“เซี่ยเว่ยหลง…จริงๆ ข้าเสียดายไม่น้อย” น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาแฝงความเหนื่อยล้าเอาไว้อย่างชันเจน ไป๋เสี่ยวหรันลอบหายใจเฮือกหนึ่งคล้ายกลับกำลังอดกลั้นอารมณ์ที่ปะทุขึ้นคับแน่นอยู่ในอก
“ไป๋เสี่ยวหรัน…” เซี่ยเว่ยหลงส่ายหน้าไปมาปฏิเสธ เขาไม่ต้องการได้ยินถ้อยคำใดจากนางอีกแล้ว ฝ่ามือหนาคว้ามือของนางมากอบกุมไว้แน่นราวกับหวาดกลัวว่าสตรีตรงหน้าจะเลือนรางและหายจากไปตลอดกาล ท่าทางของเขาในยามนี้ไม่ต่างจากกำลังวิงวอนรั้งนางเอาไว้ สายตาคมกริบที่เคยแข็งกร้าวกลับอ่อนลงอย่างชัดเจน หากเป็นในยามปกติไป๋เสี่ยวหรันคงเผลอใจและหลงเชื่อในคำพูดของเขาแน่ แต่ยามนี้...บุรุษตรงหน้าเมามายอยู่มาก ใบหน้าหล่อเหล่าแดงก่ำจากฤทธิ์สุราทั้งยังมีกลิ่นฉุนโชยอยู่รอบกาย ไป๋เสี่ยวหรันไม่ดึงมือกลับ นางเพียงยืนนิ่งคล้ายกำลังตั้งสติ ภายในใจกลับสั่นไหวอยากเกินจะควบคุม คำพูดของเซี่ยเว่ยในยามนี้ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น…มีหรือหทกเขามีสตรีดีจะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมา! ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มบางๆ สะท้อนแสงจันทราที่สะท้อนสาดส่องลงมาอย่างเย็นชา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของนางว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใดๆ “ทว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่…ฝืนดันทุรังไปก็เท่านั้น” ไป๋เสี่ยวหรันกล่าวเสียงแผ่วเบาทว่ากลับชัดทุกถ้อยคำ แท้จริงแล้ว...ไม่ใช่เพราะเส้นด้ายแดงระหว่างเขากับนางขาดสะบั้นลงหากแต่...ไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก “…” เซี่ยเว่ยหลงนิ่งไปครู่หนึ่ง ฝ่ามือหนาที่กอบกุมนางไว้ค่อยๆ บีบรัดแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว หมายความว่าอย่างไรกัน…? เขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่งามอีกครั้งและสิ่งที่เห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่า ไร้ซึ่งความผูกพันหรือความเกียจชัง จู่ๆ เซี่ยเว่ยหลงพลางหัวเราะร่อออกราวกับเป็นเรื่องตลกน่าขัน “หึ! หากไม่มีข้าแล้วจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไรกันไป๋เสี่ยวหรัน” นางยืมเขาหายใจงั้นหรือ…!? ไม่เลย เขาก็ยังเป็นเขาทั้งเย่อหยิ่งและแข็งกระด้างไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย! ไป๋เสี่ยวหรันสะบัดมือออกจากพันธะนั้นทันที แววตาสงบนิ่งแต่แน่วแน่อย่างเย็นยะเยือก “ในวันที่ข้าโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง…ยามนั้นท่านอยู่ที่ใด...