พรึ่บ!ม่านฉีกขาดโบกพลิ้วตามสายลมยามค่ำคืน ทว่าหลังม่านกลับว่างเปล่าไม่มีผู้ใด!หลี่เซวียนขมวดคิ้วเป็นปม!หรือตนคิดผิดแล้ว?เมื่อครู่รู้สึกได้อย่างชัดเจน มีคนซ่อนตัวอยู่หลังม่าน!หรือว่า อาศัยจังหวะตอนที่ตนส่งหลี่หลงหลินเพียงครู่หนึ่ง คนๆ นั้นหนีไปแล้ว?หลี่เซวียนหัวใจหล่นวูบ เดินไปที่โต๊ะหนังสือทันที พบว่าจดหมายมีร่องรอยถูกรื้อค้น“แย่แล้ว!”“ตกหลุมพรางแล้ว!”หลี่เซวียนรู้สึกคล้ายโลกหมุน รีบคว้าโต๊ะ ไม่ได้ล้มลงหลังจากผ่านไปนานในที่สุดหลี่เซวียนก็ตั้งสติได้ รีบเรียกพบซุนกวางเสี้ยวคนสนิทของตนซุนกวางเสี้ยวคุกเข่าทำความเคารพ “องค์ชาย องค์ชายมีอะไรให้รับใช้พ่ะย่ะค่ะ?”หลี่เซวียนพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ทหารหน่วยกล้าตายเตรียมไปถึงไหนแล้ว?”ซุนกวางเสี้ยวตอบ “ทหารหน่วยกล้าตายแปดร้อยนายเตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ! เคลื่อนกำลังพลได้ทุกเมื่อ!”หลี่เซวียนพยักหน้า “เยี่ยม! จางไป่เจิงนำทหารรักษาพระองค์หนึ่งแสนนาย เดินทางข้ามคืนออกนอกเมืองหลวงไปแล้ว เพื่อรบกับชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ! รุ่งสางวันพรุ่งนี้ เราเคลื่อนกำลังพลก่อกบฏ เปลี่ยนราชวงศ์!”ซุนกวางเสี้ยวได้ยินเช่นนั้น ตะลึงงัน
องค์ชายหกวางแผนมานานหลายปี ในการก่อกบฏ คล้ายทุกอย่างแยบยลทว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น!กุญแจสำคัญในการพลิกสถานการณ์ คือทหารพันนายของตระกูลซู!หลี่เซวียนอยากจะเป็นเขยของตระกูลซู อยากใช้ทหารตระกูลซูในการก่อกบฏทว่าหลี่หลงหลินชิงลงมือก่อน ใช้ทหารตระกูลซูรักษาความสงบ!ความสำเร็จของจักรพรรดิ คือการขยายอณาเขต ความสำเร็จของข้าราชบริพาร คือการรักษาความสงบและฟังคำสั่งของจักรพรรดิ!หากตระกูลซูพลิกวิกฤตได้ สยบความโกลาหล สร้างคุณงามความดีครั้งใหญ่ เช่นนั้นก็พลิกชะตาของตระกูลได้!เมื่อฮ่องเต้หวู่โสมนัส ต้องตกรางวัลอย่างงามแน่นอน!เวลานี้ตระกูลซูไร้บุรุษ เหลือเพียงหญิงหม้าย ภายใต้การสนับสนุนของจักรพรรดิ ใช่ว่าจะไม่อาจกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง!เพียงแต่องค์ชายหกก็ไม่ได้โง่เขลา ในเมื่อเขารู้แล้วว่าจดหมายหายไป ต้องเตรียมความพร้อมอย่างแน่นอน วางกำลังทหารซุ่มโจมตีระหว่างทางออกจากเมืองหลวง!สีหน้าของหลี่หลงหลินเคร่งขรึม ถอนหายใจ “ทางออกเดียวของตระกูลซู คือใช้ตราพยัคฆ์มาช่วย นำทหารที่เหลืออยู่มาสยบความโกลาหลในเมืองหลวง! แต่ว่า องค์ชายหกต้องขัดขวางอย่างแน่นอน การเดินทางครั้งนี้เปี่ยมไปด้วยอันตร
ฟ้าสลัวเพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ...เสียงแส้แทรกผ่านอากาศ ดังก้องไปทั่วพระราชวังต้องห้ามขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊แบ่งเป็นสองแถว เดินเข้าไปในท้องพระโรงฮ่องเต้หวู่ในชุดเสื้อคลุมมังกร สวมมงกุฎ นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเหนือศีรษะมีแผ่นป้ายสลักคำว่า ‘เที่ยงตรงโปร่งใส’ ทอประกายเจิดจ้า“ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”บรรดาข้าราชบริพารคุกเข่าทำความเคารพ กล่าวคำสรรเสริญท่ามกลางขุนนาง หลี่หลงหลินคุกเข่าทำความเคารพเช่นเดียวกัน เก็บอาการวางตัวปกติ ทว่าสายตากลับกลอกไปมา พิจารณารอบๆเขาไม่ได้ตกใจในความน่าเกรงขามของฮ่องเต้ทว่ากำลังสังเกตสีหน้าขององค์ชายทุกคนโดยเฉพาะองค์ชายหก คือคนที่หลี่หลงหลินสังเกตเป็นพิเศษองค์ชายหกสัมผัสได้ถึงสายตาของหลี่หลงหลิน แต่กลับแกล้งทำหน้านิ่ง สายตามองตรง ไม่มองมาที่เขาสิ่งนี้ทำให้หลี่หลงหลินหัวเราะในใจดูเหมือนกำลังร้อนตัว!“ทุกคนยืนขึ้นได้!”เสียงน่าเกรงขามของฮ่องเต้หวู่ ดังขึ้นจากด้านบนหลังจากบรรดาขุนนางลุกขึ้น ขันทีเว่ยซวินที่ยืนอยู่ข้างฮ่องเต้หวู่พูด “ผู้ใดต้องการถวายฎีกา นำขึ้นมาได้เลย!”บรรดาขุนนางนิ่งเงียบ ไม่มีใครเดินออกมาแ
ณ ท้องพระโรงเรื่องน่าตกใจเกิดขึ้นติดต่อกัน สีหน้าของบรรดาขุนนางด้านชาไปหมดขโมยเข้าไปในห้องหนังสือขององค์ชายหก เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงมากแล้วไม่มีใครคิดว่า องค์ชายเก้าจะก้าวออกมาด้วยตนเอง ยอมรับว่าตนคือคนร้ายคนนั้น?สมองของเขา ถูกลาเตะแล้วหรืออย่างไร?เขาคงไม่คิดว่า ฮ่องเต้หวู่ปล่อยเขาไปครั้งหนึ่งแล้ว จะยอมปล่อยเขาไปครั้งที่สองกระมังเวลานี้ ฮ่องเต้หวู่เหยียดกายลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร หัวเราะด้วยความพิโรธ “เจ้าเก้า เจ้าคิดอยากจะตาย เจตนาทำชั่ว อย่ากล่าวโทษข้าที่ไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์พ่อลูก จับตัวลูกทรพีคนนี้ซะ!”“ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”หลี่หลงหลินเงยหน้าขึ้น ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวจนดูอ่อนแอ “เสด็จพ่อ กระหม่อมมีเรื่องอยากจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่หัวเราะในลำคอ “ว่ามา!”ฮ่องเต้หวู่ดื้อรั้นไม่ฟังความเห็นของผู้อื่นก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นไม่ให้โอกาสลูกชายในการอธิบายยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็นึกสงสัยเช่นเดียวกันเจ้าเก้าเป็นคนขี้ขลาด ไม่เอาถ่าน ทว่าไม่ได้โง่เขลาและบ้าคลั่งถึงขั้นนี้!หลี่หลงหลินพูด “เสด็จพ่อ ตอนกระหม่อมไปขอโทษพี่หก ในห้องหนังสือของเขา กระหม่อมบัง
ฟึบฟึบฟึบ...ลูกศรพุ่งทะลุชั้นอากาศ ปลิดชีพทหารรักษาพระองค์ด้านข้างองค์ชายหกทันที!ซุนกวางเสี้ยวในชุดเกราะเดินสับเท้าเข้ามาหาหลี่เซวียนอย่างรวดเร็ว สองมือยื่นชุดเกราะและมีดยาวให้เขา : “กระหม่อมมาช้าไปหนึ่งก้าว ทำให้องค์ชายต้องตระหนก โปรดทรงอภัยด้วยพะยะค่ะ!”หลี่เซวียนสวมชุดเกราะพลางเหน็บมีด เอ่ยอย่างยิ้มเยาะ: “ไม่เป็นไร! ทุกอย่างอยู่ในแผนของเรา! ”เรา?เมื่อได้ยินหลี่เซวียนเรียกตัวเองว่าข้า ทุกคนในท้องพระโรงต่างก็แตกตื่น!ฝ่าบาทนั่งอยู่บนพระที่นั่งมังกร สีหน้ามืดมนและน่ากลัวมาก!เหล่าข้าราชการพลเรือนและทหารหลายร้อยคนพากันเอ่ยตำหนิ: “องค์ชายหก พระองค์กล้าที่จะกบฏ นี่เป็นความผิดร้ายแรง!" ”“เราคำนี้ พระองค์สามารถใช้แทนพระองค์เองได้งั้นหรือ?”“หรือว่า ท่านต้องการที่จะฆ่าบิดาแล้วก่อกบฏ? การเสียสติเช่นนี้ ฟ้าดินไม่อาจยอมรับได้! ท่านไม่กลัวถูกฟ้าผ่าหรือ? ”“ใช่! ท่านไม่กลัวจะถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์หรือว่าท่านก่อกบฏ จนชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปหมื่นปี! ”หลี่เซวียนถือมีดยาวในมือ ยกขึ้นเหนือศีรษะและหัวเราะอย่างดุเดือด: “ฮ่าฮ่าฮ่า! ฉาวโฉ่ไปหมื่นปี? ช่างน่าขัน! ในโลกนี้ ผู้อ่อนแอเป็
ว่ากันว่าพ่อเป็นเสือลูกไม่เป็นหมา!แต่ลูกชายตัวเองแต่ละคน ล้วนไร้ประโยชน์!เขาจะวางใจได้แต่งตั้งองค์รัชทายาท และมอบบ้านเมืองของต้าเซี่ย และประชาชนหลายล้านคนให้ไปอยู่ในมือพวกเขาได้ยังไง?“ห๊ะ?”และในขณะนี้ จู่ๆฝ่าบาทก็พบว่ามีร่างหนึ่งยืนอยู่กับที่ ไม่เพียงแต่ไม่กระวนกระวาย แต่เขายังแสดงสีหน้าสงบนิ่งอีกด้วย!แม้ภูเขาไท่ซานจะถล่มลงมาตรงหน้าสีหน้ายังไม่เปลี่ยน แม่น้ำหวงเหอตีบตันใบหน้าก็ยังไม่ตระหนก!เขาก็คือองค์ชายเก้าหลี่หลงหลิน!ฝ่าบาทขยี้ตามองอย่างสงสัยว่าตนมองผิดไปหรือไม่เจ้าเก้าเป็นบุตรของพระชายาโหรวดังคํากล่าวที่ว่า รักบ้านก็รักอีกาที่อยู่บนหลังคาบ้านนั้นด้วยพระชายาโหรวคือนางสนมคนโปรดของฝ่าบาท ย่อมต้องรักลูกชายของนางมาก อย่างไรก็ตาม เจ้าเก้าเป็นคนไร้ประโยชน์จริงๆ ทำตัวไร้สาระมากๆ ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายที่เข้มงวดกับเขาก็หวังที่จะให้เขาดีขึ้น จึงไม่ได้คาดหวังอะไรอีก!หากเป็นก่อนหน้านี้ เมื่อเจ้าเก้าต้องเผชิญกับการก่อกบฏ คงต้องร้องไห้หาพ่อร้องไห้หาแม่ และถึงขั้นกลัวจนฉี่รดได้! แต่ครั้งนี้การแสดงออกของเจ้าเก้านั้นเกินความคาดหมายของฝ่าบาทมากเขาไม
“ทหารตระกูลซู!”“คุ้มกัน!”ซูเฟิ่งหลิงถือทวนไว้ในมือ ชี้ขึ้นไปบนฟ้า!ทหารตระกูลซูตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกัน: “ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ”ไอสังหารอันมหึมา สะเทือนโลก!ฉากนี้ทําให้ทุกคนตะลึง!เหล่าองค์ชายและเหล่านางทหารต่างไม่ต้องพูดอะไร เมื่อเห็นกองกำลังเสริมมาถึง ทุกคนต่างก็ดีใจและร้องไห้ออกมา“รอดแล้ว!”“เรารอดแล้ว!”“แม่ทัพหญิงคนนี้น่าเกรงขาม สตรีผู้ไม่ยอมเป็นรองบุรุษ นางเป็นใคร?”