บทที่ 7
ถึงเมืองหลวง
แม้การกลับบ้านครั้งนี้จะมีเหล่ยเซินตามมาด้วย แต่พอเอาเข้าจริง สำหรับหรงหรานแล้วกลับไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อันที่จริง นางรู้สึกอุ่นใจด้วยซ้ำที่มีเขาอยู่เคียงข้าง
เหล่ยเซินย้อนกลับไปที่บ้านเพื่อนำเงินซึ่งเก็บเอาไว้มาเป็นค่าเดินทาง
ด้วยรู้สึกแปลกใจผสมความใคร่รู้ หรงหรานจึงเอ่ยถามชายหนุ่มตรงๆ
“ท่านมีเงินเก็บด้วยหรือ”
คำถามของหรงหรานไม่ใช่การดูแคลนคนอื่น เพียงแต่นางที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านกลางป่ากลางเขามาได้สักระยะ เห็นว่าผู้คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เข้าป่าล่าสัตว์ ทั้งยังปลูกผักไว้กินเอง ไม่ได้ประกอบอาชีพใดเลย
ก่อนหน้านี้ นางยังเคยนึกสงสัยว่าคนที่นี่รู้จักเงินกันบ้างหรือไม่ และแน่นอน ความสงสัยนั้นเด่นหลาเต็มใบหน้าของนาง
“คนในหมู่บ้านใต้หุบเขาเล่อฉางต่างก็ใช้เงินไม่ต่างจากคนในเมืองนั่นแหละ พวกเราเข้าเมืองขายของป่า ถ้ามีหนังสัตว์ก็ขายหนังสัตว์ ถึงอย่างไร มีเงินย่อมดีกว่าไม่มี” เขาอธิบาย
“อย่างนี้นี่เองหรือ”
“เดินทางกันเถอะ”
เพราะไม่อยากชักช้าจนค่ำมืด หลังจากพูดคุยกันจบ เหล่ยเซินก็นำทางหรงหรานออกจากป่า
ระหว่างเดินทาง ชายหนุ่มช่างเอาอกเอาใจอย่างยิ่ง คอยถามนางว่าเหนื่อยหรือไม่ ทั้งยังคอยกุมมือนางเสียแน่น ราวกับกลัวว่านางจะหนีหายไปจากเขาอีก
หัวใจของหรงหรานเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ ซ้ำยังอุ่นซ่านไปทั้งดวง
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันเพื่อเดินทางออกจากป่า เมื่อมาถึงหน้าประตูเมืองเล่อฉาง ตรงจุดนี้จะมีรถม้าให้เช่า เหล่ยเซินเช่ารถม้าคันหนึ่ง พอตกลงราคาและจ่ายเงินแล้ว ทั้งสองก็มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวง
ด้วยเหตุนี้เอง ตอนที่ทั้งสองมาถึงจวนสกุลโจวจึงเป็นปลายยามซวี[1]
หรงหรานเงยหน้ามองประตูไม้อันแสนคุ้นเคยด้วยดวงตาแดงก่ำ พร้อมกับสูดจมูกทีหนึ่ง
นางไม่ได้กลับบ้านมานานแค่ไหนแล้วนะ...แต่ เรื่องนั้นช่างก่อนเถอะ นางอยากเจอหน้าท่านพ่อท่านแม่เหลือเกินแล้ว
คิดจบ หรงหรานก็เดินเข้าไปเคาะประตูไม้หนาหนักระรัว
“ท่านพ่อท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว”
นางตะโกนด้วยเสียงสั่นเครือจวนเจียนจะร้องไห้
เวลาผ่านไปไม่นาน พ่อบ้านโจวออกมาเปิดประตูต้อนรับ พอเห็นว่าเป็นคุณหนูโจวที่หายตัวไปเป็นเวลานานกลับมา ชายชราก็ปล่อยโฮทันที
“คุณหนูโจวกลับมาแล้ว!” พ่อบ้านโจวร้องออกมาด้วยความดีใจ
จากนั้นไม่กี่อึดใจต่อมา ทั่วทั้งจวนสกุลโจวที่แต่เดิมเต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าซึม บัดนี้กลับมีเสียงแสดงความยินดี เนื่องจากคุณหนูโจวซึ่งใครต่อใครต่างคิดว่าตกหน้าผาสิ้นชีพไปแล้ว ได้กลับสู่อ้อมกอดของบิดามารดาอีกครั้ง แม้ว่าชุดที่นางสวมใส่จะเก่าโทรมมากๆ หากกระนั้น นางกลับดูแข็งแรงและแทบไม่มีร่องรอยของบาดแผลตามร่างกายเลย
โจวจิ้งรุยกับโจวฮูหยินวิ่งออกมาจากเรือนใหญ่ เมื่อเห็นบุตรสาวยืนยิ้มแฉ่งหน้าประตูจวน ทั้งคู่ถึงกับร้องไห้ ก่อนจะดึงบุตรสาวเข้าสู่อ้อมกอด เป็นภาพชวนซาบซึ้งอย่างยิ่ง หากทว่า...