เซี่ยเว่ยหลง?” “…” เซี่ยเว่ยหลงพูดไม่ออกมา เมื่อได้ยินถ้อยคำเมื่อครู่ราวกับว่ามีหินก้อนใหญ่กระแทกเข้ากลางอกเต็มๆ พลันทำเอาจุกจนพูดไม่ออกมา “ไม่เคยเลย...แม้แต่เพียงครั้งเดียว!” ดวงตาคู่งามของนางเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำสีใส น้ำเสียงหวานสั่นเครือเต็มไปด้วยความน้อยใจและเจือด้วยโทสะพร้อมกับความเจ็บปวดตลอดสามปีที่ผ่านมา “แม้แต่ในวันที่ข้ากำลังยืนอยู่ริมหน้าผา...ก็ยังเป็นท่าน! ที่ผลักข้าตกลงไปต่างหาก!” ความรู้สึกที่สะสมมาตลอดหลายปี...นางไม่อาจเก็บมันไว้ผู้เดียวได้อีกแล้ว ที่ผ่านมานางอดทนไม่ปริปากเอ่ยหรือร้องขอสิ่งใดเพียงเพราะคิดว่าสักวันเขาย่อมมองเห็นความสำคัญของนางบ้างแต่ทว่า ไม่เลย…บุรุษผู้นี้เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะสนใจผู้ใดได้นอกจากตนเอง “ข้า…” กลับเป็นเซี่ยเว่ยหลงที่อ้ำอึ้งจะพูดไม่ออก เขาได้แต่จ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บปวด เห็นนางเจ็บปวดไปด้วยอารมณ์ที่ท่วมท้นก่อนจะหลั่งน้ำตาออกมาราวกับสายฝนกระหน่ำตกหนัก หัวใจของเขา...บีบแน่นจนปวดหนึบอยู่ไม่น้อย!? เมื่อความรักที่ลึกซึ้งเปรียบดั่งดอกเหมยเบ่งบานอย่างงดงาม หากแต่พอรู้ตัวอีกที...กลับร่วงหล่นจากมือเสียแล้ว ไม่อาจไขว่คว้าคืนได้อีก ไป๋เสี่ยวหรันส่ายหน้าไปมาเบาๆ อย่างเหนื่อยล้า แม้ว่าใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มจางๆ หากกลับว่างเปล่าไร้ซึ่งอารมณ์ “พอเถอะ เซี่ยเว่ยหลง...เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใดอีกนอกจากหนังสือหย่า” นางเหนื่อยเกินจะหวังสิ่งใดอีกต่อไป เซี่ยเว่ยหลงนิ่งไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยเสียงเรียบแต่เย็นชา “พรุ่งนี้ข้าจะลงนามหย่าให้” หากนี่คือสิ่งที่นางต้องการเขาก็ไม่อาจรั้งไว้ได้ ทว่า... “อาหยวนคือบุตรของข้า เป็นสายเลือดของตระกูลเซี่ย ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพาเขาไปเด็ดขาด” !!! หมายความว่าอย่างไรกัน!? “เซี่ยเว่ยหลง!” ไป๋เสี่ยวหรันตวาดลั่น น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความโกรธและตกใจ “แท้จริงแล้ว...ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่!?” เซี่ยเว่ยหลงเพียงเอ่ยเสียงเรียบแต่กลับเย็นชาอย่างไร้หัวใจ “หากเจ้าปรารถนาเพียงหนังสือหย่า…ข้าย่อมมอบให้ได้แต่อาหยวนนั้นเขาคือคนของข้าและเป็นสายเลือดของตระกูลเซี่ย หากอยากไปก็ไปเสียเถิด” พอสิ้นสุดคำพูด เซี่ยเว่ยหลงก็หันหลังหมุนกายเดินจากไปไม่แม้แต่หันกลับมามองอีกเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อรั้งนางไว้ไม่ได้…เขาถึงคิดจะใช้วิธีนี้ผูกมัดนางเอาไว้อย่างงั้นหรือเซี่ยเว่ยหลง!? ไป๋เสี่ยวหรันกำมือแน่นด้วยความโกรธ “เซี่ยเว่ยหลงยอมหย่าให้เจ้าแล้วจริงหรือเสี่ยวหรัน!” น้ำเสียงหวานของเมิ่งซือซือดังขึ้นด้วยความตกใจ ไป๋เสี่ยวหรันได้สติกลับมา นางปรายตามองสหายตรงหน้า ก่อนจะระบายยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อืม…เขารับปากว่ายินยอมลงนามในหนังสือหย่าให้ข้าแล้ว” เมิ่งซือซือได้ยินแล้วเบิกตากว้าง ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ แต่ไม่นานนัก ใบหน้างดงามก็พลันหม่นลง “แล้วมันจะมีประโยชน์อันใด...ในเมื่ออาหยวนยังเป็นคนของตระกูลเซี่ย!” ไป์เสี่ยวหรันกล่าวออกมาอีกครั้ง ใบหน้าคนงามเจื่อนลงไปทันทีเจ็ดส่วน บุรุษผู้นั้นเจ้าเล่ห์ไม่น้อย! ใบหน้าของเมิ่งซือซือพลันขมวดมุ่นด้วยความงุนงงไม่เข้าใจ “หมายความว่าอย่างไรกัน” นางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจก่อนจะเหลือบมองหลานชายที่กำลังเล่นสนุกอยู่กับสาวใช้อย่างร่าเริง แล้วจึงหันกลับมามองสหายอีกครั้ง “หากหย่าแล้วข้าไม่สามารถนำสิ่งใดไปได้แม้แต่อาหยวน” !!! เมิ่งซือซือได้ยินแล้วยิ่งขมวดคิ้วมุ่นยุ่งเหยิงกว่าเดิม...บุรุษเยี่ยงเซี่ยเว่ยหลงยังกล้ากล่าวเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร ในเมื่อแม้แต่จะมองบุตรตัวเองยังแทบไม่เคยทำ ช่างทึ่มทื่อนัก! ได้อย่างไรกัน!? “ขากถุ้ย! คิดว่ามารดาจะกล้าทอดทิ้งบุตรได้อย่างไรกัน!” เมิ่งซือซือสบถออกมาด้วยความโมโหทันที ยามนี้ภายในใจนางเต็มไปด้วยโทสะที่ปะทุขึ้นคับอก เมิ่งหานเฟิ่งปรายตามองน้องสาวเพียงแวบหนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาวพลางเอ่ยเสียงเรียบ “ใจเย็นก่อนเถอะซือซือ…” เหตุใดน้องสาวผู้นี้จึงใจร้อนนัก!? “เหอะ! เมิ่งหานเฟิ่ง…ท่านยังจะให้ข้าใจเย็นได้อยู่อีกรึ?” เมิ่งซือซือยกมือขึ้นกอดอก ใบหน้าเชิดขึ้นอย่างไม่พอใจ “เห็นหรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น…ไม่ได้เกินเลยแม้แต่น้อย!” เมิ่งซือซือจ้องสบตาพี่ชายไม่ลดละ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “ไป๋เสี่ยวหรันคือสหายข้า! ที่ผ่านมานางไม่เคยได้รับความยุติธรรมเลยสักครั้ง…และไม่ว่าอย่างไรท่านต้องช่วยนางให้ถึงที่สุด!” น้ำเสียงหวานเอ่ยอย่างดื้อรั้นไม่ยอมลดละแม้แต่น้อย เมิ่งหานเฟิ่งได้ยินดังนั้นก็เพียงส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เขาได้ยินเมิ่งซือซือกล่าวถึงสหายผู้นี้อยู่บ่อยครั้งและจนกระทั่งวันนี้…เป็นครั้งแรกที่ได้พบไป๋เสี่ยวหรันเสียที แน่นอนว่า…เพียงแรกเห็น เขาก็ตกตะลึงในความงดงามของนางอยู่ครู่หนึ่ง ผู้ใดเลยจะคิดเล่าว่าสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้กลับไม่อาจมัดใจสามีตนได้…!? “ข้าเป็นเพียงขุนนางผู้หนึ่งในราชสำนักเท่านั้น...