"ฟ้าจะถล่มรึเปล่าเนี่ยฉันได้เห็นหน้าลูกชายตัวเอง"
"โธ่ แม่ครับผมแค่มาขอกินข้าวเช้าด้วยนี่ถึงกับฟ้าถล่มเลยเหรอครับ" อวัศย์ทำเสียงอ่อยเอ่ยแกล้งมารดาตนเองที่พูดกระทบมาตั้งแต่เดินเข้ามาห้องอาหาร
"ใครจะไปรู้ร้อยวันพันปีแกเคยโผล่มาที่ไหนบ้านก็อยู่ตรงข้ามแค่ถนนเล็กๆ คั่นไว้ แต่ฉันแทบไม่เคยเห็นหน้าแก" รัชนียังอดบ่นลูกชายไม่ได้ จะไม่ให้โมโหได้ยังไงหมู่บ้านก็หมู่บ้านเดียวกัน บ้านที่เธออยู่กับลูกสาวก็อยู่ตรงข้ามกับลูกชายคนเล็ก แต่แทบไม่เคยเห็นหน้ากัน
"ถึงไม่เห็นหน้าผมก็ยังหลอกผมออกไปกินข้าวกับลูกสาวเพื่อนได้นะครับ" รัชนีมองค้อนกลับไปทันทียิ่งพูดถึงเรื่องนี้ยิ่งโมโห
"แกไม่ต้องห่วงไปหรอก ตอนนี้ถ้าฉันจะไปงานเลี้ยงไหนเพื่อนๆ ก็รีบพาลูกสาวหนีหน้ากันหมด คงเพราะกลัวจะจับคู่ให้แกนี่แหละ"
"ก็ผมบอกแล้วไงครับว่าจะหาเอง" อวัศย์รีบเอ่ยถึงสิ่งที่เคยเสนอมารดาไปตั้งนานแล้ว แอบลอบยิ้มในสิ่งที่มารดาบ่น แปลว่าที่เขาคอยหลบหลีก หรือแกล้งคุยกับลูกสาวเพื่อนแม่แต่เรื่องงาน ผิดนัดบ่อยๆ มันประสบความสำเร็จ อย่างน้อยแม่ก็คงเลิกจับคู่ให้เขาไปสักพัก
"ให้แกหาเองกว่าฉันจะได้เจอหน้าลูกแก ถึงตอนนั้นฉันไม่หูตาฝ้าฟางหมดแล้วรึไง" รัชนีอดบ่นไม่ได้เมื่อลูกชายไม่มีท่าทีว่าจะมีแฟนสักที เอาจริงๆ ก็นับตั้งแต่เลิกกับแฟนที่คบกันตอนเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน เธอก็แทบไม่เคยเห็นลูกชายมีความรักอีกเลย
"คุณแม่ยังสาวยังสวยขนาดนี้จะมาหูตาฝ้าฟางอะไร" อวัศย์ยังไม่วายหยอกล้อคนเป็นแม่ด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจ
"อะไรกันคะพี่หมอก มาถึงก็มาอ้อนคุณแม่แต่เช้า มาทวงตำแหน่งลูกรักเหรอคะ" พระพายเอ่ยแซวขึ้นพลางจัดอาหารเช้าบนโต๊ะ ชำเลืองมองพี่ชายตนเองที่เข้ามาออดอ้อนคนเป็นแม่ก็อดหมั่นไส้พี่ชายตนเองไม่ได้ ชอบหายตัวไปนานๆ รวมถึงชอบเทนัดลูกสาวเพื่อนแม่ พอทิ้งช่วงไปก็กลับมาออดอ้อนเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเดี๋ยวคุณนายรัชนีก็หายโกรธ
"พะแพงล่ะ" อวัศย์เอ่ยปากถามหาหลานสาวทันทีเมื่อเห็นเพียงน้องสาวเดินมาคนเดียว
"พี่โอมแต่งตัวให้อยู่ค่ะเดี๋ยวก็ลงมาแล้ว นั่นไง พะแพงอย่าวิ่งลงบันไดลูก!" พระพายเอ่ยตอบพี่ชายก่อนหันไปตะโกนดุลูกสาวตนเองที่วิ่งลงบันไดมา "แม่บอกกี่ทีแล้วเวลาลงบันไดให้เดินดีๆ อย่าวิ่ง"
"ก็คุณพ่อวิ่งตามหนูนี่คะ ลุงหมอกกกก" เด็กหญิงตัวน้อยหันไปตอบผู้เป็นแม่ก่อนจะไปกระโดดกอดผู้เป็นลุงทันที" หนูคิดถึงลุงหมอกจังเลยยย" ก่อนจะซบอกออดอ้อนไม่หยุด
