ซ่างกวนอวิ๋นซีนั่งตัวตรง จ้องมองฉินซูด้วยสายตาเย็นชา!ส่วนฉินซูก็มิยอมอ่อนข้อ จ้องตอบกลับไปบรรยากาศในห้องมาคุขึ้นฉับพลัน ประหนึ่งพร้อมชักดาบ ชักธนูขึ้นประหัตประหารกันทันใดนั้น ซ่างกวนอวิ๋นซีก็เอนกายลงบนเก้าอี้ยาว กล่าวอย่างมิแยแสว่า “ได้ ยกเว้นให้เจ้าเรื่องหนึ่ง พอใจหรือยัง?”ฉินซูขมวดคิ้ว รู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนท่าทีกะทันหันของซ่างกวนอวิ๋นซีแต่ในเมื่ออีกฝ่ายยอมผ่อนปรน เขาก็วางใจ!“ได้ เช่นนั้นก็ไม่มีธุระอันใดแล้ว ข้าขอตัว!”ฉินซูกล่าวจบก็หันหลังเดินจากไปเมื่อถึงหน้าประตู เสียงของซ่างกวนอวิ๋นซีก็ดังขึ้นอีกครั้ง “อย่าถึงขั้นเอาชีวิต!”ฉินซูชะงักไปอีกครั้ง แต่เมื่อก้มมองสาส์นท้าประลองที่เพิ่งได้รับมาในมือ เขาก็เข้าใจในทันทีดังนั้นจึงกล่าวโดยมิหันหลังกลับ “คนอื่นมิล่วงเกินข้า ข้าก็มิล่วงเกินใคร หากใครล่วงเกินข้า ข้าจะสังหารให้สิ้น!”ได้ยินดังนั้น ซ่างกวนอวิ๋นซีก็ขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย จากนั้นก็สั่งกำชับนางรับใช้ที่หน้าประตู “ไป! ไปช่วยคนพวกนั้นด้วย”“น้อมรับบัญชา!”นางรับใช้ค้อมกายทำความเคารพ ร่างไหววูบหายลับไปจากหน้าประตู......ฉินซูออกจากหอดารารักษ์ มุ่งหน้าตรงไ
พิธีแต่งตั้งบุตรแห่งนักปราชญ์ครั้งนี้ ต้องคุกเข่าสักการะฟ้าดินมิได้มีปัญหากระไร แต่ถึงกับต้องคุกเข่าคารวะองค์จักรพรรดิแห่งเป่ยเยี่ยนและเจ้าสำนักหอดารารักษ์ เขารับมิได้จริง ๆ“มิได้ ต้องไปพูดกับยายเฒ่าบ้านั่นให้รู้เรื่องเสียก่อน จะให้ข้าคุกเข่าต่อจักรพรรดิแห่งเป่ยเยี่ยน ต้าเหยียนของข้าจะมิเสียหน้าหรือไร?”เขาพึมพำจบ ก็ตั้งใจจะขึ้นไปหาซ่างกวนอวิ๋นซีที่ชั้นบนทันใดนั้นเอง บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามา ค้อมกายทำความเคารพ “เรียนท่านบุตรแห่งนักปราชญ์!”ฉินซูโบกมือแล้วเอ่ยถาม “มีอันใด?”“มีชาวยุทธภพรมาที่ด้านนอกขอรับ เขาให้บ่าวนำจดหมายฉบับนี้ส่งให้ท่าน”เขากล่าวพลางยื่นจดหมายในมือให้“จดหมายหรือ?”ฉินซูเปิดดูด้วยความสงสัยเล็กน้อยอ่านจบ เขาก็ขมวดคิ้วในทันที เหลือบมองไปที่ประตู “คนส่งจดหมายเล่า?”“ไปแล้วขอรับ”“ได้ เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถิด”ฉินซูกล่าวจบ ก็ขึ้นไปหาซ่างกวนอวิ๋นซีเมื่อมาถึงชั้นเจ็ด เขาก็พบว่าซ่างกวนอวิ๋นซีกำลังเอนกายพักผ่อนอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้ตัวยาวชุดกระโปรงยาวสีแดงบางเบานั้น ขับเน้นรูปร่างอรชรส่วนโค้งเว้าได้รูปของนางออกมาเด่นชัดใต้ลำคอขาวผ่อง กระดูกไหปลาร้าท
