หญิงสาวผู้หนึ่งนั่งทอดสายตาเหม่อลอย ดวงหน้าขาวเนียนราวหยกพิสุทธิ์ แก้มแต้มสีระเรื่อดั่งกลีบพีชในยามเช้า นัยน์ตาดำขลับทอดมองไร้จุดหมาย แต่กลับงดงามจนยากละสายตา
เส้นผมดำขลับถูกรวบไว้หลวม ๆ ริ้วผ้าโปร่งบางสะบัดไหวต้องลม ราวภาพวาด
ในร่างของ “อันไป๋เล่อ” อนุตัวร้ายของคุณชายรองเผย ผู้ไม่มีใครกล้ามายุ่ง เวลานี้มีหญิงสาวจากอีกภพหนึ่งสถิตอยู่
นาง...ผู้เกิดใหม่
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเกิดใหม่ครั้งนี้ จะได้มาอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้”
นางทอดถอนใจเบา ๆ
ชีวิตก่อน... คาเฟ่เล็ก ๆ ที่ลงมือสร้างขึ้นจากศูนย์ ต้นไม้ทุกต้นในนั้นล้วนเป็นความตั้งใจ
กุหลาบใหญ่ข้างทางที่เคยผลิดอกบานสะพรั่งทุกฤดู ใบไม้ของมันในยามสุดท้ายกลับเปลี่ยนสีและร่วงหล่นเพราะน้ำท่วม
นางได้แต่เฝ้ามองด้วยความรู้สึกปวดใจ เดิมทีก็มีปัญหาด้านสุขภาพปัญหารุ่มเร้าทำให้โรคหัวใจกำเริบ นางถึงได้มาเกิดใหม่ที่นี่
เฮ้อ!! สวรรค์คงลืมลบความทรงจำ
“อย่างน้อยสวรรค์ก็ให้โอกาสเริ่มต้นใหม่”
นางมองรอบสวน หญ้านุ่มล้อสายลม มุมแสงดี เงาไม้พอเหมาะ... หากได้ตั้งซุ้มชาเล็ก ๆ สักมุม ปลูกไม้หอมริมรั้วอีกสักหน่อย คงไม่เลว
“ที่นี่...ก็ดูจะเหมาะอยู่นะ”
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังใกล้เข้ามา ก่อนสาวใช้ผู้หนึ่งจะหยุดยืนด้านข้างเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่นเบา ๆ “อี้เหนียงสี่เจ้าคะ...”
“มีอะไร” หญิงสาวตอบเสียงห้วนตามนิสัยเดิมโดยไม่หันหน้า
อาเหมยรีบตอบ “ใกล้จะมื้อเที่ยงแล้วเจ้าค่ะ ท่านจะทานที่นี่ หรือจะกลับเรือนเจ้าคะ”
ลมเอื่อยแผ่วพัดผ่าน อันไป๋เล่อตอบ
“ยกมาที่นี่เถอะ ข้าจะนั่งต่ออีกสักครู่”
อันไป๋เล่อนั่งรับประทานมื้อกลางวันอย่างเงียบงันใต้ร่มเงาต้นหลิว ผืนพรมหญ้าถูกปูด้วยผ้าเรียบสะอาด บนโต๊ะตัวเล็กมีสำรับเรียบง่าย ตระกูลเผยตกอับ ถึงแม้เงินที่จ่ายค่าอาหารตอนนี้จะเป็นของนางแต่ก็ไม่กล้าทำอาหารชั้นสูงเกินไป ยามปกตินางจะบ่นหลายคำก่อนจะฝืนกลืนกินลงไปทว่าไป๋เล่อคนใหม่ไม่รู้สึกย่ำแย่แต่อย่างไร
สาวใช้ได้แต่มองด้วยสายตาแปลกใจ
มือหนึ่งคีบผัก อีกมือประคองชามเบา ๆ ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยความคิดวุ่นวาย
“เรื่องราวมากมายเหลือเกิน... ข้าคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเข้าใจทุกอย่างในชีวิตใหม่นี้”
ยังไม่ทันได้ถอนใจ เสียงเล็ก ๆ เสียงหนึ่งก็ดังแว่วขึ้นจากพุ่มไม้ด้านหลัง นางหันไปช้า ๆ พลางเพ่งสายตา
“ใครกัน...”
