“ทานให้อร่อยนะครับ” เขายิ้มตอบให้เฮียชลก่อนจะก้มมองอาหารจานโปรดของตนชนิดที่ว่าเอาปูอลาสก้าตัวล่ะหมื่นห้ามาแลกก็ไม่ยอม แต่ไหงวันนี้สีสันของมันถึงได้ดูจัดจ้านเป็นพิเศษสงสัยเฮียชลคงปรับสูตรกระมัง
“แค่กๆ!” ทันทีที่ข้าวคำแรกเข้าปากอรรถกรณ์ก็แทบจะคายออกในทันทีถ้าไม่ติดว่าเฮียชลมองเขาอยู่เลยทำได้แค่ฝืนกลืนมันลงไป ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยแต่มันเผ็ด! เผ็ดมากขนาดที่ข้าวคำเดียวเขาต้องดื่มน้ำตามเป็นขวดไม่รู้เฮียชลทำพริกคว่ำลงไปในกระทะหรืออย่างไรมันถึงได้เผ็ดขนาดนี้ แล้วอีกอย่างที่ไม่เหมือนทุกทีก็คือวันนี้ไม่มีน้ำซุปที่ปกติจะเสิร์ฟคู่กันกับข้าวตลอด
“ไม่อร่อยเหรอครับคุณอัฐ” ชโลธรถามเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอรรถกรณ์ ใบหน้าของเขาแดงก่ำพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายออกมาตามกรอบหน้าจนชุ่มไปหมด
“อะ.. อร่อยครับ แต่ผมขอน้ำเปล่าเพิ่มอีกขวดละกันครับ” ฝ่ามือหนาปาดเหงื่อตามใบหน้าแล้วรีบตักข้าวเข้าปากไวๆ หลังจากที่เฮียชลเดินหันหลังไปหยิบน้ำเปล่าที่ตู้เขาหวังว่าถ้ากินไวความเผ็ดมันก็คงจะไม่มากเท่าไหร่แต่มันไม่ใช่แบบที่คิดเพราะยิ่งกินมันก็ยิ่งเผ็ดขึ้นเรื่อยๆ จนเขาต้องสูดปากยกใหญ่แล้วนี่ทำไมเฮียชลถึงไปหยิบน้ำนานนักตู้ก็อยู่แค่นั้น
กะเพราหมูกรอบเผ็ดนรกแตกหมดลงในชั่วพริบตา อรรถกรณ์นั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ในเวลานี้ทั้งน้ำหูน้ำตาพากันไหลเลอะเปรอะใบหน้าไปหมดไม่เหลือเค้าของคุณอัฐผู้สง่างามเลยแม้แต่น้อยอย่าว่าแต่หน้าเลยที่เปียกตอนนี้ตัวเขาก็เหงื่อโชกไปหมดฝ่ามือหนายกขึ้นพัดที่ใบหน้าริมฝีปากก็เป่าลมออกมาไม่หยุด
ถ้วยใส่น้ำซุปใบเล็กๆ ถูกวางลงตรงหน้าของอรรถกรณ์พร้อมกับน้ำเปล่าอีกหนึ่งขวด เขาไม่รอช้าคว้าน้ำขวดนั้นเปิดฝาแล้วกระดกรวดเดียวหมดขวด
“ผมลืมไปเลยครับว่ายังไม่ได้เอาน้ำซุปให้คุณอัฐ.. อ้าว! นี่คุณอัฐทานข้าวหมดแล้วเหรอครับงั้นให้ผมไปทำเพิ่มให้อีกจานดีไหมครับ” อรรถกรณ์รีบยกมือห้ามชโลธรเอาไว้เสียก่อน
“ไม่เป็นไรดีกว่าครับผมอิ่มพอดีเลย.. เดี๋ยวน้ำซุปนี่ผมทานเลยครับ” เขาว่าเท่านั้นก่อนจะใช้ช้อนตักน้ำซุปในถ้วยขึ้นมาพิจารณาอยู่สักพัก เขารู้สึกลังเลขึ้นมาที่จะเอามันเข้ามาในปากกลัวว่ารสชาติมันจะประหลาดพิลึกเหมือนกะเพราของเขาในวันนี้