“นั่นเจ้าพาใครมาด้วย นายพรานนำทางหรือ?”
โจวฮูหยินเอ่ยถามหลังจากปาดน้ำหูน้ำตาแล้ว
“เขา...เอ่อ...”
ในขณะที่หรงหรานอ้ำอึ้งไม่กล้าตอบ เหล่ยเซินกลับพูดแทรก
“ข้าเป็นสามีของนาง”
“หา!?”
“ไม่จริงใช่หรือไม่”
โจวจิ้งรุยขมวดคิ้วถามย้ำกับบุตรสาว
ผู้ชายร่างหมี หนวดเคราดกดำ ท่าทางป่าเถื่อนผู้นี้น่ะหรือจะเป็นสามีของบุตรสาวตน ไม่จริง ไม่มีทาง!
ขนาดโจวจิ้งรุยที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ โลดแล่นในสนามรบมาเป็นเวลานาน มองปราดเดียวยังรู้ว่าชายเคราดกตรงหน้านี้น่ากลัวและไม่ธรรมดา
อย่างไรก็ตาม บุตรสาวของเขาแม้ไม่ใช่สตรีอ่อนหวานแช่มช้อยเหมือนสตรีบ้านอื่น แต่ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้เหมาะสมกับบุตรสาวของตนเลยสักนิด
ความเงียบที่ปกคลุมทั่วทั้งสกุลโจวเป็นการบอกกลายๆ ว่าไม่ยอมรับเหล่ยเซิน ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มกลับยืนนิ่งเหมือนไม่สะทกสะท้าน ตรงข้ามกับหรงหรานที่รู้สึกสับสน มือทั้งสองข้างที่ตกข้างลำตัวกำกระโปรงที่ทั้งเก่าทั้งโทรมแน่น นางรู้สึกอึดอัดลำบากใจเพราะไม่รู้จะอธิบายกับบิดามารดาถึงที่มาที่ไปนี้อย่างไรดี
“เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเราเข้าบ้านกันก่อนเถอะ นะ” โจวฮูหยินออกหน้าทำลายความอึดอัดของบรรยากาศ ทั้งยังหันไปแตะแขนของสามี “ท่านพี่ ข้าเชื่อว่ากว่าหรงหรานจะเดินทางกลับมาถึงบ้าน นางคงลำบากไม่น้อย ควรให้นางได้พักผ่อน กินอาหารอุ่นๆ ก่อนไม่ดีกว่าหรือ”
ได้ยินอย่างนั้น สีหน้าของโจวจิ้งรุยเปลี่ยนจากขึงขังเป็นอ่อนโยน ถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อสักครู่จะทำให้ตกใจ แต่ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของบุตรสาวอีกแล้ว
“อืม”
ชายสูงวัยพยักหน้า ก่อนจะหันไปสั่งให้พ่อบ้านโจวจัดเตรียมอาหารและเรือนรับรองสำหรับแขก
“ท่านพ่อ คือว่า เขา...”