"ลุงหมอกก็คิดถึงพะแพงตัวน้อย ไหนมาให้ลุงหอมหน่อย" ว่าจบคนเป็นลุงเป็นหลานก็ผลัดกันหอมกันกอดจนคนเป็นพ่อเป็นแม่อดหมั่นไส้ไม่ได้
"ลุงหมอกไปไหนมาคะ คุณยายชอบบอกว่าบ้านคุณลุงก็อยู่แค่ตรงข้ามแต่ไม่เคยกลับบ้าน" เด็กหญิงตัวน้อยถามตาแป๋ว
"ลุงก็ทำงานสิคะต้องนอนที่โรงพยาบาล" อวัศย์อธิบายให้หลานสาวตนเองฟัง แต่ไม่วายได้ยินเสียงคนเป็นแม่ส่งเสียงในลำคอตามหลัง" แต่คราวหลังพระพายต้องห้ามวิ่งลงบันไดแล้วนะคะไม่อย่างนั้นถ้าตกบันไดขึ้นมาจะต้องไปหาหมอ" หมอหมอกบอกหลานสาวตนเองเพราะเขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกัน
"ก็ดีสิคะไปหาหมอพะแพงจะได้อยู่กับลุงหมอก"
"ถ้าหนูตกลงมาจะไม่ได้อยู่กับลุงน่ะสิ จะได้อยู่กับลุงพีร์" เพียงได้ยินชื่อหลานสาวตัวน้อยก็หน้าเบะทันที
"ไม่เอาค่ะทำไมพะแพงต้องอยู่กับลุงพีร์ด้วย พะแพงกลัว ลุงพีร์ไม่ชอบยิ้ม"
"เพราะลุงพีร์เป็นหมอกระดูกแล้วถ้าไม่อยากไปหาลุงพีร์หนูก็ต้องห้ามวิ่งลงบันไดอีกเข้าใจไหมคะ" หมอหมอกถือโอกาสสอนหลานสาวตนเองโดยเอาเพื่อนมาขู่
"เข้าใจค่ะหนูจะไม่วิ่งลงบันไดแล้ว"
"ถ้าอย่างนั้นก็มาวางกระเป๋าแล้วทานข้าวเช้าได้แล้วค่ะ เดี๋ยวรถติดจะสายอีก" เมื่อเห็นลูกสาวตัวน้อยกับพี่ชายตนเองตกลงกันได้แล้วพระพายจึงรีบบอกให้ลูกสาวตนเองมานั่งประจำที่ทันที
"ช่วงนี้เคสเยอะเหรอครับพี่หมอก"วีรยุทธเอ่ยชวนพี่เขยตนเองคุยระหว่างที่ภรรยากำลังเตรียมอาหารให้ลูกสาว
"ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ขี้เกียจกลับบ้าน"เมื่อพี่เขยพูดแบบนั้นวีรยุทธพยักหน้าเข้าใจทันที พลางชำเลืองมองแม่ยายที่กำลังเดินเข้ามา พอจะได้ยินมาอยู่ว่าช่วงนี้คุณแม่ยายของเขาพยายามหาคู่ให้อวัศย์เป็นพิเศษ เรียกได้ว่ามีรูปและประวัติของลูกสาวเพื่อนเป็นแค็ตตาล็อกก็ว่าได้ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่
"เอ้อ พระพายวันนี้ช่วงบ่ายเอาซุปไก่ที่ได้มาไปฝากหนูชาเขาหน่อยนะ จะได้ให้ใบข้าวทานด้วย" รัชนีเอ่ยเตือนลูกสาวตนเองให้แบ่งซุปไก่ที่ตนทำไว้ไปฝากคนข้างบ้าน
"หืม เดี๋ยวนี้บ้านข้างๆ มีคนมาอยู่แล้วเหรอครับ" อวัศย์อดแปลกใจไม่ได้เมื่อรู้ข่าวว่าบ้านข้างๆ มีคนมาอยู่ ความจริงเขาพอจะรู้มาบ้างว่ามีคนซื้อทิ้งไว้ แต่ไม่เคยมีใครเข้ามาอยู่ แต่จะมีส่งแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกเดือนบ้างให้บ้านไม่รกร้าง