โชคดีหน่อยที่พอเขาลองทานน้ำซุปเข้าไปแล้วรสชาติของมันยังคงกลมกล่อมและอร่อยเหมือนทุกที เขาเลยตักเข้าปากเรื่อยๆ ไม่หยุดรู้ตัวอีกทีความเผ็ดในตอนแรกมันก็หายไปจนหมดแล้วพร้อมๆ กับน้ำซุปในถ้วยที่หมดลงเช่นกัน อรรถกรณ์วางช้อนลงอย่างเบามือก่อนจะหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดตามใบหน้าและริมฝีปากด้วยท่าทีสุภาพและขยำมันทิ้งลงในขยะที่อยู่ใต้โต๊ะ ต่างจากคนบางประเภทที่พอเช็ดเสร็จแล้วกลับทิ้งทิชชู่ไว้บนจานอาหารซึ่งมันดูไม่น่ามองเลยสักนิด
อรรถกรณ์เงยหน้าขึ้นมาก็พบกับสายตาของชโลธรที่จ้องเขาอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตานิ่งๆ แบบที่ไม่เคยใช้มองเขามาก่อนจนเขาต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกว่าคอมันแห้งฝืดไปหมดใช่แน่ๆ วันนี้เขาต้องไปทำอะไรให้เฮียชลคนนี้ไม่ถูกใจแน่ๆ
“เอ่อคือ.. เฮียชลมีอะไรก็พูดมาได้เล-”
“คุณอัฐชอบลูกสาวผมเหรอครับ”
“ครับ?”
“ใช่หรือไม่ครับ แค่นั้นที่ผมอยากรู้” ชโลธรพูดน้ำเสียงเรียบล
“ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าชอบได้หรือเปล่าครับ.. ถึงจะเป็นครั้งแรกที่ได้พบกันแต่ผมรู้สึกถูกชะตากับเธอแบบที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมานานแล้วครับ” อรรถกรณ์ตอบโดยที่สบตากับชโลธรโดยตรงอยากให้ชโลธรได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเขาพูดนั้นเป็นความจริงไม่ได้แอบแฝงอะไรไว้ภายใน
“ผมสารภาพตามตรงครับว่าที่รสชาติกะเพราวันนี้เป็นแบบนั้นเพราะผมตั้งใจ และที่บอกว่าลืมน้ำซุปนั่นผมก็ตั้งใจ ตอนที่ได้เห็นสายตาของคุณที่มองลูกสาวผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าคุณกำลังสนใจลูกสาวผมอยู่แน่ๆ เพราะมันเหมือนกับสายตาที่ผมมองแม่ของเฌอในตอนที่ได้เจอเธอครั้งแรกก็เลยอดไม่ได้ที่จะแอบรู้สึกหวงลูกสาวขึ้นมานิดหน่อย เธอเป็นผู้หญิงคนแรกเลยครับที่ทำให้ผมรู้สึกว่าการตกหลุมรักใครสักคนมันเป็นแบบนี้นี่เอง..” นัยน์ตาของชโลธรไหววูบรู้สึกได้ถึงความเศร้าและเหงารวมไปถึงความคิดถึงในแววตาคู่นั้น
“แล้วแม่ของเธออยู่ที่ไหนเหรอครับตอนนี้” อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
“เธอเสียแล้วครับ หลังจากคลอดเฌอเธอติดเชื้อในกระแสเลือดครับ..”