เย่เทียนหนิงกล่าวความจริงปนเท็จว่า “ช่วงนี้ท่านเจ้าสำนักเอาแต่กักตนบำเพ็ญเพียร และยังมีกิจการร้อยพันให้จัดการในแต่ละวัน จะเอาเวลาที่ไหนมาสั่งสอนเขาเล่า พวกเราเห็นแล้วก็อดรนทนมิได้ เพียงแต่วรยุทธ์มิถึงขั้น ซ้ำยังโดนเขาดูถูกกลับมาอีกขอรับ!”เซี่ยจื่อผิงรีบเข้าเรื่องทันที “ท่านทั้งหลายล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือที่นับนิ้วได้แห่งเป่ยเยี่ยนของเรา อย่างไรเล่า จะมิลงมือสั่งสอนฉินซูผู้นี้หน่อยหรือขอรับ?”ชายชราชุดเทาผู้นั้นกล่าวโดยมิยั้งคิด “เด็กนั่นอวดดีจองหองถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบ มิเช่นนั้นเขาจะนึกว่าชาวยุทธภพเป่ยเยี่ยนของเรามีแต่คนขี้ขลาด!”ชายชุดขาวอีกคนก็กล่าวบ้าง “ในเมื่อท่านผู้เฒ่าเจ้าหุบเขาหลีกล่าวเช่นนั้น ซุนจิ้งผู้นี้จะอยู่เฉยได้อย่างไร นับข้าด้วยอีกคน!”ชายวัยกลางคนหนวดเคราเฟิ้มผู้นั้นดูสุขุมกว่ามากเขาย่นคิ้วเล็กน้อยพลางถามว่า “ท่านจอมยุทธ์ทั้งสอง แม้พวกท่านจะมิอาจเอาชนะฉินซูได้ แล้วเหล่าผู้อาวุโสในหอดารารักษ์ของพวกท่านเล่า? เหตุใดพวกเขาจึงมิลงมือสั่งสอนบ้าง?”เย่เทียนหนิงทำทีทอดถอนใจอย่างจนใจ “ท่านเจ้าสำนักสวี่มิทราบกระไร ฉินซูเป็นถึงบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่
ครู่ต่อมาก็มีเสียงโครมดังขึ้น ฉินซูร่วงลงมาจากชั้นเจ็ดกระแทกลานจนเกิดเป็นหลุมยุบ!“ว้าย ตาเถรหกตกใต้ถุน!”หวังจื่อโหรวซึ่งกำลังเดินผ่านมาพอดี ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ นางลูบหน้าอกป้อย ๆ ด้วยความตกใจฉินซูรู้สึกราวกับร่างกายกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ตะโกนเรียกหวังจื่อโหรว “นั่นใคร ช่วยดึงข้าขึ้นไปได้หรือไม่?”หวังจื่อโหรวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังยื่นมือหยกอ่อนนุ่มดุจต้นหอมให้กับฉินซู แล้วดึงเขาขึ้นมาจากหลุม“แค่ก ๆ ขอบคุณ” ฉินซูสูดหายใจลึก ๆ สองสามครั้ง จึงค่อยฟื้นคืนกำลัง“มิเป็นกระไร ว่าแต่… เจ้าตกลงมาได้อย่างไร?”“ถูกยายเฒ่าบ้าผู้นั้นโยนลงมาอย่างไรเล่า จื่อโหรว เจ้าเป็นคนดี อย่าได้เลียนแบบความรุนแรงของคนบางคนเชียว!”เพียงสิ้นคำฉินซู เสียงเย็นชาของซ่างกวนอวิ๋นซีก็ลอยลงมาจากเบื้องบน“หากเจ้ายังเจ็บตัวมิพอ ข้าจะสนองให้เจ้าอีกครา!”ฉินซูเงยหน้ามองไปยังชั้นเจ็ด กล่าวอย่างคับแค้นใจ “ดี! ท่านลองลงมืออีกทีสิ ข้าจะคอยดูว่าพิธีใหญ่ของท่านในอีกสามวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร!”ชั้นบนพลันเงียบสงัดเห็นดังนั้น หวังจื่อโหรวก็มองฉินซูด้วยความเลื่อมใส กล่าวกระซิบกระซาบว่า “เจ้าน