"แกคงจะรู้เรื่องอยู่หรอก เล่นหายไปเป็นเดือนๆ ขนาดนั้น" คนเป็นแม่ยังไม่วายเหน็บแนมลูกชาย
"ไม่ถึงสักหน่อยครับแม่แค่เกือบๆ" หมอหมอกเย้าแหย่ตอบ
"หึ เขามาอยู่ได้สองอาทิตย์แล้ว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสาวอายุเท่าพะแพงเลย เห็นว่าอยู่โรงเรียนเดียวกันด้วยใช่ไหมพะแพงหลานยาย" จากน้ำเสียงห้วนๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานทันทีตอนหันไปคุยกับหลานสาว
"ใช่ค่ะคุณยายใบข้าวเป็นเพื่อนพะแพง ใบข้าวเรียนเก่งด้วย" พะแพงอวดเพื่อนให้คุณยายฟัง
"ก็ดีนะครับพระพายจะได้ไม่เหงาด้วยมีเพื่อนคุย" หมอหมอกออกความคิดเห็น
"เพื่อนคุยอะไรคะพี่หมอก เขาก็ต้องทำงานกลับเย็นๆ บางทีก็ค่ำๆ เหมือนจะมีจ้างแม่บ้านคอยอยู่เป็นเพื่อนหลังเลิกเรียน นี่พระพายว่าจะไปคุยกับน้องชาอยู่ค่ะคุณแม่ว่าให้เรารับใบข้าวกลับมาด้วยดีไหม ป้าแก้วจะได้ไม่ต้องออกไปรับ ยังไงก็ทางเดียวกัน" พระพายเสนอขึ้นพลางหันไปถามความคิดเห็นมารดา
"ก็ดีนะลูก ช่วยเหลือกัน เลี้ยงลูกคนเดียวคงจะเหนื่อยแย่ แม่เห็นแล้วก็สงสาร หนูชาน่ารัก นิสัยดี" รัชนีอดที่จะชื่นชมไม่ได้เมื่อเคยได้คุยได้สัมผัสคนข้างบ้านมาบ้าง ยิ่งครั้งแรกที่เจอกันเป็นตอนที่เธอออกไปเดินตลาดใหญ่ข้างๆ หมู่บ้าน ตั้งใจอยากหาซื้อของสดๆ มาทำให้หลานสาวกิน ระหว่างที่ให้แม่บ้านแยกไปซื้อของทะเล เธอก็เดินดูผักไปพลางๆ แต่กลับเจอคนเข็นรถเข็นส่งของในตลาดพุ่งมาด้วยความเร็ว ไม่สนว่าใครจะยืนอยู่ ปากบอกแต่ถอยๆๆๆ แต่ไม่ให้เวลาคนที่ยืนอยู่หลบได้ทัน เธอที่ใกล้จะเสียหลักล้มไปอยู่แล้ว มีมืออุ่นๆ ของหญิงสาวประคองกอดไว้ฉุดเธอให้ออกจากบริเวณตรงนั้น ก่อนจะพาเธอมาหาที่นั่งร่มๆ พักระหว่างรอแม่บ้าน ตอนนั้นเธอก็ประทับใจอยู่แล้ว ด้วยหน้าตาสะสวยกิริยางดงาม พอได้รู้ว่ามาอยู่บ้านติดกันยิ่งถูกใจ
"โอ้โห คุณแม่ชมขนาดนี้เอามาเป็นลูกสะใภ้ไหมครับ ได้มีหลานอีกคนสมใจอยากด้วย" อวัศย์อดแซวไม่ได้
"แกอย่ามาพูดเล่นนะ คนนี้ฉันเชียร์นะ ถ้าเป็นคนนี้ฉันโอเค" รัชนีรีบหันไปตอบลูกชายสายตามีประกายบางอย่างจนคนเป็นลูกอดเสียวสันหลังไม่ได้ ถึงแม้สาวข้างบ้านจะมีลูกติดมาก่อน รัชนีก็ไม่เคยนึกรังเกียจ และมั่นใจว่าลูกชายเธอก็ไม่รังเกียจแน่นอน เธอรู้ดีว่าลูกชายตนเองเป็นคนยังไง เพราะฉะนั้นเรื่องแค่นี้ไม่สามารถลดทอนคุณค่าของคนได้แน่นอน