“ผมขอโทษครับ.. ผมไม่ทราบจริงๆ”
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษหรอกครับ เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้วแค่เวลาพูดถึงเธอแล้วในใจมันก็รู้สึกเหงาๆ นิดหน่อยน่ะครับ.. ผมมีเฌอตอนที่ผมอายุแค่ 18 ปี ผมไม่เคยคิดเลยสักครั้งเดียวว่าเฌอคือความผิดพลาดแต่เฌอคือของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตผม เฌอเป็นเด็กน่ารักครับไม่เคยทำให้ผมหนักใจเลยสักครั้ง” สายตาของชโลธรทอดมองไปยังลูกสาวของตนที่กำลังยืนเช็ดเตาพร้อมกับปาดเหงื่อที่ผุดตามใบหน้างามออกพร้อมกับรอยยิ้ม
“…” อรรถกรณ์ทำได้เพียงมองและยิ้มตามชโลธรกับภาพผู้หญิงตัวเล็กๆ ตรงหน้าที่ทำงานอย่างขะมักเขม้นไม่มีแม้เสียงปริปากบ่นมีเพียงแค่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ
“ผมไม่คิดจะกีดกันนะครับถ้าคุณจะรู้สึกดีกับลูกสาวผม ยังไงผมก็มั่นใจว่าคุณสามารถดูแลลูกสาวผมได้ดีอยู่แล้วแต่อันนี้ก็ต้องแล้วแต่เฌอมันแล้วล่ะครับว่ามันรู้สึกยังไงกับคุณ คนเป็นพ่อแบบผมก็เลี้ยงมันได้แต่ตัวแหละครับจะให้ไปบังคับหัวใจมันด้วยก็ใช่เรื่อง ยังไงก็สู้ๆ นะครับคุณว่าที่ลูกเขย” ชโลธรตบบ่าของอรรถกรณ์ไปสองสามทีก่อนจะเก็บจานและลุกออกไป
“อย่าห่วงไปเลยครับ.. เฌอจะต้องชอบผมอย่างแน่นอน” อรรถกรณ์พึมพำกับตัวเองบนริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เขาหยิบเอาแบงค์พันจากกระเป๋าออกมาหนึ่งใบวางไว้บนโต๊ะแล้วเอากระปุกช้อนทับไว้ก่อนจะเดินออกไป
ชญาดาที่เดินมาเช็ดโต๊ะทันทีหลังจากที่เห็นเขาลุกออกไปก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจในตอนที่สายตาไปสะดุดเข้ากับใบสีเทาๆ บนโต๊ะเธอหยิบมันขึ้นมาแล้วตรงดิ่งเข้าไปหาผู้เป็นพ่อที่หลังครัว
“พ่อๆ คุณอัฐเขาลืมตังค์ทอนหรือเปล่า หนูเห็นเขาวางแบงค์พันไว้บนโต๊ะแล้วก็ลุกออกไปเลยอะ”
“หึ! สงสัยคงจะลืมนั่นแหละ พรุ่งนี้พ่อว่าจะหยุดไปนั่งฟังพระท่านเทศน์ที่วัดสักวันด้วยสิ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้แกก็เอามาให้เขาหน่อยละกันไปๆ เก็บของทำความสะอาดจะได้กลับบ้าน” ชโลธรมองแบงค์พันในมือก่อนจะแค่นยิ้มออกมา ‘ร้ายไม่เบานะคุณอรรถกรณ์’