แม้ว่าชื่อเสียงของซูเฟิ่งหลิงจะโด่งดังมากอย่างไรก็ตาม มีเพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นซูเฟิ่งหลิงตัวจริงนอกจากนี้ คนส่วนใหญ่ก็ยากมากที่จะจับคู่แม่ทัพหญิงผู้เลอโฉมสวยในชุดเกราะสีเงินและเสื้อคลุมสีแดง กับฉายาที่ร่ำลือกันว่าเป็นเสือโคร่งฝ่าบาทเองก็ตกใจเช่นกัน: “ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ทัพของใคร”หลี่หลงหลินยกยิ้มเล็กน้อย: “เสด็จพ่อนางก็คือซูเฟิ่งหลิงคู่หมั้นของกระหม่อมพะยะค่ะ!"ฝ่าบาทแสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างไม่สามารถเก็บซ่อนได้: “ซูเฟิ่งหลิงหรือ? หรือนี่คือหมากที่เจ้าวางไว้? เจ้าคาดเดาไว้นานแล้วว่าเจ้าหกจะก่อกบฏหรือ? ”หลี่หลงหลินพูดอย่างถ่อมตัว: “เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ”“บังเอิญ...”ฝ่าบาทเหลือบมองหลี่หลงหลินอย่าง
ดวงตาของหลี่เซวียนแดงก่ำ เขาจ้องหลี่หลงหลินอย่างดุเดือด เกลียดชังจนถึงแก่นกระดูกเขาคิดคำนวณทุกอย่างไว้อย่างถี่ถ้วนแล้วเว้นเพียงเจ้าเก้าที่ไร้ประโยชน์คนนี้เท่านั้น!“ยุทธ์จับโจรเอาหัวโจก!”“แม่ทัพซุน!” “เจ้าไปฆ่าซูเฟิ่งหลิง เพื่อเป็นขวัญกําลังใจให้กับกองทัพของเรา!” หลี่เซวียนสูดลมหายใจลึก ควบคุมจิตใจให้สงบนิ่ง และออกคําสั่งกับซุนกวางเสี้ยวซุนกวางเสี้ยวเป็นแม่ทัพที่ดุร้ายคนแรกภายใต้การบังคับบัญชาของเขา!ทหารที่เหลืออยู่พันนายของตระกูลซู เดิมคือจะหนีกลับจากดินแดนทางเหนือ ขวัญกําลังใจทหารของพวกเขาต่ำมาก เมื่อซูเฟิ่งหลิงแม่ทัพรบจนตัวตาย งั้นขวัญกำลังใจทหารของทหารที่เหลืออยู่ของตระกูลซูคงพังทลายลงอย่างแน่นอน พ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้! ดวงตาของซุนกวางเสี้ยวฉายแววตาดูถูกเหยียดหยาม เขาเอ่ยเยาะเย้ย: “ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ว่านางจะชื่อเสียงโด่งดังสักเพียงใด จะมีความสามารถสักแค่ไหนเชียว? ขวานใหญ่ของรองแม่ทัพ หิวโหยมานานแล้ว! ไม่จําเป็นต้องร่วมมือกัน ก็ตัดหัวนางลงจากหลังม้าได้อย่างแน่นอน! ” เมื่อหลี่เซวียนเห็นว่าซุนกวางเสี้ยวมั่นอกมั่นใจมากเช่นนี้ เขาเพียงพยักหน้าและพูดว่า “ไ
ณ จวนอ๋องตงไห่ นกพิราบสื่อสารตัวหนึ่งกางปีกบินมา เกาะลงบนบ่าของซูเฟิ่งหลิงซูเฟิ่งหลิงชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าสงสัยเคลือบแคลง: “ยามนี้มิมีการศึก เหตุใดจึงมีนกพิราบส่งสาส์นมา?” นางปลดกระบอกสาส์นจากขานกพิราบด้วยความสงสัย ทันใดนั้นก็พลันตกใจจนหน้าซีดเผือด “อะไรนะ!” ลั่วอวี้จู๋ที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ: “น้องหญิง เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ซูเฟิ่งหลิงยื่นสาส์นให้ลั่วอวี้จู๋ เอ่ยว่า: “พี่สะใภ้ เป็นสาส์นจากหนิงชิงโหวที่เมืองหลวง ในสาส์นเอ่ยว่า บัดนี้ฝ่าบาททรงอนุญาตตามคำขอขององค์รัชทายาทแล้ว มีพระบัญชาให้ผู้อพยพนับแสนคนเดินทางมายังตงไห่ทันที” ลั่วอวี้จู๋อ่านสาส์นจบก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย: “องค์รัชทายาทเหตุใดจึงทรงทำตามอำเภอใจเช่นนี้? บัดนี้ราษฎรตงไห่เพิ่งจะพอมีพอกินประทังชีวิต องค์รัชทายาทกลับทูลขอผู้อพยพจากฝ่าบาทอีกนับแสนคน? ยังมิต้องพูดถึงว่าผู้อพยพเหล่านี้ต้องบุกป่าฝ่าดงข้ามน้ำข้ามเขามายังตงไห่ หนทางยาวไกล เมื่อมาถึงตงไห่แล้ว พวกเขาจะกินอะไร ดื่มอะไร?” ซูเฟิ่งหลิงเอ่ยเสียงเคร่งขรึม: “พี่สะใภ้ ตอนนี้พวกเราไปหาองค์รัชทายาทที่ห้องหนังสือกันเถิด ดูว่าพระองค์ทรงมีแผนการเช่นไ
ภายในค่ายผู้ลี้ภัยมีเสียงด่าทอดังกึกก้องสะท้านโสต! เหล่าขุนนางส่งเสียงอื้ออึง “อะไรนะ?” “เหตุใดผู้อพยพพวกนี้จึงยินยอมไปตงไห่?” “พระราชโองการยังมาไม่ถึงมิใช่หรือ?” เหล่าขุนนางมองหน้ากันเลิ่กลั่ก งุนงงสงสัยยิ่งนัก “พระราชโองการมาถึงแล้ว!” เสียงกังวานดังก้องอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย เหล่าผู้อพยพต่างมีสีหน้าตกตะลึงงัน “พระราชโองการ!” “ฝ่าบาททรงระลึกถึงพวกเราแล้ว รีบคุกเข่าลงเร็ว!” “...” ผู้อพยพนับแสนต่างค้อมกายลงคุกเข่า หมอบกราบถวายความเคารพอย่างสูง เว่ยซวินถือพระราชโองการ เดินผ่านเหล่าขุนนางไป มิได้สนใจแม้แต่น้อย มุ่งตรงไปยังค่ายผู้ลี้ภัย คลี่พระราชโองการออกช้า ๆ: “สนองโองการสวรรค์ ฝ่าบาทมีราชโองการดังนี้ ปัจจุบันผู้อพยพในเมืองหลวงอดอยากปากแห้ง มีผู้คนล้มตายเพราะความอดอยากเกลื่อนกลาด เป็นความทุกข์ร้อนในใจของข้า บัดนี้ตงไห่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ สามารถแก้ไขความเดือดร้อนเร่งด่วนของราษฎรได้ จึงมีบัญชาให้ผู้อพยพทั้งหนึ่งแสนคนในเมืองหลวง เดินทางไปยังตงไห่พร้อมกัน ชักช้ามิได้แม้เพียงครู่ยาม ห้ามผู้ใดขัดขวางโดยเด็ดขาด!” “จงปฏิบัติตามนี้!” สายตาของเว่ยซวินจับจ้องไปยังเหล่าเ
ภายในค่ายผู้ลี้ภัยเนืองแน่นไปด้วยผู้คน แต่ละคนล้วนสวมใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ต่างมองตาละห้อยมายังหนิงชิงโหว เสียงเด็กร้องไห้งอแงดังแว่วอยู่ข้างหู สภาพแวดล้อมในค่ายผู้ลี้ภัยยามนี้เลวร้ายอย่างยิ่ง ไม่มีขุนนางผู้ใดยินดีเข้ามารับผิดชอบ น้ำเน่าไหลนองไปทั่ว อากาศค่อย ๆ อุ่นขึ้น เริ่มมีแมลงวันแมลงหวี่แพร่พันธุ์ หนิงชิงโหวสูดลมหายใจลึก เอ่ยเสียงเคร่งขรึม: “บัดนี้เบื้องหน้าพวกท่านมีเพียงหนทางรอดเดียว ฉวยโอกาสที่อากาศยังมิได้ร้อนอบอ้าว รีบเดินทางไปยังตงไห่เพื่อพึ่งพิงองค์รัชทายาททันที เมื่อถึงตงไห่ องค์รัชทายาทย่อมไม่ทรงทำให้พวกท่านลำบากเป็นแน่ มิเช่นนั้นหากยังคงอยู่ในเมืองหลวงต่อไป ก็มีแต่ทางตายสถานเดียว!” หนิงชิงโหวสีหน้าเคร่งขรึม ผู้อพยพเบื้องหน้ามืดฟ้ามัวดิน มองไปสุดลูกหูลูกตา มิอาจเห็นจุดสิ้นสุดได้เลย นี่จะต้องมีผู้อพยพมากมายเพียงใดกัน และมีครอบครัวที่เคยสมบูรณ์พูนสุขสักกี่ครอบครัวกันเล่า? เพียงเพราะภัยสงคราม จึงต้องตกอยู่ในสภาพพลัดพรากไร้ที่อยู่อาศัย หนิงชิงโหวตวาดเสียงดัง: “ผู้ใดเชื่อมั่นในองค์รัชทายาท ผู้นั้นรอด! ผู้ใดกังขาในองค์รัชทายาท ผู้นั้นตาย!” แม้สุ้มเสียงของหนิงชิงโหวจ
