกินนม เซี่ยซูมี่จึงพาลูกชายออกมายังห้องโถง ซึ่งแม่บ้านเห่ยนำเตาขนาดเล็กมาวางไว้รอบๆ ห้อง เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับภายในบ้าน ทำให้บ้านไม่หนาวเย็นอย่างที่ควรจะเป็น “มาแล้วหรือหลานชายของป้า มาให้ป้าอุ้มให้หายคิดหน่อยหน่อยเถิด” เซี่ยซือมั่นเงยหน้าจากผ้าที่กำลังปักอยู่ จากนั้นก็ยื่นงานปักให้สาวใช้คนสนิททำต่อ ส่วนนางนั้นเอื้อมมือเพื่อที่จะไปอุ้มหลายชายเข้าสู่อ้อมกอดซ่งอี้เทียนเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความรักความเอ็นดูที่ท่านป้าหมาดๆของเขามีให้ ทารกน้อยอายุเพียง 1 เดือน จากตอนแรกที่อยู่ในอ้อมกอดมารดา จึงยอมให้ท่านป้าของเขาอุ้มเข้าไปกอดอย่างง่ายดายส่วนทางด้านท่านป้าที่เมื่อได้อุ้มหลานชายแล้วนั้น ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าหลานชายไม่ได้ผอมแห้งดังเช่นที่ตนนั้นกังวล แต่เขากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ทารกน้อยมีน้ำหนักหากจะพูดแล้วนั้น น่าจะหนักกว่าเด็กทั่วๆ ไปเสียด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าทารกที่กินเพียงน้ำนมของผู้เป็นแม่เพียงอย่างเดียวจะอุดมสมบูรณ์ได้ “เป็นไรไปหรือเจ้าคะ?” เซี่ยซูมี่สังเกตเห็นสีหน้าฉงนของพี่สาวจึงอดที่จะเอ่ยถามออกไปไม่ได้ “เสี่

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 60

    1 เดือนผ่านไปเซี่ยซูมี่ออกจากการอยู่ไฟแล้วเรียบร้อย อีกทั้งวันนี้ยังมีแขกมาเยี่ยม ซ่งอี้เทียน นั่นก็คือท่านป้าและท่านลุงหยางหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือท่านรองแม่ทัพหยางนั่นเองกล่าวถึงเซี่ยซือมั่นเมื่อเข้าไปทำงานยังจวนของท่านรองแม่ทัพ ก็ได้มีโอกาสศึกษาดูใจกับรองแม่ทัพหนุ่มมากขึ้น ทำให้ทั้งสองคนมีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน อีกทั้งหญิงสาวยังรับหน้าที่ในการทำอาหารขึ้นโต๊ะให้แก่เขาเองอีกด้วย คุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนั้นจะหนีจากฮูหยินใหญ่ของเขาไปได้อย่างไรกัน“หลานชายของป้า น่าตีท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้ายิ่งนัก หลานชายคลอดทั้งที กลับไม่ส่งข่าวคราวให้ป้าบ้างเลย” เซี่ยซือมั่นทำทีเป็นบ่นกับหลานชาย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วพ่อกับแม่ของเจ้าก้อนกลมนั้นก็นั่งอยู่ด้วย “หิมะตกหนัก อีกทั้งข้าเองก็เพิ่งจะออกจากการอยู่ไฟ ป้าเห่ยไม่ยอมให้ข้าเห็นเดือนเห็นตะวันเลยล่ะเจ้าค่ะ” เซี่ยซูมี่อดที่จะบ่นแม่บ้านของตัวเองไม่ได้ เพราะนางไม่ยอมให้ออกไปไหนเลยแม้ว่าจะอ้อนวอนมากเพียงใดก็ตาม เซี่ยซูมี่เป็นคนสะอาด จะยอมให้ผมตัวเองมันเยิ้มได้อย่างไรกัน นอกจากมันแล้วก็ยังรู้สึกคันหนังหัวแต่ไม่อยากสอดนิ้วมือเข้าไปเพราะหนังหัวช่