ชญาดาชะงักไปเล็กน้อยในตอนที่พ่อของเธอเอ่ยชื่อของอรรถกรณ์ขึ้นมา เธอหลุบตาลงต่ำทำทีเป็นคีบหมูเข้าปากกลัวว่าพ่อจะจับได้ว่าเธอกำลังนึกถึงคนที่พ่อเอ่ยชื่อออกมาเมื่อครู่ แต่เขาก็ยังนั่งจ้องเธออยู่แบบนั้นไม่วางตาทำเอาเธอกลืนอะไรแทบไม่ลงจนต้องยอมตอบคำถามเขาไป“เขากะ.. ก็ดูเป็นคนดีนะคะ” เธอตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก“แค่นั้นเองเหรอ” ชโลธรหรี่ตามองลูกสาวของตัวเองอย่างจับผิด“แค่นั้นสิคะ พ่อคิดว่ายังจะมีอะไรอีกล่ะคะ”“เปล่านี่.. พ่อก็แค่คิดเล่นๆ ว่าถ้ามีลูกเขยเป็นประธานบริษัทจะเป็นยังไงนะ” ชโลธรพูดไปก็กลั้นขำไปแอบเห็นใบหน้าหวานของลูกสาวขึ้นสีระเรื่อในตอนที่เขาพูดคำว่า ‘ลูกเขย’“เฌอว่าพ่อเมาหมูกระทะแล้วเนี่ยพูดอะไรก็ไม่รู้”“แต่พ่อว่าเฌอรู้นะว่าพ่อพูดเรื่องอะไร ใช่ไหม” ชญาดาที่เห็นสายตาของพ่อที่หรี่มองเธอพร้อมกับคำถามแบบนั้นก็ได้แต่อมตะเกียบที่เพิ่งคีบหมูเข้าปากไปค้างไว้แบบนั้นก่อนจะเอามันออกมาวางลงบนโต๊ะเงียบๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนเป็นพ่อที่ยังคงนั่งจ้องเธออยู่แบบนั้น“เฌอไม่รู้เหมือนกันค่ะพ่อว่าความรู้สึกแบบนี้มันจะเรียกว่าชอบได้ไหม แต่เฌอรู้แค่ว่าเฌอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน” ตอบเหมือนกั
หลังจากที่ชญาดาช่วยพ่อของเธอล้างของและเก็บกวาดร้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อของเธอก็เสนอเมนูเย็นนี้ว่าจะทำหมูกระทะฉลองในโอกาสที่เธอเรียนจบทั้งคู่เลยแวะซื้อของที่ตลาดสดหน้าปากซอยทางเข้าบ้านแบ่งกันไปซื้อ ชโลธรเป็นคนไปเดินเลือกซื้อผักและชญาดาไปซื้อพวกหมูสามชั้นกับของทะเลนิดๆ หน่อยไม่อยากซื้อไปเยอะมากเพราะกินกันแค่สองคนพ่อลูก และนัดว่าให้ไปเจอกันที่รถ“ไหนดูสิคนสวยของพ่อได้อะไรมาบ้าง มาๆ เดี๋ยวพ่อช่วยถือแขนแดงหมดแล้ว” ชโลธรพูดขึ้นทันทีที่เห็นลูกสาวของตนเดินมาถึงรถและรีบเข้าไปรับของที่เธอมาช่วยถือไว้กลัวว่าแขนเล็กๆ นั่นจะหักเอาเสียก่อนดูสิแค่นี้ผิวขาวๆ ของเธอก็ขึ้นรอยแดงเต็มไปหมด“โอ๊ยพ่อ.. เวอร์ไปไหมเนี่ยเฌอแค่ถือของนะคะไม่ได้แบกเสาเข็ม ไปเปิดท้ายเลยค่ะเฌอจะได้เอาของใส่รถเห็นตัวแค่นี้แต่เฌอแข็งแรงมากเลยนะขอบอก” เธอกลอกตาไปมาเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางของผู้เป็นพ่อที่ดูจะเป็นห่วงเธอเอามากๆ ทั้งๆ ที่วันนี้ทั้งวันเธอทำอะไรที่มันหนักหนากว่านี้ตั้งหลายเท่า“ครับๆ ลูกผมมันเก่งอยู่แล้วครับ” ชโลธรจีบปากจีบคอพูดใส่ลูกสาวของตนด้วยความมันเขี้ยว“เก่งได้พ่อแหละ ฮ่าๆ” เฌอหัวเราะชอบใจพร้อมกับวางของในมือลงที่ท
