บทที่ 3
ม้าที่ถูกวางยา
รับผิดชอบ!?
หมายความว่าอย่างไร
คำถามนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของหรงหรานทุกวันทุกคืน
แม้ในหัวจะเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่จนใจที่นางทำได้เพียงนอนเป็นผักบนเตียง ซ้ำยังพูดไม่ได้ เพราะเลือดอาการเลือดคลั่ง
ท่ามกลางความสงสัย หรงหรานปล่อยให้ชายหนุ่มเคราดกรักษาตนต่อไป
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า แม้ไม่รู้ว่าช่วงเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปแล้วกี่วัน แต่ในที่สุดหรงหรานก็ไม่ต้องนอนเป็นผักอยู่บนเตียงอีกแล้ว
นางขยับแขนขาได้ ลุกขึ้นมากินโจ๊กได้ แม้แต่เรื่องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้านางก็ทำเองได้แล้วเช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่นางโล่งใจเป็นอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตาม นางยังคงต้องรักษาตัวเองต่อในบ้านของเหล่ยเซินอยู่ดี
หลายวันถัดมา อาการบาดเจ็บของนางหายดี แม้ยังเหลือร่องรอยแผลเป็นนิดๆ หน่อยๆ แต่หมอชราประจำหมู่บ้านบอกว่าหากขยันทายา แผลเป็นเหล่านี้ก็จะจางหายไปเอง
“จริงสิ เหล่ยเซินได้บอกเจ้าหรือยังว่าม้าที่ตกหน้าผาพร้อมกับเจ้าตายแล้วน่ะนะ”
ในขณะที่หมอชราประจำหมู่บ้านกำลังนำยาทาแผลภายนอกและยารักษาภายในออกมาวางเรียงบนโต๊ะทีละขวด อีกฝ่ายได้พูดประโยคนั้นกับหรงหราน
“เขาช่วยม้าไว้ด้วยหรือ” นางถามด้วยความสงสัย
เห็นหน้าตาโหดเหี้ยมเช่นนั้น ไม่คิดว่าจะใจดีถึงเพียงนี้
ทว่า
ถึงนางจะเสียใจที่ม้าตัวนั้นตาย หากก็ช่วยไม่ได้ หน้าผาสูงถึงเพียงนั้น ตกลงมาแล้วไม่ตาย ถือว่าสวรรค์เมตตานางมากแล้ว
“ใช่แล้ว” หมอชราพยักหน้าตอบ สักครู่ก็ทำหน้าสงสัยไม่ต่างจากหรงหราน “ว่าแต่เจ้าไม่รู้เรื่องนี้หรอกหรือ หลังจากช่วยเจ้าในคืนนั้น เหล่ยเซินได้ย้อนกลับไปที่ใต้หน้าผา แล้วก็พบว่ามีม้าตัวหนึ่งนอนแน่นิ่ง แต่เพราะมันยังหายใจอยู่ ก็เลยพากลับมาให้ข้าช่วยรักษาด้วย ปัดโธ่เอ๊ย! ข้าเป็นหมอคนไม่ใช่หมอสัตว์ จะรักษาม้าตัวนั้นให้รอดก็ค่อนข้างยาก แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ ข้าตรวจอาการของมันแล้วเจอเรื่องแปลกประหลาดอย่างหนึ่งด้วย”
“อะไรหรือ”
อดสงสัยไม่ได้ นางจึงถามกลับทันที
“ม้าของเจ้าถูกวางยาน่ะสิ”
ร่างกายของหรงหรานแข็งทื่อเมื่อได้ยินอย่างนั้น
ถูกวางยา?
เป็นแบบนั้นจริงหรือ
ทำไม ใครกัน ถึงได้ทำแบบนั้น
หรงหรานครุ่นคิดอย่างติดใจสงสัย ถึงไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่ถึงอย่างไรแล้ว นางกลับไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก ม้าตัวนั้นเป็นม้าที่นางขี่ทุกวัน แต่แล้ว จู่ๆ กลับมีอาการตื่นตกใจ วิ่งเตลิดจนผลัดตกเขา อาการเช่นนั้นนับว่าแปลกอย่างมาก
มิน่าเล่า มันถูกวางยานี่เอง...