หาได้มีอำนาจล้นฟ้าเช่นฮ่องเต้” เมิ่งหานเฟิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ เขาเกรงว่าเมิ่งซือซือคงล้ำเส้นเกินไปแล้ว นี่เป็นเรื่องในจวนสกุลเซี่ย…จะไปก้าวก่ายได้อย่างไรกัน!? “แม้ท่านไม่มีอำนาจเยี่ยงฮ่องเต้ ข้ารู้…ว่าท่านสามารถช่วยสหายของข้าได้แน!” เมิ่งซือซือยืนกราน ดวงตาคู่งามฉายแววแน่วแน่ไม่ลดละ ไป๋เสี่ยวหรันเห็นท่าทางของสหายแล้วพลันหลุดหัวเราะเบาๆ อย่างอดไม่ได้ รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าคนงามก่อนจะพูดออกมา “พอเถอะ ซือซือ…” นางเอ่ยเสียงหวาน “ความหวังดีของเจ้า…ข้ารับไว้ในใจเท่านี้ก็เพียงพอ” นางไม่ได้ต้องการให้ใครต้องลำบากอีกต่อไปแล้ว… “รบกวนอันใดกันเล่า เสี่ยวหรัน!” เมิ่งซือซือสวนกลับทันที ดวงตาคู่งามฉายแววเอาแต่ใจอย่างแน่วแน่ “เจ้าเป็นสหายรักของข้า! และเด็กชายผู้นั้นก็เป็นหลานของข้าเช่นกัน!” !!! เสียงโวยวายที่ศาลาริมสระบัวดังสนั่นลั่นไปทั่วทั้งจวนจนเหล่าสาวใช้บริเวณนั้นต่างแอบย่องมาดูอย่างสนอกสนใจ เกรงว่าคงจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตเข้าเสียแล้ว ชู่ว์… “เบาเสียงของเจ้าลงหน่อยได้หรือไม่ซือซือ!” เมิ่งหานเฟิ่งถอนหายใจอย่างหมดปัญญา สายตาคมกริบไปจ้องน้องสาวพลางส่ายหน้าเอือมระอาอย่างปิดไม่มิดจากนั้นจึงหันกลับมามองสตรีอีกคนแทน “เอาเถิด…เช่นนั้นฮูหยินมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่…” น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง หากแต่แฝงไว้ด้วยความจริงจัง อย่างไรเสีย…เมิ่งซือซือก็คือน้องสาวของเขา เมิ่งหานเฟิ่งย่อมรู้ดีว่านางมีนิสัยเป็นเช่นไร เกรงว่าหากเขาไม่ยอมรับปาก นางก็คงไม่มีทางหยุดโวยวายเป็นแน่ เมิ่งหานเฟิ่งสบตากับไป๋เสี่ยวหรันและเพียงชั่วอึดใจนั้น…เขาพลันตกตะลึงกับความงดงามของนางอีกครั้ง “ข้าไม่รับกวน…” ไป๋เสี่ยวหรันปฏิเสธอย่างเกรงใจ “ฮูหยินของข้ามีเรื่องลำบากใจอันใดกันถึงขั้นต้องรบกวนยื่นมือขอความช่วยเหลือจากคุณชายผู้นี้อย่างงั้นหรือ…” !!! น้ำเสียงทุ้มคุ้นหูเช่นนี้…!? เซี่นเว่ยหลง!หลายวันผ่านไป…สุดท้ายแล้วก็เป็นดั่งที่นางคาดไว้ไม่มีผิด…เซี่ยเว่ยหลงแย่งบุตรชายไปไว้ในความดูแลของเขาอย่างเด็ดขาด ซ้ำยังพรากแม่และลูกให้ต้องแยกจากกันราวกับเป็นคนแปลกหน้านางไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเอ่ยปากคัดค้านและยิ่งไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้บุตรชายอย่างปรารถนาเพียงเพราะหนังสือหย่าแผ่นนั้น…แม้จะยังอยู่ในจวนแล้วอย่างไร ทว่าอาหยวนกลับถูกย้ายไปอยู่ที่เรือนของเซี่ยเว่ยหลง หากนางต้องการพบบุตรชายเพียงสักครั้ง ก็ต้องรอให้เขายินยอมเท่านั้น“เฮ้อ…” ไป๋เสี่ยวหรันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าย่ำแย่ สายตาเต็ทไปด้วยความขื่นขมอย่างปิดไม่มิดนายท่านก็ช่างใจร้ายใจดำนัก!