“ทานให้อร่อยนะครับ” เขายิ้มตอบให้เฮียชลก่อนจะก้มมองอาหารจานโปรดของตนชนิดที่ว่าเอาปูอลาสก้าตัวล่ะหมื่นห้ามาแลกก็ไม่ยอม แต่ไหงวันนี้สีสันของมันถึงได้ดูจัดจ้านเป็นพิเศษสงสัยเฮียชลคงปรับสูตรกระมัง“แค่กๆ!” ทันทีที่ข้าวคำแรกเข้าปากอรรถกรณ์ก็แทบจะคายออกในทันทีถ้าไม่ติดว่าเฮียชลมองเขาอยู่เลยทำได้แค่ฝืนกลืนมันลงไป ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยแต่มันเผ็ด! เผ็ดมากขนาดที่ข้าวคำเดียวเขาต้องดื่มน้ำตามเป็นขวดไม่รู้เฮียชลทำพริกคว่ำลงไปในกระทะหรืออย่างไรมันถึงได้เผ็ดขนาดนี้ แล้วอีกอย่างที่ไม่เหมือนทุกทีก็คือวันนี้ไม่มีน้ำซุปที่ปกติจะเสิร์ฟคู่กันกับข้าวตลอด“ไม่อร่อยเหรอครับคุณอัฐ” ชโลธรถามเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอรรถกรณ์ ใบหน้าของเขาแดงก่ำพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายออกมาตามกรอบหน้าจนชุ่มไปหมด“อะ.. อร่อยครับ แต่ผมขอน้ำเปล่าเพิ่มอีกขวดละกันครับ” ฝ่ามือหนาปาดเหงื่อตามใบหน้าแล้วรีบตักข้าวเข้าปากไวๆ หลังจากที่เฮียชลเดินหันหลังไปหยิบน้ำเปล่าที่ตู้เขาหวังว่าถ้ากินไวความเผ็ดมันก็คงจะไม่มากเท่าไหร่แต่มันไม่ใช่แบบที่คิดเพราะยิ่งกินมันก็ยิ่งเผ็ดขึ้นเรื่อยๆ จนเขาต้องสูดปากยกใหญ่แล้วนี่ทำไมเฮียชลถึงไปหยิบน้ำน
ในเช้าวันทำงานวันแรกของสัปดาห์แบบนี้ผู้คนต่างขวักไขว่ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อรีบเตรียมตัวไปเข้างานให้ทันเวลาตามที่บริษัทของแต่ละคนกำหนดเหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะไม่อยากเข้างานสายตั้งแต่วันแรกของสัปดาห์เช่นเดียวกับ ‘ชญาดา’ ที่วันนี้เธอจะเข้าไปช่วยพ่อที่ร้านอาหารตามสั่งในศูนย์อาหารของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างบริษัท ATK เป็นวันแรกหลังจากที่เรียนจบ ปวส. จากวิทยาลัยแถวบ้านมาตัวเธอเองก็ลองพยายามหาสมัครงานตามที่ต่างๆ แต่ไม่ว่าเข้าไปที่ไหนทุกๆ ที่ก็จะพูดประโยคเดียวกันกับเธอ ‘ไว้จะติดต่อกลับไปอีกทีนะคะ’ แล้วก็เป็นไปตามสูตรไม่มีที่ไหนติดต่อเธอกลับมาเลยแม้แต่ที่เดียว ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกยิ่งช่วงเศรษฐกิจตกต่ำแบบนี้การที่เธอจะหางานยากแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเมื่อหางานไม่ได้เธอเลยตัดสินใจปรึกษากับคุณ ‘ชโลธร’ บิดาบังเกิดเกล้าเพียงคนเดียวของเธอเขาก็เลยยื่นข้อเสนอให้เธอเข้าไปช่วยที่ร้านอาหารตามสั่งของเขาชั่วคราวก่อนหางานได้เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน เธอเลยต้องพาตัวเองนั่งรถจากบ้านนอกเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวงเป็นครั้งแรกเกิดมา 21 ปีคำว่า ‘เมืองศิวิไล’ มันก็เพิ่งประจักต่อสายตาชญาดาวันนี้นี่เองทั้งแสง สี เส