หนิงชิงโหวในชุดบัณฑิตผู้นี้ดึงดูดความสงสัยใคร่รู้ของเหล่าผู้อพยพได้ในที่สุด พวกเขาต่างพากันเดินเข้ามาหา ในไม่ช้า รอบกายของหนิงชิงโหวก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากมายมหาศาลในสายตาของผู้อพยพ หนิงชิงโหวในชุดบัณฑิตปรากฏตัวที่นี่ ย่อมต้องเป็นผู้รับคำสั่งราชสำนักมาแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบภัยเป็นแน่ เหล่าผู้อพยพต่างหยิบชามกระเบื้องในมือขึ้นมา วิงวอนขอเสบียงอาหารจากหนิงชิงโหว ทันใดนั้น หนิงชิงโหวกลับรู้สึกว่าตนเองช่างต่ำต้อยถึงเพียงนี้ แม้นได้อ่านตำราปราชญ์จนเจนจบ แต่ก็มิอาจหาหนทางแก้ไขปัญหาในความเป็นจริงจากในตำราเหล่านั้นได้ บัดนี้ราษฎรผู้ทุกข์ยากอยู่เบื้องหน้า แต่เขากลับจนปัญญา ไร้ความสามารถจะช่วยเหลือ จำนวนผู้อพยพเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สถานการณ์เริ่มจะวุ่นวาย กระทั่งมีผู้อพยพจำนวนไม่น้อยเริ่มดึงทึ้งชายเสื้อของหนิงชิงโหว แต่หนิงชิงโหวก็มิได้หวั่นไหว ในแววตาของเขามีเพียงราษฎรผู้ทุกข์ยากเหล่านี้ นี่คือเขตเมืองหลวง ใต้พระบาทโอรสสวรรค์แท้ ๆ ในต้าเซี่ยอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ยังมีราษฎรเช่นนี้อีกเท่าใดกัน เขาเองก็ยากจะจินตนาการได้ พลันเกิดเพลิงแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนขึ้นในใจของหนิงชิง
“ให้ผู้อพยพหนึ่งแสนคนไปตงไห่รึ?” เหล่าขุนนางต่างส่งเสียงฮือฮา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่ออย่างยิ่ง เจ้ากรมคลังเอ่ยเสียงเคร่งขรึม: “เว่ยกงกง สถานการณ์ที่ตงไห่ในยามนี้ หรือฝ่าบาทจะยังไม่ทรงทราบ? ราษฎรที่ตงไห่ต่างร้องทุกข์กันระงม หากส่งผู้อพยพหนึ่งแสนคนนี้ไปยังตงไห่ แล้วจะต่างอันใดกับการผลักไสพวกเขาให้ลงไปในหลุมไฟเล่า?” “ยิ่งไปกว่านั้น จลาจลของราษฎรที่ตงไห่ยังมิได้สงบลง หากส่งผู้อพยพอีกหนึ่งแสนคนนี้ไปอีก มิใช่เป็นการส่งเสริมให้คนชั่วเหิมเกริม เป็นการขุดหลุมฝังตนเองหรอกหรือ?” เหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนตื่นตระหนก หรือว่าฝ่าบาทจะทรงเลอะเลือนไปแล้วจริง ๆ? การจัดการกับผู้อพยพเช่นนี้ถือเป็นหนทางที่เลวร้ายที่สุด มีแต่จะทำให้สถานการณ์ในราชสำนักยิ่งปั่นป่วนวุ่นวาย เจ้ากรมกลาโหมก้าวออกมายืนขวางหน้าเว่ยซวิน: “เว่ยกงกง หากในใจข้ายังพอมีมโนธรรมหลงเหลืออยู่ ยังคงห่วงใยทุกข์สุขของราษฎร และยังถือว่าพอจะมีกึ๋นอยู่บ้าง ข้าย่อมไม่ไปประกาศพระราชโองการเช่นนี้ของฝ่าบาทเป็นแน่!” ทันใดนั้น เพลิงโทสะในใจของเว่ยซวินก็ลุกโชนขึ้น ในฐานะขันทีในวัง สิ่งที่ชิงชังที่สุดคือการถูกผู้อื่นขุดคุ้ยปมด้อยของตน!