ในหลายวันถัดมา ร่างกายของหรงหรานแข็งแรงขึ้นแล้ว นางตั้งใจว่าจะเดินทางกลับจวนสกุลโจวทันที มิคาดว่า ทันทีที่เปิดประตูก้าวเท้าออกจากบ้าน ผู้คนทั้งหมู่บ้านกลับมายืนหน้าสะลอนที่หน้าบ้านของเหล่ยเซิน ทั้งยังหอบหิ้วหมูเห็ดเป็ดไก่มาร่วมแสดงความยินดี
“ยินดีด้วยนะแม่นาง” ท่านป้าคนหนึ่งยื่นตะกร้าผักมาให้
หรงหรานรับมาเพราะคิดว่าถ้าปฏิเสธจะเป็นการเสียมารยาท
“ส่วนนี่คือของขวัญของข้า รับไว้สิ”
ชายคนนั้นยื่นไก่ที่ถูกรีดเลือดออกจนหมดตัวมาให้
“ของข้าด้วย ช่วยรับไว้ทีนะ”
“ข้าด้วย”
จากนั้น พวกเขาต่างแห่มอบของขวัญมากมายมาให้นาง
“เอ๊ะ!?” ตอนแรก นางร้องด้วยความแปลกใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่ นางก็ยิ้มเขินให้กับชาวบ้านที่มายืนออกัน ก่อนจะตอบรับความห่วงใยของทุกคน “พวกท่านช่างใจดียิ่งนัก ไม่เห็นจะต้องมายินดีที่ข้าหายจากอาการบาดเจ็บเลย ลำบากพวกท่านแล้ว”
ทั้งที่ไม่รู้จักกันแท้ๆ แต่คนพวกนี้กลับมีน้ำใจ ถึงขั้นแสดงความยินดีหลังจากที่นางรักษาตัวจนหาย ช่างน่าซาบซึ้งใจเสียจริง
ชาวบ้านที่มานี้ มีทั้งเด็กและคนแก่ พวกเขาต่างยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรพร้อมยัดข้าวของต่างๆ ใส่มือหรงหราน พอมอบของให้นางเสร็จ กล่าวคำยินดีไม่กี่ประโยค ก็ทยอยกลับบ้านของตนไป
มาเร็วไปเร็วราวกับพายุ
ถึงอย่างนั้น นางกลับไม่คิดรับเกียจ ตรงข้าม นางยกมือถูจมูกด้วยความเขิน ก่อนจะถือข้าวของมากมายไปเก็บในครัว
ตอนอยู่จวนสกุลโจว นอกจากครอบครัวของนางแล้ว ก็ไม่เคยมีใครแสดงความยินดีกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความจริงใจเหมือนผู้คนในหมู่บ้านนี้เลย
พวกเขาช่างใจดีและเป็นมิตรอย่างไม่น่าเชื่อ
ในตอนนั้นเอง เหล่ยเซินกลับมาจากข้างนอกพอดี
เพราะอารมณ์ดีอยู่ หรงหรานจึงชวนอีกฝ่ายคุย
“เมื่อครู่คนในหมู่บ้านนำอาหารมาให้ ข้าเอาไปเก็บในครัวแล้ว”
บอกตรงๆ ถึงตอนแรกนางจะไม่ชอบชายเคราดกคนนี้เท่าไร แต่ตราบใดที่ยังอาศัยเขาอยู่ อาศัยเขากิน สำคัญกว่านั้น เขายังเป็นคนช่วยชีวิตของนางเอาไว้ นางจึงต้องพูดคุยกับเขาเพื่อแสดงความเป็นมิตร
ชายหนวดดกตอบกลับมาสั้นๆ ว่า “อืม”
หรงหรานถอนหายใจเบาๆ แต่นอกจากนั้นก็ไม่ได้ถือสากับคำตอบ
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่หรงหรานทำใจยอมรับนิสัยด้านนี้ของเหล่ยเซิน
“ข้าอยากกินไก่ตุ๋น เจ้าทำอาหารเป็น ทำให้ข้าด้วยแล้วกัน”
นางบอกความต้องการออกไป เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ถือสาหากนางเรียกร้อง หลายวันที่อยู่ด้วยกันก็เป็นแบบนี้เสมอ