ถึงขั้นกล้าพรากบุตรและมารดาออกมาจากกัวเชียวรึ!?ซือหรูที่อยู่ไม่ห่าง นางเห็นผู้เป็นนายหญิงถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับมีบางสิ่งถ่วงแน่นในอก จากนั้นจึงขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาและแววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย“ฮูหยิน…จะทำอย่างไรต่อไปดีเจ้าคะ…”ความจริงแล้ว นางรู้สึกยินดีอยู่ไม่น้อยตอนเห็นฮูหยินได้รับใบหย่าเสียที….คิดว่าสวรรค์คงเมตตาเห็นใจในความอดทนและเจ็บปวของนายหญิงที่ต้องทุกข์ทรมานมายาวนานจะสิ้นสุดลงเสียทีทว่า…นี่มันอะไรกัน!ยังไม่ท
บรรยากาศภายในห้องพลันถูกปกคลุมด้วยความเงียบงัน อาหยวนที่กำลังยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีอยู่ในอ้อมแขนมารดาพลันสะดุ้งตกใจเฮือกใหญ่ เมื่อได้ยินน้ำเสียงดังตวาดลั่นดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะค่อยๆ แดงก่ำมีหยาดสีน้ำใส เอ่อคลอขอบตา ริมฝีปากน้อยๆ เบะลงทันที“ฮือ…ฮึก…แม่…!” อาหยวนร้องไห้ออกมาทันที น้ำเสียงร้องไห้สะอื้นแผ่วเบา เขาพลางซุกหน้าเข้ากับอกของมารดาอย่างหวาดกลัว!!!ไป๋เสี่ยวหรันตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นอาหยวนร้องไห้ ใบหน้าคนงามเจื่อนลงฉายแววรู้สึกผิดอย่างชัดเจน นางรีบกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นก่อนจะลูบหลังบุตรชายเบาๆ พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปลอบประโลม“ไม่เป็นไรเซี่ยเจิ้นหยวน…ไม่มีอะไรต้องกลัว”“ฮึก…!” ทว่าเด็กน้อยยังคงเบะปากร้องไห้ออกมาอย่างไม่หยุดและไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงง่ายๆหยาดน้ำตาเม็ดใสไหลอาบแก้มอย่างท่วมท้นนางพลันกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิดจากนั้นจึงโน้มหน้าลงพลางเอ่ยกระซิบปลอบบุตรชาย “แม่อยู่นี่แล้ว อาหยวน…” น้ำเสียงหวานแผ่วเบานุ่มนวลเต็มไปด้วยความห่วงใยเด็กน้อยซบใบหน้าลงอกจนเปียกชุ่ม อาหยวนค่อยๆ เงยหน้ามองมารดาผ่านมารดาน้ำตา “อึก!...”“ไม่มีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้แน่”