หรงหรานอยากจะอธิบายเรื่องของเหล่ยเซิน แต่จนแล้วจนรอด นางก็ยังลังเล และไม่มีอะไรหลุดจากปากนอกจากคำว่า 'เขา'
“คืนนี้ให้แขกของเจ้าพักที่เรือนรับรองก็แล้วกัน ส่วนเจ้า พักที่เรือนของเจ้าดังเดิม” โจวจิ้งรุยตัดบท
ก่อนทั้งคู่จะถูกจับแยกไปคนละทาง สายตาของทั้งสองได้สบประสานอย่างโหยหาโดยไม่รู้ตัว
[1] ยามซวี เท่ากับเวลา 19.00 น. จนถึง 20.59 น.
บทพิเศษต่างก็คลั่งรักพอกลับมาถึงตำหนักท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว เซียวอวิ้นหยางถอดเสื้อคลุมออกแล้วเดินไปนั่งบนเตียงขนาดใหญ่เอ่ยปากบอกพร้อมกับตบลงบนตักของตนด้วยประกายตาที่สั่นไหว “มานี่” ทีแรกฟางถิงถิงงุนงงเล็กน้อย แต่แล้วก็นึกได้ว่าตอนขี่ม้ารับลมชมวิวอยู่ข้างนอก เซียวอวิ้นหยางทั้งบอกรักทั้งจูบนางอย่างดูดดื่ม ช่วงเวลานั้นบรรยากาศเป็นใจยิ่งนัก หากไม่ติดว่าอยู่ข้างนอก เขาคงครอบครองนางตรงนั้นแล้วกระมัง นางยิ้มน้อยๆ พร้อมเดินเข้าไปนั่งลงบนตักของสามี จากนั้นยกสองมือขึ้นโอบรอบลำคอแข็งแรง ภายในห้องไม่ได้จุดเทียน มีเพียงแสงสว่างสีเงินยวงจากดวงจันทร์ที่ลอดเข้ามาทางกรอบหน้าต่าง กระนั้นตอนที่สบประสานสายตากันก็ยังมองเห็นว่าพวกเขาต่างก็โหยหากันมากแค่ไหน เซียวอวิ้นหยางโอบกอดเอวบาง ซ้ำยื่นใบหน้าหล่อเหลาเข้าไปกดจูบกลีบปากอิ่มสวย “อื้อ...” เสียงของนางดังลอดออกจากริมฝีปากแผ่วเบา มิหนำซ้ำยังเผยอริมฝีปากเพื่อเปิดรับลิ้นร้อนที่ชอนลึกเข้ามาในโพรงปาก ทันใดนั้นราวกับเปลวไฟแห่งราคะถูกจุดให้ลุกโชยขึ้นกลางอก มือใหญ่ที่ป
บทที่ 46คลี่คลาย (2) ย้อนกลับมาทางเซียวอวิ้นหยาง ทันทีที่กลับเข้าตำหนักก็ถูกภรรยาวิ่งเข้ามาสวมกอด “เป็นอย่างไรเพคะ ถูกฝ่าบาทลงโทษหรือไม่” ฟางถิงถิงร้อนรนถามหลังจากผละออกไป ทั้งยังมองสำรวจร่างกายของเซียวอวิ้นหยางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสีหน้ากังวล เซียวอวิ้นหยางยิ้มมองพระชายาสุดที่รัก ยื่นมือลูบเส้นผมนุ่มลื่นของนางพลางกล่าวว่า “ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง แค่ถูกฝ่าบาทตำหนินิดหน่อยเท่านั้นเอง” “แค่นั้นจริงๆ หรือเพคะ” “แค่นั้นจริงๆ” เซียวอวิ้นหยางย้ำ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังบอกเล่าเกี่ยวกับราชโองการให้นางฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องที่เซียวจื้ออี้ถูกถอดออกจากตำแหน่งรัชทายาท หลินซวงเอ๋อร์ถูกเนรเทศ และเสนาบดีหลินถูกพักงาน รวมถึงเรื่องที่เขาและนางจะต้องเดินทางกลับดินแดนซีโจวด้วยกัน เมื่อมองจากสีหน้าแล้วเห็นเซียวอวิ้นหยางไม่ได้โกหก ฟางถิงถิงจึงถอนใจด้วยความโล่งอก “จะอยู่เมืองหลวงหรือต่างแดนหม่อมฉันไม่คิดมากหรอกเพคะ แต่ที่สงสัย พระองค์ร่วมมือกับองค์ชายสามตั้งแต่เมื่อไร” “ที่แท้เจ้าก็ติดใจ