ชายหนุ่มยังคงเสมอต้นเสมอปลาย ตอบรับสั้นว่า “อืม”
นางไหวไหล่เบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน
บทพิเศษต่างก็คลั่งรักพอกลับมาถึงตำหนักท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว เซียวอวิ้นหยางถอดเสื้อคลุมออกแล้วเดินไปนั่งบนเตียงขนาดใหญ่เอ่ยปากบอกพร้อมกับตบลงบนตักของตนด้วยประกายตาที่สั่นไหว “มานี่” ทีแรกฟางถิงถิงงุนงงเล็กน้อย แต่แล้วก็นึกได้ว่าตอนขี่ม้ารับลมชมวิวอยู่ข้างนอก เซียวอวิ้นหยางทั้งบอกรักทั้งจูบนางอย่างดูดดื่ม ช่วงเวลานั้นบรรยากาศเป็นใจยิ่งนัก หากไม่ติดว่าอยู่ข้างนอก เขาคงครอบครองนางตรงนั้นแล้วกระมัง นางยิ้มน้อยๆ พร้อมเดินเข้าไปนั่งลงบนตักของสามี จากนั้นยกสองมือขึ้นโอบรอบลำคอแข็งแรง ภายในห้องไม่ได้จุดเทียน มีเพียงแสงสว่างสีเงินยวงจากดวงจันทร์ที่ลอดเข้ามาทางกรอบหน้าต่าง กระนั้นตอนที่สบประสานสายตากันก็ยังมองเห็นว่าพวกเขาต่างก็โหยหากันมากแค่ไหน เซียวอวิ้นหยางโอบกอดเอวบาง ซ้ำยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้าไปกดจูบกลีบปากอิ่มสวย “อื้อ...” เสียงของนางดังลอดออกจากริมฝีปากแผ่วเบา มิหนำซ้ำยังเผยอริมฝีปากเพื่อเปิดรับลิ้นร้อนที่ชอนลึกเข้ามาในโพรงปาก ทันใดนั้นราวกับเปลวไฟแห่งราคะถูกจุดให้ลุกโชยขึ้นกลางอก มือใหญ่ที่ป
บทที่ 46คลี่คลาย (2) ย้อนกลับมาทางเซียวอวิ้นหยาง ทันทีที่กลับเข้าตำหนักก็ถูกภรรยาวิ่งเข้ามาสวมกอด “เป็นอย่างไรเพคะ ถูกฝ่าบาทลงโทษหรือไม่” ฟางถิงถิงร้อนรนถามหลังจากผละออกไป ทั้งยังมองสำรวจร่างกายของเซียวอวิ้นหยางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสีหน้ากังวล เซียวอวิ้นหยางยิ้มมองพระชายาสุดที่รัก ยื่นมือลูบเส้นผมนุ่มลื่นของนางพลางกล่าวว่า “ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง แค่ถูกฝ่าบาทตำหนินิดหน่อยเท่านั้นเอง” “แค่นั้นจริงๆ หรือเพคะ” “แค่นั้นจริงๆ” เซียวอวิ้นหยางย้ำ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังบอกเล่าเกี่ยวกับราชโองการให้นางฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องที่เซียวจื้ออี้ถูกถอดออกจากตำแหน่งรัชทายาท หลินซวงเอ๋อร์ถูกเนรเทศ และเสนาบดีหลินถูกพักงาน รวมถึงเรื่องที่เขาและนางจะต้องเดินทางกลับดินแดนซีโจวด้วยกัน เมื่อมองจากสีหน้าแล้วเห็นเซียวอวิ้นหยางไม่ได้โกหก ฟางถิงถิงจึงถอนใจด้วยความโล่งอก “จะอยู่เมืองหลวงหรือต่างแดนหม่อมฉันไม่คิดมากหรอกเพคะ แต่ที่สงสัย พระองค์ร่วมมือกับองค์ชายสามตั้งแต่เมื่อไร” “ที่แท้เจ้าก็ติดใจ