"ถึงขั้นคุณนายรัชนีออกปากเองแบบนี้ชักอยากจะเห็นแล้วล่ะสิ" อวัศย์ยังไม่วายเอ่ยแซวต่อ ส่วนคนเป็นแม่นั่งครุ่นคิดมองหน้าลูกชายที่ตักข้าวต้มรับประทานอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว มีเพียงวีรยุทธและพระพายที่ลอบมองหน้ากันใบหน้าเจื่อน มีลางสังหรณ์ว่าคุณแม่เธอจะมีแผนการบางอย่าง
"หืม ใกล้ถึงแล้วเหรอหมอก" ปภาวรินทร์เปิดกระจกมองทิวทัศน์ด้านนอกที่คุ้นตา ภาพใบชาที่เรียงรายสุดลูกหูลูกตาทำให้เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ภาพบรรยากาศตอนที่เคยอยู่ที่แห่งนี้วนกลับเข้ามาในความคิดคิดถึงยาย คิดถึงพี่ใบบัวตอนนี้ทั้งสองคนก็คงได้เจอกันแล้ว และคงมองเธออยู่บนฟ้า ใบชาเงยหน้ามองท้องฟ้ากว้างที่สดใส ส่งยิ้มให้คนที่มองลงมาตอนนี้ชามีความสุขมากเลยยาย แล้วก็พี่บัว...ตอนนี้คนที่ชารักเขาอยู่ข้างๆ แล้วนะ ยินดีกับชาด้วยนะ"นอนต่อก่อนก็ได้ อีกสักพักอยู่เหมือนกัน เห็นลมบอกว่ากำลังปรับปรุงทางเข้าหลัก หมอกเลยอ้อมไปอีกทาง" อวัศย์เอ่ยบอกแฟนสาว ก่อนจะเอื้อมมือมากอบกุมมือเล็กปภาวรินทร์ปิดหน้าต่างรถก่อนจะเอนตัวลงซบไหล่คนข้างๆ สูดความหอมจากกลิ่นกายคนร่างสูง"เปี๊ยกหื่น" "หมอก!" เธอเงยหน้าแหวเขาทันที ทุบไหล่กว้างไปสองสามที"ฮ่าๆๆ น่ารักออกยัยเปี๊ยก" ตั้งแต่เขารู้เรื่องวันนั้น สรรพนามใหม่ของเธอก็คือยัยเปี๊ยก ซึ่งเธอเพียรปฏิเสธยังไง เขาก็ดึงดันจะเรียกชื่อนี้ จนสุดท้ายเธอได้แต่เลิกบ่น ยอมๆ ให้เขาเรียก เอาตามที่เขาสบายใจ"ขอโทษนะหมอก ชาไม่ได้อยู่คุยด้วยเลย" เรียกได้ว่าเธอหลับตั้งแต่ยังไม่ครึ่งทางก็ว่าได้วั
"หมอก" ใบชาเอ่ยเรียกคนรักเมื่อเห็นเขาแน่นิ่งไป หลังจากเล่าให้เขาฟังถึงที่มารูปพวกนี้ "หมอกเป็นอะไรรึเปล่า" เขาละสายตาจากรูปภาพที่วางเรียงกันอยู่ เงยหน้าสบตาเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"ใบชา...""หมอกโกรธเหรอ" ปภาวรินทร์ถามอย่างไม่แน่ใจ กลัวเขาจะโกรธที่ปิดบังมาตลอด เขาไม่ตอบแต่ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน เขาโอบกอดเธออย่างแนบแน่น เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นเธอจึงเอื้อมมือไปโอบกอดแผ่นหลังของชายหนุ่มลูบขึ้นลงอย่างแผ่วเบา"หมอกขอโทษนะชา..