หลังจากกลับมาถึงหอดารารักษ์ ฉินซูก็ได้รับแจ้งว่าซ่างกวนอวิ๋นซีต้องการพบเขา จึงตรงขึ้นไปยังชั้นเจ็ดทันทีที่เขาก้าวเข้าประตู สายตาที่เปี่ยมด้วยไอสังหารของซ่างกวนอวิ๋นซีก็จับจ้องอยู่ที่เขา!รู้สึกได้ถึงไอสังหารที่เย็นเยียบในแววตาของซ่างกวนอวิ๋นซี ฉินซูพลันรู้สึกเสียงสันหลังวาบเขารวบรวมสติ บังคับตัวเองให้สงบลงแล้วถามว่า “เอ่อ… ดูเหมือนข้าจะมิได้ล่วงเกินท่านนะ?”“เจ้าเคยกล่าวสิ่งใดเอาไว้ ยังต้องให้ข้าย้ำเตือนอีกรึ?” ซ่างกวนอวิ๋นซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบฉินซูขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก แต่ก็ยังนึกมิออกว่าตนไปยั่วโมโหกระไรนางดังนั้นจึงจำใจกล่าวว่า “พี่ใหญ่ หากข้าล่วงเกินท่านอย่างไร ท่านก็บอกมาตรง ๆ เถิด ท่านทำเช่นนี้ข้าใจเสียหมดแล้ว”“หึ สตรีวัยกลางคนอายุห้าสิบกว่า เจ้าจะบอกว่าเจ้ามิได้กล่าวคำนี้รึ?”ฉินซูสังเกตได้ว่า เมื่อซ่างกวนอวิ๋นซีกกล่าวเช่นนั้น ไอสังหารบนร่างของนางก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นอีกหลายส่วนเขาถอยไปที่ประตูโดยไม่รู้ตัว แล้วแก้ตัวว่า “ท่านอย่าเข้าใจผิดไป คำพูดของข้ามิได้มีความหมายอื่นใดแอบแฝง เพียงแต่กล่าวตามความจริงเท่านั้น ถึงอย่างไรตอนนั้นท่านก็ยอมรับเองมิใช่หรือ”“ข
มู่หรงหัวตื่นเต้นจนกำหมัดแน่น!“สวรรค์มาโปรดข้า สวรรค์มาโปรดข้าโดยแท้! เร็วเข้า รีบไปสืบหาที่อยู่ของท่านผู้อาวุโสจูเก๋อ มีข่าวคราวอันใดก็ให้รีบมารายงานทันที!”“ข้าน้อยรับพระบัญชา!”เหมิงตานรับคำแล้วก็พาคนออกไปทันที......ภายในคฤหาสน์ริมคูเมืองฉงชูโม่ถามอย่างสงสัย “ข่าวนั้นแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงจินหลิงแล้ว เหตุใดท่านผู้อาวุโสจูเก๋อของพระองค์ยังรออยู่ที่นี่ น่าจะปรากฏตัวให้องค์ชายสามแห่งเป่ยเยี่ยนช่วยเหลือแล้วมิใช่หรือเพคะ?”ฉินซูยิ้มพลางส่ายหน้า “หากปรากฏตัวในยามนี้ มู่หรงหัวย่อมสงสัย ดังนั้นให้คนของพวกเขาค้นหาตัวสักสองสามวันเสียก่อน เมื่อพวกเขาใกล้จะสิ้นหวังแล้วข้าค่อยปรากฏตัว นั่นจึงจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด”“ถูกของพระองค์ ว่าแต่ หม่อมฉันสังเกตเห็นว่า ในเมืองหลวงจินหลิงมีชาวยุทธภพเพิ่มขึ้นมากมาย ผู้คนเหล่านี้คงมิใช่ถูกบรรดาองค์ชายแห่งเป่ยเยี่ยนเรียกตัวมาหากระมัง?”“พวกเขามาเข้าร่วมพิธีแต่งตั้งบุตรแห่งนักปราชญ์แห่งหอดารารักษ์”ฉงชูโม่ประหลาดใจเล็กน้อย “พระองค์หมายความว่า ซ่างกวนอวิ๋นซีจะจัดพิธีรับตำแหน่งให้พระองค์หรือเพคะ?”“ใช่ นางบอกว่านี่เป็นกฎของหอดารารักษ์มาแต่โบราณ