เมื่อตอนเช้าตรู่วันนี้ ไป๋เสี่ยวหรันยังนอนหลับอยู่บนเตียง ทว่าเสียงเรียกอย่างร้อนรนของสาวใช้ดังขึ้นหน้าห้องพลันทำให้นางสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจก่อนจะรีบผุดลุกขึ้นทันที หัวใจเต้นระส่ำ คิดไปก่อนแล้วว่าอาจเกิดเรื่องร้ายกับอาหยวนแน่แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น…ซือหรูสาวใช้คนสนิทของนางกล่าวรายงานด้วยใบหน้าตื่นตระหนกว่ามีคนจากเรือนของเซี่ยเว่ยหลงนำหนังสือหย่ามาส่งให้แม้ว่าไป๋เสี่ยวหรันยังงัวเงียเพราะเพิ่งตื่นแต่มว่าพอได้ยินว่า หนังสือหย่า…นางรู้สึกตื่นเต็มตาขึ้นมาทันทีก่อนจะรีบก้าวลงจากเตียงแล้วตรงเข้าไปหยิบกระดาษมาเปิดดูอย่างรวดเร็วเมื่อคืนที่ผ่าน เซี่ยเว่ยหลงรับปากว่าจะปล่อยนางไปพร้อมกับเขียนหนังสือหย่าและลงนามให้แต่แล้วอย่างไรกลับมีข้อแม้ปรากฏชัดเจนบนหน้ากระดาษหากต้องการจากไปก็ให้ไปได้เพียงแต่ตัวเท่านั้น ห้ามนำสิ่งใดติดออกไปจากจวนเซี่ย…แม้กระทั่งบุตรชาย!นางเป็นมารดาจะกล้าทิ้งบุตรชายได้อย่างไร!แท้จริงแล้วเซี่ยเว่ยหลงไม่ได้เมามายจนไร้สติหรอกหรือ…!?พอนึกถึงตรงนี้ หัวใจของไป๋เสี่ยวหรันกระวูบรู้สึกโกรธเคืองอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย นางไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า…เซี่ยเว่ยหลงต้องการรั้งนางไว้เพราะ
เซี่ยเว่ยหลงเดินเอามือไพล่หลัง ตรงไปยังศาลาริมสระบัว ใบหน้าหล่อเหล่านิ่งเฉยไร้อารมณ์ทว่าดวงตาคมกริบกลับฉายแววไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเพียงแค่เขาก้าวเท้าออกจากจวนไปยังไม่ทันไร นางก็เชิญทั้งบุรุษและสหายมาพูดจาโอ้อวดว่าตนเองหย่ากับเขาแล้วอย่างงั้นรึ…!?หางตาของเซี่ยเว่ยหลงกระตุกริกๆ มาตลอด มิหนำซ้ำภายในใจยังเต็มไปด้วยความหงุดหงิดจากเหตุการณ์เมื่อคืนและพอยิ่งเดินเข้ามาใกล้ เสียงร้องโวยวายของสตรีและน้ำเสียงทุ้มของบุรุษที่ไม่คุ้นหูก็ยิ่งกระตุ้นความไม่พอใจให้เดือดดาลยิ่งขึ้นไปอีกเซี่ยเว่ยหลงปรายสายตาเย็นชามองอดีตภรรยาหมาดๆ เพียงครู่หนึ่ง ก่อนที่มุมปากกระตุกโค้งเหยียดยิ้มเล็กน้อยจากนั้นจึงเอ่ยออกมาเสียงเรียบทว่ากลับเต็มไปด้วยถ้อยคำเหน็บแนมทั้งสิ้น “หึ! เพิ่งหย่ากับข้าไม่ทันไรก็พาบุรุษอื่นเข้าจวนมาอวดกันถึงที่แล้วงั้นหรือ”จางเหวินเดินตามหลังมาติดๆ แต่พอได้ยินถ้อยคำนี้แล้ว เขาขมวดคิ้วหันขวับมองอีกฝ่ายตาขวางทันทีบุรุษผู้นี้…เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน!“เซี่ยเว่ยหลง!” จางเหวินขึ้นเสียงดังทันทีท่าทางขุ่นเคืองที่เหมือนถูกทอดทิ้งมาตลอดทั้งวันของอีกฝ่ายพลันหายหมดไปสิ้น