ขอโทษจริงๆ" เสียงเขาสั่นเครือ เอ่ยขอโทษซ้ำไปซ้ำมาอย่างรู้สึกผิด"อะไรกันหมอก เป็นอะไร?" ใบชามึนงง ทำท่าจะผละตัวเขาออก แต่คนร่างสูงไม่ยอม ยังคงโอบกอดเธออย่างแนบแน่น"ขอโทษนะ ที่ลืมชา ขอโทษที่ปล่อยให้ชาต้องยืนมองตรงนั้นอยู่คนเดียว""เฮ้ยหมอก! อย่าพูดแบบนั้นสิ ไม่เกี่ยวกันเลย ชาไม่ได้เป็นอะไร" ยิ่งได้รับคำปลอบโยนว่าไม่เป็นไร ความรู้สึกผิดในใจก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น"ทำไมล่ะชา ทำไมไม่มาหาหมอก" อวัศย์ยังคงเสียงสั่นอย่างไม่เข้าใจ ในเมื่อเราอยู่ห่างกันแค่นั้นแท้ๆ เราอยู่ในไร่ชาเดียวกันแท้ๆ แต่เธอกับเขากลับไม่มีโอกาสได้เจอกันชื่อใบชา ใกล้ตัวจริงๆ ด้วย"ก็ยายบอกไม่ให้ทัก ไม่อยาก
"หมอก" ใบชาเอ่ยเรียกคนรักเมื่อเห็นเขายืนนิ่งอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ในขณะที่เธอเดินเข้าไปใกล้อย่างงุนงงว่าทำไมเรียกแล้วเขาไม่ตอบ เมื่อเธอเดินเข้าไปถึงตัวเขาเห็นคนตัวสูงก้มมองสิ่งของในมือก็เบิกตากว้างตกใจ เอื้อมมือไปคว้าสิ่งที่อยู่ในมือคนรักทันที "ดูอะไร!""นี่มันอะไรอะชา หมอกงงไปหมดแล้ว" เขาชูรูปใบสุดท้ายที่เธอดึงไปไม่หมด โชว์ให้คนรักดู ประมวลผลความคิด ถึงประโยคในรูปนั้น"ไม่มีอะไร.." รู้ว่าเป็นประโยคที่โง่มากแต่ใบชาก็เลือกตอบแบบนั้น ก็ไม่รู้จะตอบเขายังไง"ทำไมชามีรูปหมอกเต็มไปหมดเลย" เขาเปิดประเด็นถาม ขมวดคิ้วมึนงงปภาวรินทร์ถอนหายใจยาวในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วเธอจึงตัดสินใจจะทบทวนความจำให้เขา หญิงสาวเดินไปกุมมือคนรักมานั่งที่ปลายเตียง กางรูปทั้งหมดออกให้เขาดู"อย่างที่หมอกเห็นเลย ชารู้จักหมอกมานานมากแล้ว""ได้ไง.." เขาตอบกลับเหมือนคนละเมอ ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ใบชาหัวเราะน้อยๆ กับท่าทางของเขา "ไม่ต้องมาหัวเราะเลยชา เรื่องมันยังไงกันแน่" อวัศย์ท้วงเสียงเข้ม"หมอกจำชาไม่ได้จริงๆ เหรอ" ใบชาจ้องมองสบตาคนรักนิ่ง ในขณะที่อวัศย์เพ่งมองใบหน้าเธออย่างครุ่นคิด "ยัยเปี๊ยกไง" เมื่อเธอพูดจบเขานิ
"เดจาวู เดจาวูชัดๆ" "อะไรเฮีย บ่นอะไร" เหนือนทีถามพี่ชายเมื่อเขาบ่นพึมพำอะไรสักอย่าง "ก็นี่ไง ทำไมกูรู้สึกเหมือนเดจาวูเลยที่ต้องพามึงกับเฮียมานั่งเฝ้าเมียนี่ไง""แต่คราวนี้ก็มีเมียเฮียด้วยไม่ใช่รึไง""จะบ่นทำไม มึงกลับไปก็ได้นะปล่อยให้ซอลอยู่นี่แหละ ใครจะเข้ามาจีบก็แล้วแต่" น่านนทีบ่นน้องชาย แสร้งทำเป็นขู่ ซึ่งก็ได้ผลเมื่อน้องชายตาลุกวาวทันที"ไอ้มาเฝ้าน่ะเข้าใจ แล้วนี่เอามาด้วยทำไม" เขาเพยิดหน้าไปยังคุณหมอหนุ่มที่กำลังไถหน้าจอดูรูปแฟนสาวในโทรศัพท์อยู่ ก่อนจะเงยหน้ามองคนมีประเด็นแล้วก้มหน้าดูหน้าจอต่อไม่สนใจ"เอาหน่าเฮีย ให้หมอหมอกมาด้วยนั่นแหละ เดี๋ยวถ้าสาวๆ เมาจะได้แยกรับกลับได้เลยไง" เหนือนทีออกความเห็นวันนี้เป็นวันที่ซอลจัดงานเลี้ยงสละโสดเล็กๆ ก่อนแต่งงาน ซึ่งจะมีเฉพาะคนสนิท ที่โซนวีไอพีผับนี้ และจะมีแค่สาวๆ เท่านั้น ทีแรกซอลตั้งใจจะเปิดห้องนอนที่โรงแรมข้างๆ ซึ่งหนาวนทีรีบค้านไม่เห็นด้วย และมีพลังเสียงของพี่น้องช่วยพูด วันนี้สาวๆ เลยต้องกลับไปนอนบ้านเหมือนเดิม ซึ่งเป็นโชคดีของเขา ไม่ต้องออกปากอะไร ก็มีคนพูดแทนให้แล้วความจริงเขาก็เซ็งไม่น้อยที่ต้องปล่อยให้เธอไปเที่ยวตอนกลางคืน
"นี่พวกแกพูดบ้าอะไรกันเนี่ย!" วารุณีตะโกนสุดเสียง ไม่คิดว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีจะกล้าเปิดตัวแบบนี้มันผิดแผนไปหมดความจริงเธอตั้งใจมาเพื่อเรียกคะแนนความสงสารแต่บทสรุปทำไมกลับกลายเป็นว่าเธอโดนแฉ และคนตรงหน้าเปิดเผยในสิ่งที่เธอไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูด"พูดความจริงไงวา ความจริงที่พี่บอกวามาโดยตลอด แต่วาไม่เคยฟัง" ดาราสาวชี้หน้าทั้งสองคนน้ำตาคลอด้วยความเจ็บใจ"พวกแกมันพวกผิดเพศ ทุเรศ คิดเหรอว่าจะมีใครให้โอกาสพวกแก""พี่ไม่รู้หรอกนะว่าใครจะให้โอกาสไหม แต่วาหมดโอกาสแล้วล่ะ" "หมายความว่าไง!!" วารุณีเงยหน้ามองคนพูดด้วยสีหน้าหวาดระแวง แววตาหวั่นวิตก"แล้วทำอะไรไว้ล่ะ" อธิปพูดจบนักข่าวหลายคนก็ฮือฮาขึ้นมาทันที เมื่ออยู่ๆ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินเข้ามา วารุณีถอยหลังผงะตกใจ"พะ.พวกแกมาทำอะไร!""ขออนุญาตนะครับ คุณชื่อวารุณีถูกต้องไหมครับ" "ทำไม!" เธอตวาดคนในเครื่องแบบเสียงดัง "อย่าเข้ามานะ!""ขอเชิญคุณวารุณีไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยครับ คุณตกเป็นผู้สงสัยในการจ้างวานฆ่าเด็กหญิงประทานพร" นับว่านี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจที่สุดในวันนี้ นักข่าวทุกสำนักยกกล้องถ่ายวิดีโอตรงหน้า ในขณะที่อีกหลายคนกรูเข้ามาเพื่อส
ปภาวรินทร์นั่งมองบรรยากาศโดยรอบในห้องบอลรูมขนาดใหญ่ ส่วนมากจะเป็นนักข่าวที่นั่งจับจองพื้นที่อยู่เต็มบริเวณด้านหน้าเวทีชั่วคราวขนาดกลาง ส่วนเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่จัดไว้ให้ มีนักข่าวหลายคนสังเกตเห็นเธอ ทำท่าจะเข้ามาเพื่อขอสัมภาษณ์ แต่โดนสายตาดุของคนข้างๆ ห้ามไว้ก่อน ส่วนใหญ่จึงได้แต่เมียงมองมาทางเธอ แต่ไม่กล้าเข้ามาถึงแม่อธิปจะยืนยันไปก่อนหน้าแล้วว่าใบข้าวเป็นลูกของเขา