บทที่ 45คลี่คลาย (1) เพียงคืนเดียว วีรกรรมของเซียวออวิ้นหยางก็ดังมาถึงพระกรรณฝ่าบาท โดยเฉพาะฆ้องปากแตกอย่างเสนาบดีหลินจะอยู่เฉยได้หรือในเมื่อบุตรสาวของตนถูกกระทำเช่นนั้น เสนาบดีหลินรีบเข้าวังตั้งแต่เช้าตรู่ ใช้เรื่องที่หยางอ๋องกับองค์ชายสามรังแกบุญสาวของตนมาเรียกร้องหาความเป็นธรรม แน่นอนว่าเซียวอวิ้นหยางก็ถูกเรียกเข้าเฝ้าภายในตำหนักส่วนพระองค์เช่นเดียวกัน “คราวนี้เจ้าทำเกินไปแล้ว ถ้ารัชทายาทเจ็บตัวขึ้นมา เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ” “ไม่เจ็บตัวหรอกพ่ะย่ะค่ะ ตรงนั้นยังมีทหารตั้งสองนายคอยคุ้มกันรัชทายาท” “ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ภาพลักษณ์ที่รัชทายาทถูกจับมัด ร้องไห้ฟูมฟายถูกแพร่งพรายออกไปแล้ว คราวนี้เจ้าตัวจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ยังมีอีก คุณหนูหลินเองก็เสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย เจ้ารู้หรือไม่” “ฝ่าบาทคงลืมไปแล้วกระมัง ชื่อเสียงของหลินซวงเอ๋อร์เสื่อมเสียตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ความผิดของกระหม่อมสักหน่อย” “แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ควรทำเช่นนี้...เฮ้อ!” ทันทีที่มาถึงตำหนักส่วนพระองค์ เซียวอวิ้นห
บทที่ 44มีแค้นต้องชำระ (2) “จับข้ามัดเนี่ยนะคือเล่นสนุก?” รัชทายาทถามหน้าตาขึงขัง “ถูกต้อง ข้าอยากลองเปลี่ยนจากผู้ล่าให้เป็นผู้ถูกล่าบ้าง” “เจ้าสาม เจ้ากล้าพูดกับข้าเช่นนี้รึ!?” รัชทายาทเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่องค์ชายสาม หากแต่ฝ่ายหลังกลับไม่มีท่าทีว่าจะหวาดกลัว ตรงข้าม องค์ชายสามยิ้มครึ้มใจแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน ทว่าน้ำเสียงกลับน่าขนลุกสุดๆ “เสด็จพี่รัชทายาท ข้าได้ยินมาว่าเสด็จอาของเราเก่งเรื่องล่าสัตว์ สมัยอยู่ที่ซีโจวแค่ผิวปากครั้งเดียว ฝูงหมาป่าละแวกใกล้ๆ ก็กรูกันเข้ามา ข้าอยากเห็นเสด็จอาควบคุมฝูงหมาป่ากับตาตัวเอง ท่านอยากเห็นหรือไม่” “มะ...หมายความว่ายังไง” “มาดูวิธีเรียกหมาป่าของเสด็จอากันดีกว่า ข้าอยากเห็น เสด็จพี่รัชทายาทก็ช่วยให้ความร่วมมือหน่อยเถอะ” เมื่อองค์ชายสามพูดจบ เสียงผิวปากยาวแหลมก็ดังขึ้นอย่างไม่มีการเตือนล่วงหน้า ก่อนเสียงเห่าหอนของฝูงหมาป่าจะดังตามหลัง รัชทายาทกับหลินซวงเอ๋อร์ที่ถูกมัดขยับไปไหนไม่ได้หวาดกลัวตัวสั่นเทิ้ม สักครู่ต