“เซี่ยเว่ยหลง…จริงๆ ข้าเสียดายไม่น้อย” น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาแฝงความเหนื่อยล้าเอาไว้อย่างชันเจน ไป๋เสี่ยวหรันลอบหายใจเฮือกหนึ่งคล้ายกลับกำลังอดกลั้นอารมณ์ที่ปะทุขึ้นคับแน่นอยู่ในอก“ไป๋เสี่ยวหรัน…” เซี่ยเว่ยหลงส่ายหน้าไปมาปฏิเสธ เขาไม่ต้องการได้ยินถ้อยคำใดจากนางอีกแล้ว ฝ่ามือหนาคว้ามือของนางมากอบกุมไว้แน่นราวกับหวาดกลัวว่าสตรีตรงหน้าจะเลือนรางและหายจากไปตลอดกาลท่าทางของเขาในยามนี้ไม่ต่างจากกำลังวิงวอนรั้งนางเอาไว้ สายตาคมกริบที่เคยแข็งกร้าวกลับอ่อนลงอย่างชัดเจนหากเป็นในยามปกติไป๋เสี่ยวหรันคงเผลอใจและหลงเชื่อในคำพูดของเขาแน่ แต่ยามนี้...บุรุษตรงหน้าเมามายอยู่มาก ใบหน้าหล่อเหล่าแดงก่ำจากฤทธิ์สุราทั้งยังมีกลิ่นฉุนโชยอยู่รอบกายไป๋เสี่ยวหรันไม่ดึงมือกลับ นางเพียงยืนนิ่งคล้ายกำลังตั้งสติ ภายในใจกลับสั่นไหวอยากเกินจะควบคุมคำพูดของเซี่ยเว่ยในยามนี้ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น…มีหรือหทกเขามีสตรีดีจะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมา!ใบหน้าคนงามปรากฏรอยยิ้มบางๆ สะท้อนแสงจันทราที่สะท้อนสาดส่องลงมาอย่างเย็นชา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งของนางว่างเปล่าไร้ความรู้สึกใดๆ“ทว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่…ฝืนดันทุรังไปก็เท่านั้น
ยามไฮ่ (21.00 – 23.00 น.)จางเหวินเจอเซี่ยเว่ยหลงอีกครั้ง เขาก็สังเกตได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ไม่เช่นนั้นเจ้าคนผู้นั้นจะเอาแต่นั่งดื่มสุราจอกแล้วจอกอย่างเงียบงันโดยไม่ปริปากเอ่ยอันใดออกมาได้อย่างไรตลอดหลายชั่วยามที่ผ่านมา!“เหอะ!” เขาแค่นเสียงออกมา สายตาจ้องมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ดอกเหมยร่วงหล่นปลิวไปกับสายลม...ต่อให้ยื่นมือออกคว้าก็เกินกว่าจะรั้งไว้ได้อีกแล้ว”!!!ปัง!เสียงจอกสุรากระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรงจนดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องบ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัวของเซี่ยเว่ยหลงได้ชัดเจน มุมปากหนาเหยียดยิ้มเยาะเล็กน้อยเซี่ยเว่ยหลงพลางเอ่ยออกมาเสียงเรียบราวกับมิได้ต้องการคำตอบอันใด “ย่อมเคยรักงั้นหรือ…ตั้งแต่เมื่อใดกันที่ใจของนางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นอื่น”หมายความว่าอย่างไรกัน…!?จางเหวินได้ยินแล้วพลันขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงงทันทีเขาไม่รู้ว่าเซี่นเว่ยหลงกำลังกล่าวถึงสิ่งใดอยู่หรือแท้จริงแล้วเพียงแค่เมามายจนสติเลอะเลือนไปแล้วอย่างงั้นหรือ…?จางเหวินหรี่สายตาสังเกตอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา “หึ! อวดดี...คำพูดร้ายกาจแต่การกระทำลับหลังกลับน่าสมเพช”เขาหรือน่า