ส่วนเธอไม่ใช่แม่ แต่ก็มีกระแสด้านลบไม่น้อยที่บอกว่าเป็นเพียงข้ออ้าง เธอคือเมียน้อย เมื่อนักข่าวเห็นเหยื่ออันโอชะ ก็ไม่พลาดที่จะอยากเข้ามาทำข่าว แต่ความอยากก็ย่อมแพ้อิทธิพลของทายาทเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง เมื่อคิดแล้วว่าหากมีเรื่องกับเขาคงไม่คุ้มกัน เลยเลือกที่จะล่าถอยมากกว่าจะชนเมื่อถึงเวลาที่นัดหมายพอดิบพอดี อธิปจึงก้าวออกมาจากประตูด้านหลังเวที เขากวาดสายตามองรอบๆ ก่อนจะหยุดที่เธอ ปภาวรินทร์ส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินมานั่งยังพื้นที่ที่ถูกจัดไว้ให้"สวัสดีครับพี่ๆ นักข่าวทุกท่าน ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมางานแถลงข่าวของผม และก็ขอบคุณที่ทุกท่านจะใช้พื้นที่สื่อของตัวเองสื่อสาร
"ใบข้าวหลับไปแล้วเหรอ" อวัศย์ถามแฟนสาวเมื่อขึ้นมาจากการส่งมารดา พอเข้ามาในห้องเห็นคนตัวเล็กออกมายืนอยู่ห้องรับครัวด้านนอก ปอกผลไม้ที่คุณแม่เขานำมาเยี่ยมไข้อยู่"ค่ะ ยิ่งวันนี้มีพะแพงมาคุยด้วยจ้อกันไม่หยุดเลย" อวัศย์หัวเราะน้อยๆ เดินเข้ามากอดแฟนสาวจากทางด้านหลัง "หมอกอย่าเพิ่งสิเดี๋ยวมีดบาด" คนตัวสูงที่ลอบหอมแก้มคนรักไปได้แค่สองทีจึงผละตัวออกหน้ามุ่ยเมื่อโดนว่า"ก็คิดถึงนี่""คิดถึงอะไรหมอก ก็อยู่ด้วยกันตลอด" นี่ก็วันที่สามแล้วหลังจากเกิดเหตุ อาการของใบข้าวดีขึ้นมาก ทีแรกเขาจะทำเรื่องย้ายใบข้าวไปยังโรงพยาบาลของตนเอง แต่เมื่อดูอาการแล้วอีกไม่เกินสองวันน่าจะได้ออกจากโรงพยาบาล เธอเลยให้ใบข้าวรักษาตัวที่นี่ต่อไป ไม่อยากย้ายไปย้ายมาให้วุ่นวายแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นเรื่องใหญ่โตอยู่ดี เมื่อคุณรัชนีเดินทางมาเยี่ยมใบข้าว พบว่าหลานสาวตนเองได้นอนพักอยู่ห้องพิเศษขนาดเล็ก จึงรีบจัดการโทรหาผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่รู้จักกัน ขอให้ทางโรงพยาบาลจัดห้องพิเศษแบบวีวีไอพี แล้วให้ใบข้าวย้ายขึ้นมาอยู่บนห้องด้านบนนี้แทน ซึ่งเธอชักไม่แน่ใจว่านี่คือห้องพักผู้ป่วยหรือโรงแรม ความจริงคุณรัชนีมาตั้งแต่วันแรกที่ทางโ
"ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องเล่าแล้วชา" มือที่กอบกุมกันอยู่สั่นน้อยๆ อวัศย์บีบมือเธอให้กำลังใจ แค่ได้รับฟังหัวใจก็เจ็บปวดไปด้วย ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเป็นเขาจะแบกรับสถานการณ์แบบนั้นไหวไหม"ไม่เป็นไรค่ะ ชาผ่านมันไปได้แล้ว แค่ย้อนคิดมันก็อดเศร้าไม่ได้เท่านั้นเอง" เธอเงยหน้าขึ้นกลั้นน้ำตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยกยิ้มน้อยๆ ให้เขา พยักหน้าเบาๆ เพื่อบอกว่าเธอโอเค ก่อนจะเริ่มเล่าต่อตอนนั้นเธอแค่คิดอย่างเดียวว่าอยากตามพี่สาวไป อยากไปอยู่กับยาย ชีวิตมันเหมือนไม่เหลือใครแล้ว จนเด็กน้อยที่เธอจับวางให้นอนอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินตื่นขึ้น ใบข้าวขยี้ตามองเธอตาแป๋วด้วยความไม่รู้เรื่องกับเหตุการณ์อะไร แต่เมื่อเห็นผู้เป็นแม่คนที่สองร้องไห้จึงขยับไปโอบกอดตามสัญชาตญาณ ปภาวรินทร์ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มโดยกลั้นเสียงสะอื้น โอบกอดร่างน้อยๆ ในอ้อมแขนแน่น ในเมื่อพี่สาวเธอทำทุกอย่างเพื่อปกป้องดวงใจคนนี้ เธอจะทำลายความตั้งใจของพี่ใบบัวได้ยังไง คืนนั้นเธอจึงกอบกุมมือน้อยๆ นั้น สัญญากับตัวเองและคนที่อยู่บนฟ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอจะรัก และดูแลเด็กคนนี้ ให้โตมาอย่างดีที่สุด เท่าที่เธอจะทำได้ ให้คนเป็นแม่ได้นอนตายตาหลับเมื่อเ
"หมอก..ไปนอนกับชาไหม" คนที่กำลังขยับรถเข้าช่องจอดเหยียบเบรกทันทีด้วยความตกใจที่คนรักชวนให้ไปนอนด้วย ถึงแม้พวกเขาจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมาแล้ว แต่การที่เธอเอ่ยชวนก่อนแบบนี้ก็ทำเอาเขาตกใจไม่น้อย"คิดอะไรเนี่ยหมอก! ชาแค่ชวนไปนอนด้วยเฉยๆ" ปภาวรินทร์ถามคนรักหน้าคว่ำ พอจะเดาไม่ยากว่าเขาคงคิดอะไรที่ไม่ดีขนาดเกิดเรื่องขนาดนี้ยังคิดอะไรหื่นๆ ไม่เลิก"ไม่ได้คิดอะไรแค่ตกใจเฉยๆ อยู่ดีๆ ก็มีผู้หญิงชวนไปนอนด้วย" อวัศย์แสร้งหยอกล้อกลับ ถึงแม้ในใจจะแอบคิดจริงๆ นั่นแหละ"หมอกจะอาบน้ำที่บ้านแล้วค่อยเข้าไป หรือจะไปอาบน้ำที่บ้านชาเลยคะ""เดี๋ยวผมเตรียมเสื้อผ้าไปอาบที่นู่นเลย" ในเมื่อเธอให้ข้อเสนอมาเขาก็ไม่ขัดอยู่แล้วเมื่อได้ข้อสรุปปภาวรินทร์จึงหยิบกุญแจสำรองที่พกติดกระเป๋าไว้ยื่นให้เขา ความจริงตั้งใจจะให้แฟนหนุ่มเก็บไว้อยู่แล้วแหละ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินอะไรตอนเธอไม่อยู่ ถือว่าใช้โอกาสนี้เลยแล้วกัน"นี่ค่ะ หมอกเก็บไว้เลยนะ""หืม""กุญแจสำรองค่ะ ชาให้หมอกเก็บไว้เลยชุดนึง""ครับ" เขารีบคว้าเอากุญแจเก็บใส่กระเป๋าทันที ราวกับกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจปภาวรินทร์เดินลงจากรถก่อนจะเดินไปเปิดประตูบ้านตนเอง ในขณะที่ค