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 59

    เซี่ยซูมี่ลืมตาตื่นในเช้าของอีกวัน คิดว่าตัวเองฝันไปหรือเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อใช้มือคลำสัมผัสที่หน้าท้องกลับพบว่ามันยุบลง ไม่ป่องเหมือนเมื่อวาน นอกจากนั้นแล้วในยามที่ขยับตัวก็รู้สึกเจ็บ อีกทั้งยังเหมือนได้ยินเสียงร้องงอแงของเด็กอีกด้วย “อือ” คุณแม่มือใหม่ส่งเสียงในลำคอ “ลูกพ่อ แม่ของลูกตื่นแล้ว” ซ่งเวยหลงตอนนี้กำลังอุ้มลูกชายอยู่สืบเนื่องจากเมื่อคืนที่ได้บอกกับหมอตำแยเอาไว้ว่าจะให้ลูกกินนมของภรรยาเป็นคนแรกนั้นต้องหยุดลง เนื่องจากว่าลูกชายร้องไห้งอแงในยามเช้าแต่ภรรยาเขากลับยังไม่ได้สติ ตนจึงจำเป็นต้องให้แม่นมที่เตรียมไว้สำหรับลูกชายทำหน้าที่แทนทารกน้อยราวกับว่ารับรู้และเข้าใจในสิ่งที่บิดาพูด ทันทีที่พูดถึงมารดาเขากลับเงียบเสียงลง คล้ายกำลังฟังเสียงการเคลื่อนไหวของมารดา แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเหมือนตอนที่อยู่ในท้อง เขากลับเริ่มเบะปากเตรียมที่จะร้องไห้อีกครั้ง “ท่านพี่ นะ น้ำเจ้าค่ะ น้องขอน้ำ” เซี่ยซูมี่รู้สึกลำคอแห้งผาก แม้ว่าอยากจะลุกขึ้นไปอุ้มลูกชายมากเพียงใด แต่ตอนนี้ตนต้องได้กินน้ำเพื่อให้ร่างกายมีแรงขึ้นมาก่อน “ฮูหยิน น้ำเจ้าค่ะ”

  • สามีข้าคือพรานป่า   ตอนที่ 58

    หลังจากที่ไปส่งพี่สาวที่จวนของท่านรองแม่ทัพ เรียกได้ว่าหายห่วงไปได้มากทีเดียว เดิมทีเซี่ยซูมี่ตั้งใจจะพาพี่สาวไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ให้สมกับตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ของจวนท่านรองแม่ทัพ แต่กลับถูกเจ้าของจวนขัดขึ้นเสียก่อน เนื่องจากว่าเขาได้ให้คนงานจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อไปถึงจวนก็ไปดูที่พักของพี่สาว คงต้องบอกว่าไม่เหมือนกับที่พักพิงของคนงานเลยสักนิด แม้จะบอกว่าไม่ได้ให้เข้าทำงานมาเป็นทาส หรือแม้กระทั่งยกตำแหน่งแม่บ้านใหญ่ให้ ก็ยังดูไม่ใช่ที่พักของคนงานอยู่ดี แต่คล้ายว่าเป็นห้องนอนของแขกคนสำคัญมากกว่าเซี่ยซือมั่นได้แต่มองหน้าน้องสาวเพื่อขอความคิดเห็น แต่เซี่ยซูมี่กับเดินตัวติดกับสามี ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสายตาที่พี่สาวพยายามจะส่งมาให้ ได้เห็นการต้อนรับที่อบอุ่นเช่นนี้แล้วเซี่ยซูมี่เองก็เบาใจ “ท่านว่าพี่ชายของท่านจะจริงจังกับพี่สาวของข้ามากน้อยเพียงใดเจ้าคะ?” ระหว่างที่กลับบ้านป่า เซี่ยซูมี่ก็ชวนสามีพูดคุยเพื่อให้ไม่เหงาปากมากจนเกินไป “ชู่ว หยุดพูดจาส่งเดช มีคนตามมาส่งเราด้วย” ซ่งเวยหลงทำเสียงเป็นเชิงบอกให้ภรรยาหยุดพากพิงถึงบุคคลอื่น เนื่องจากว่าพี่ชายได้

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status