มวลชนต่างเงียบงันไร้คำพูด เหล่าขุนนางทั้งร้อยต่างยึดถือความคิดที่ว่าธุระไม่ใช่ แขวนไว้สูงเสีย แม้นในเมืองหลวงจะมีผู้อพยพนับล้าน แล้วจะเกี่ยวข้องอันใดกับเหล่าเจ้ากรมผู้หลักผู้ใหญ่ในราชสำนักเช่นพวกเราเล่า? เงียบสงัด ณ ลานหยกขาว แม้นมีเข็มเล่มหนึ่งตกสู่พื้นยังได้ยินเสียง เจ้ากรมคลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ: “หรือว่าพวกท่านคิดจะนิ่งเงียบกันต่อไปเช่นนี้? คิดว่าเรื่องของผู้อพยพไม่เกี่ยวข้องอันใดกับขุนนางในราชสำนัก แต่บัดนี้หากยังคงปล่อยปละละเลยต่อไป เมืองหลวงก็จะถึงกาลวิบัติในไม่ช้า ถึงเวลานั้นฝ่าบาทคงไม่ทรงเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกท่านเป็นแน่” “ผลพลับย่อมเลือกผลนิ่มมาบีบ สุกรปีใหม่ย่อมเลือกตัวอ้วนมาเชือด ถึงเวลานั้น... หึหึ!” เจ้ากรมคลังกวาดตามองเหล่าขุนนางด้วยแววตาพิจารณาอย่างสนใจ เพียงชั่วพริบตา เหล่าขุนนางพลันส่งเสียงอื้ออึงด้วยความแตกตื่น หากสถานการณ์ดำเนินไปถึงขั้นที่เมืองหลวงเกิดจลาจลขึ้นจริง ๆ ฮ่องเต้หวู่ย่อมต้องดำเนินการสะสางกับเหล่าขุนนางเป็นแน่ ถึงเวลานั้น ทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนยากจะรอดพ้นจากความผิดไปได้! เหล่าขุนนางพลันตื่นตระหนกเสียขวัญ “บั
ฮ่องเต้หวู่ตบมือชื่นชม ตรัสว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าเก้าจะมีความคิดยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ สามารถนำเกลือหมางเซียวของธรรมดาๆ เช่นนี้มาทำน้ำแข็งได้ ต่อไปภายหน้าน้ำแข็งก็จะลดต้นทุนลงได้ เข้าถึงบ้านเรือนของราษฎร ให้ราษฎรได้ใช้ประโยชน์”เว่ยซวินแย้มยิ้ม “ฝ่าบาท ยามนี้ทุกครัวเรือนของราษฎรตงไห่ต่างมีปลาที่จับได้กองเป็นภูเขา อากาศก็ค่อยๆ ร้อนขึ้น การจัดเก็บปลาเหล่านี้จึงเป็นปัญหาใหญ่อย่างแท้จริง ยามนี้เมื่อมีวิธีทำน้ำแข็งนี้แล้ว ราษฎรก็จะสามารถเก็บปลาเหล่านี้ไว้ได้นานขึ้นอีกหลายวัน ปัญหาทุพภิกขภัยก็จะคลี่คลายได้ นับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่พยักหน้า “สหายพูดมีเหตุผล ข้ารู้อยู่แล้ว พ่อเสือย่อมไม่ให้กำเนิดลูกสุนัข! เจ้าเก้าไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาวเป็นอันขาด หากข้าไม่ได้ทำความเข้าใจให้ชัดเจน ข้าเกรงว่าคงจะเข้าใจเขาผิดไปแล้ว!”“ไม่เลว ไม่เลว! การกระทำของเจ้าเก้าครานี้ถูกใจข้ายิ่งนัก ข้าพอใจมาก ส่งคำสั่งลงไป ข้าจะปูนบำเหน็จรางวัลใหญ่ให้องค์รัชทายาท!”เว่ยซวินพยักหน้า ทูลว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมจะไปถ่ายทอดคำสั่งเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาหลินพลันลุกขึ้นยืน ราวกับทรงนึกเรื่องใดขึ้นมาได้