บทที่ 45คลี่คลาย (1) เพียงคืนเดียว วีรกรรมของเซียวออวิ้นหยางก็ดังมาถึงพระกรรณฝ่าบาท โดยเฉพาะฆ้องปากแตกอย่างเสนาบดีหลินจะอยู่เฉยได้หรือในเมื่อบุตรสาวของตนถูกกระทำเช่นนั้น เสนาบดีหลินรีบเข้าวังตั้งแต่เช้าตรู่ ใช้เรื่องที่หยางอ๋องกับองค์ชายสามรังแกบุญสาวของตนมาเรียกร้องหาความเป็นธรรม แน่นอนว่าเซียวอวิ้นหยางก็ถูกเรียกเข้าเฝ้าภายในตำหนักส่วนพระองค์เช่นเดียวกัน “คราวนี้เจ้าทำเกินไปแล้ว ถ้ารัชทายาทเจ็บตัวขึ้นมา เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ” “ไม่เจ็บตัวหรอกพ่ะย่ะค่ะ ตรงนั้นยังมีทหารตั้งสองนายคอยคุ้มกันรัชทายาท” “ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ภาพลักษณ์ที่รัชทายาทถูกจับมัด ร้องไห้ฟูมฟายถูกแพร่งพรายออกไปแล้ว คราวนี้เจ้าตัวจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ยังมีอีก คุณหนูหลินเองก็เสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย เจ้ารู้หรือไม่” “ฝ่าบาทคงลืมไปแล้วกระมัง ชื่อเสียงของหลินซวงเอ๋อร์เสื่อมเสียตั้งนานแล้ว ไม่ใช่ความผิดของกระหม่อมสักหน่อย” “แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ควรทำเช่นนี้...เฮ้อ!” ทันทีที่มาถึงตำหนักส่วนพระองค์ เซียวอวิ้นห
บทที่ 44มีแค้นต้องชำระ (2) “จับข้ามัดเนี่ยนะคือเล่นสนุก?” รัชทายาทถามหน้าตาขึงขัง “ถูกต้อง ข้าอยากลองเปลี่ยนจากผู้ล่าให้เป็นผู้ถูกล่าบ้าง” “เจ้าสาม เจ้ากล้าพูดกับข้าเช่นนี้รึ!?” รัชทายาทเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่องค์ชายสาม หากแต่ฝ่ายหลังกลับไม่มีท่าทีว่าจะหวาดกลัว ตรงข้าม องค์ชายสามยิ้มครึ้มใจแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน ทว่าน้ำเสียงกลับน่าขนลุกสุดๆ “เสด็จพี่รัชทายาท ข้าได้ยินมาว่าเสด็จอาของเราเก่งเรื่องล่าสัตว์ สมัยอยู่ที่ซีโจวแค่ผิวปากครั้งเดียว ฝูงหมาป่าละแวกใกล้ๆ ก็กรูกันเข้ามา ข้าอยากเห็นเสด็จอาควบคุมฝูงหมาป่ากับตาตัวเอง ท่านอยากเห็นหรือไม่” “มะ...หมายความว่ายังไง” “มาดูวิธีเรียกหมาป่าของเสด็จอากันดีกว่า ข้าอยากเห็น เสด็จพี่รัชทายาทก็ช่วยให้ความร่วมมือหน่อยเถอะ” เมื่อองค์ชายสามพูดจบ เสียงผิวปากยาวแหลมก็ดังขึ้นอย่างไม่มีการเตือนล่วงหน้า ก่อนเสียงเห่าหอนของฝูงหมาป่าจะดังตามหลัง รัชทายาทกับหลินซวงเอ๋อร์ที่ถูกมัดขยับไปไหนไม่ได้หวาดกลัวตัวสั่นเทิ้ม สักครู่ต