บทที่ 43มีแค้นต้องชำระ (1) ภายในกระโจม ฟางถิงถิงนั่งจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์โดยมีม่านเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวคอยบีบนวดไหล่ให้ “อือ...ม่านเอ๋อร์บีบนวดได้ดีที่สุด” “ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู อ๊ะ ไม่สิๆ ขอบพระทัยเพคะพระชายา ว่าแต่ พระชายามีเรื่องอะไรสนุกๆ หรือเพคะ เห็นอมยิ้มตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” “ข้ายิ้มหรือ” ฟางถิงถิงถามพลางแตะหน้าตัวเอง ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังยิ้มอยู่ “พระชายายิ้มอยู่จริงๆ เพคะ” ม่านเอ๋อร์ย้ำ “อย่างนั้นหรือ” “เพคะ” เมื่อครู่นั้น ฟางถิงถิงกำลังคิดถึงเซียวอวิ้นหยาง และเรื่องสนุกๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจเพราะเหตุนี้นางจึงอารมณ์ดีจนเผลอยิ้มออกมาก็เป็นได้ ฟางถิงถิหันไปหยิบขนมชิ้นหนึ่งแล้วส่งให้กับม่านเอ๋อร์ “อะไรหรือเพคะ” ม่านเอ๋อร์ถามด้วยความใสซื่อ “วันนี้ข้าอารมณ์ดี อีกอย่าง ฝีมือการนวดของเจ้าก็พัฒนาขึ้น ข้าให้รางวัลน่ะ” “ขอบพระทัยเพคะ” ม่านเอ๋อร์ย่อกายทำความเคารพ ก่อนจะรับขนมจากเจ้านายด้วยสีหน้าเบิกบานแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย ฟางถ
บทที่ 42เอาคืน ฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดทำให้ฟางถิงถิงถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ตอนได้สติและตื่นขึ้นมาร่างกายของนางจึงปวดระบมมากกว่าปกติ หนำซ้ำนางยังรู้สึกผิดต่อเซียวอวิ้นหยาง เขาช่วยเหลือนางครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่ช่วยบรรเทาความร้อนจากพิษกำหนัดก็ด้วย...คิดแล้วก็หันมองชายหนุ่มข้างกายด้วยสายตาหลงใหล “ขอบคุณ...สามี” นางกระซิบบอกเขาด้วยความซาบซึ้ง ดวงตาคู่งามยังคงจับจ้องใบหน้าคมสันของสามี ในมุมมองของเซียวอวิ้นหยาง ตั้งแต่ที่สัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคนกำลังจ้องมองตน สัญชาตญาณของนักล่าก็ตื่นตัว ทว่าคนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่หาใช่คนอื่น หากเป็นฟางถิงถิง ชายาของเขาเอง ดังนั้นเขาจึงแกล้งหลับต่อไป ทว่าตอนที่ได้ยินนางเรียกเขาว่า 'สามี' วิญญาณนักล่าราวกับประทับลงร่าง ทันทีที่เปลือกตาของเขาเปิดขึ้น มือใหญ่ก็เอื้อมมือออกไปโอบกอดเอวบางแล้วดึงนางเข้ามาแนบอก ครั้นร่างนุ่มนิ่มแนบชิดหน้าอกแกร่ง เซียวอวิ้นหยางอดจะสูดหายใจลึกไม่ได้ แค่ได้กอดภรรยา ความปรารถนาก็พลอยจะตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ตรงข้ามกับฟางถิงถิง พอถูกโอ