แต่เมื่อครั้งหลี่หลงหลินเพิ่งไปถึงตงไห่ ก็สร้างผลงานใหญ่โต ทำให้ชาวประมงจับปลาได้มากมาย ทำให้ฮ่องเต้หวู่ทรงสงสัยยิ่งนักเว่ยซวินส่ายหน้า “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้เกรงว่าคงต้องให้ฝ่าบาททรงไปพบและสอบถามองค์รัชทายาทด้วยพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่พยักหน้า ในแววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม “คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กคนนี้จะสร้างเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ที่ตงไห่ โดยที่ข้าไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย”แววตาของฮ่องเต้หวู่จับจ้องไปยังชามที่ใส่น้ำแกงปลา พึมพำว่า “พูดไปก็น่าแปลก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะข้าคิดไปเองหรือไม่ แต่รู้สึกอยู่เสมอว่าน้ำแกงปลานี้ขาดรสชาติบางอย่างไป”ฮองเฮาหลินตกใจอย่างมาก “ฝ่าบาท เป็นเพราะฝีมือของหม่อมฉันไม่ดี ทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยหรือเพคะ?”เว่ยซวินเองก็ตกใจ น้ำแกงปลานี้เป็นปลาหวงฮื้อใหญ่ชั้นดีที่หลี่หลงหลินส่งมาด้วยตนเอง หากฝ่าบาททรงติเรื่องน้ำแกงปลา ก็ไม่เท่ากับว่ากำลังติหลี่หลงหลินหรอกหรือ? หรือว่าเป็นเพราะประโยคที่ข้าพูดไปเมื่อครู่ไม่ถูกต้อง จึงทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัย?ฮ่องเต้หวู่ส่ายหน้าตัดว่า “ปกติข้าชอบกินปลาที่สุด แต่เนื้อปลาทั้งหมดที่เคยกินมามักจะมีกลิ่นคาวท
ความยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้หวู่ เปี่ยมด้วยความพอใจอย่างยิ่ง “เจ้าเก้านี่มักจะทำให้ข้าประหลาดใจได้เสมอจริงๆ”ฮ่องเต้หวู่ทรงยกน้ำแกงปลาเบื้องหน้าขึ้น ค่อยๆ ลิ้มรสความหวานละมุน รสชาติยังคงติดตรึง ยิ่งกว่าความอร่อยที่รับรู้ทางรสสัมผัสคือความรู้สึกอิ่มเอมในพระทัยเมื่อเห็นฝ่าบาททรงพอพระทัยยิ่งนัก ฮองเฮาหลินจึงรีบทูลว่า “ฝ่าบาท หากฝ่าบาททรงโปรด หม่อมฉันสามารถทำน้ำแกงปลาถวายฝ่าบาทได้ทุกวัน เพื่อบำรุงพระวรกายของฝ่าบาทเพคะ ยิ่งไปกว่านั้น แม้พระโอรสจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ นี่ก็เป็นความกตัญญูของเขาเพคะ”ฮ่องเต้หวู่ทรงดื่มน้ำแกงปลาในชามจนหมดสิ้น ก็รู้สึกสบายพระวรกาย “ข้าไม่เคยได้ลิ้มรสเนื้อปลาที่สดอร่อยถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงว่าที่ตงไห่จะมีปลาพันธุ์ดีรสเลิศเช่นนี้อยู่ด้วย วันนี้ข้าถือว่าได้อิ่มหนำสำราญแล้ว!”เมื่อเห็นฮ่องเต้หวู่ทรงสำราญพระทัย ก้อนหินที่ถ่วงอยู่ในใจของฮองเฮาหลินก็คลายลง นางกลัวว่าฮ่องเต้หวู่จะทรงลงพระอาญาแก่หลี่หลงหลิน ในความเห็นของฮองเฮาหลินแล้ว น้ำแกงปลาชามนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับชะตากรรมของหลี่หลงหลินทีเดียวฮ่องเต้หวู่มองไปที่เว่ยซวินอย่างสนพระทัยยิ่ง ตรัสว่า “สหาย เล่าให้ข้