บทที่ 43มีแค้นต้องชำระ (1) ภายในกระโจม ฟางถิงถิงนั่งจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์โดยมีม่านเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวคอยบีบนวดไหล่ให้ “อือ...ม่านเอ๋อร์บีบนวดได้ดีที่สุด” “ขอบคุณเจ้าค่ะคุณหนู อ๊ะ ไม่สิๆ ขอบพระทัยเพคะพระชายา ว่าแต่ พระชายามีเรื่องอะไรสนุกๆ หรือเพคะ เห็นอมยิ้มตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” “ข้ายิ้มหรือ” ฟางถิงถิงถามพลางแตะหน้าตัวเอง ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังยิ้มอยู่ “พระชายายิ้มอยู่จริงๆ เพคะ” ม่านเอ๋อร์ย้ำ “อย่างนั้นหรือ” “เพคะ” เมื่อครู่นั้น ฟางถิงถิงกำลังคิดถึงเซียวอวิ้นหยาง และเรื่องสนุกๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจเพราะเหตุนี้นางจึงอารมณ์ดีจนเผลอยิ้มออกมาก็เป็นได้ ฟางถิงถิหันไปหยิบขนมชิ้นหนึ่งแล้วส่งให้กับม่านเอ๋อร์ “อะไรหรือเพคะ” ม่านเอ๋อร์ถามด้วยความใสซื่อ “วันนี้ข้าอารมณ์ดี อีกอย่าง ฝีมือการนวดของเจ้าก็พัฒนาขึ้น ข้าให้รางวัลน่ะ” “ขอบพระทัยเพคะ” ม่านเอ๋อร์ย่อกายทำความเคารพ ก่อนจะรับขนมจากเจ้านายด้วยสีหน้าเบิกบานแล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย ฟางถ
บทที่ 42เอาคืน ฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดทำให้ฟางถิงถิงถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ตอนได้สติและตื่นขึ้นมาร่างกายของนางจึงปวดระบมมากกว่าปกติ หนำซ้ำนางยังรู้สึกผิดต่อเซียวอวิ้นหยาง เขาช่วยเหลือนางครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่ช่วยบรรเทาความร้อนจากพิษกำหนัดก็ด้วย...คิดแล้วก็หันมองชายหนุ่มข้างกายด้วยสายตาหลงใหล “ขอบคุณ...สามี” นางกระซิบบอกเขาด้วยความซาบซึ้ง ดวงตาคู่งามยังคงจับจ้องใบหน้าคมสันของสามี ในมุมมองของเซียวอวิ้นหยาง ตั้งแต่ที่สัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคนกำลังจ้องมองตน สัญชาตญาณของนักล่าก็ตื่นตัว ทว่าคนที่กำลังจ้องมองเขาอยู่หาใช่คนอื่น หากเป็นฟางถิงถิง ชายาของเขาเอง ดังนั้นเขาจึงแกล้งหลับต่อไป ทว่าตอนที่ได้ยินนางเรียกเขาว่า 'สามี' วิญญาณนักล่าราวกับประทับลงร่าง ทันทีที่เปลือกตาของเขาเปิดขึ้น มือใหญ่ก็เอื้อมมือออกไปโอบกอดเอวบางแล้วดึงนางเข้ามาแนบอก ครั้นร่างนุ่มนิ่มแนบชิดหน้าอกแกร่ง เซียวอวิ้นหยางอดจะสูดหายใจลึกไม่ได้ แค่ได้กอดภรรยา ความปรารถนาก็พลอยจะตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ตรงข้ามกับฟางถิงถิง พอถูกโอ