“ข้าถามว่า...ใคร!”
เพียงไม่นาน พุ่มไม้ก็ไหวกระเพื่อมเล็กน้อย แล้วเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งก็โผล่ออกมา
เด็กชายหน้าตาน่ารักอายุราวห้าหรือหกขวบ ดวงตากลมโตใสแจ๋วแต่มีแววตื่นกลัวเล็กน้อย เสื้อผ้าสะอาดผ้าแพรไหมเนื้อดี ร่างเล็กผอมบางราวกับต้นกล้าอ่อน ๆ ที่เพิ่งเจอลมฝน
ในเสี้ยววินาทีนั้น อันไป๋เล่อก็จำได้ทันที...
“นี่...คือบุตรชายของนาง”
เฮ้อ...
หัวใจนางปวดหนึบขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด
อนุตัวร้ายเจ้าของร่างนี้... ไม่เคยใส่ใจบุตรชายเลยแม้แต่น้อย ยามตระกูลเผยยังรุ่งเรือง นางวางตัวห่างเหิน ไม่เคยอุ้ม ไม่เคยพูดดีด้วยสักคำ เพราะบุตรชายทำให้นางสูญเสียความงามและความโปรดปราน พอยิ่งตระกูลตกอับ นางงยิ่งรู้สึกว่าบุตรชายผู้นี้คือภาระ
ตอนนี้เจ้าของร่างเดิมกำลังเตรียมตัวออกจากจวนไปแต่งงานใหม่
บิดาของนาง...กำลังหาลู่ทางให้นางได้เข้าตระกูลอื่น แม้จะไม่สูงส่งเท่านายท่านรองเผยกู้หยาง แต่อย่างน้อย...ก็อาจทำให้นางมีชีวิตใหม่ที่
“ดีกว่าเดิม”
แต่...แล้วเด็กน้อยตรงหน้านี้เล่า?
เด็กชายพยายามยืดอกพูดเสียงเบา
“อี้เหนียง ข้าไม่ได้ตั้งใจมารบกวนท่าน ข้า...ข้าเดินผ่านมา...”
อันไป๋เล่อมองเด็กน้อยนิ่ง ๆ หัวใจบีบรัดราวถูกเฆี่ยนด้วยคำว่า "แม่ใจร้าย" ที่ดังก้องอยู่ในหูตนเอง
“เจ้ากินข้าวเที่ยงแล้วหรือยัง” นางเอ่ยถามแม้น้ำเสียงจะเย็นชาดูแฝงความอบอุ่นจาง ๆ
เด็กชายสะดุ้งเล็กน้อย บ่าวรับใช้รีบตอบ “ยังเจ้าค่ะ...คุณชายกำลังจะกลับเรือน...แต่คุณชาย เอ่อ...คุณชายเดินเล่นมาทางนี้ก่อน”
เด็กน้อยก้มหน้าแทบจะแนบอก
เพราะจริง ๆ แล้ว เขาแอบตามมาดู... เพราะคิดถึงมารดา
ไป๋เล่อลอบถอนหายใจหนัก มองเด็กน้อยที่ยังคงยืนก้มหน้า มือทั้งสองกำชายเสื้อแน่นเหมือนจะหายตัวได้ในพริบตา
“เช่นนั้นก็ไปยกมานี่” เสียงของนางเรียบเฉย ไม่อ่อนโยน แต่นั่นกลับทำให้เด็กชายเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“อี้เหนียง...จะให้ข้า…ข้า...กินที่นี่หรือขอรับ?”
น้ำเสียงนั้นเจือทั้งตื่นเต้นและลังเล
อันไป๋เล่อหันกลับไปคีบผักอย่างไม่แยแส
“อืม... ถ้าเจ้าไม่อยากกินก็ออกไป” นางเอ่ยอย่างเย็นชา ไม่ใช่เพราะรังเกียจ หากแต่...นางไม่รู้จะอ่อนโยนอย่างไรดีในร่างนี้
จู่ ๆ จะเปลี่ยนแปลงตนเองทันทีคงยากเกินไป ทั้งสายตาบ่าวไพร่ ทั้งความคุ้นชินของเด็กชายผู้นี้กับความเย็นชาของ “อันไป๋เล่อคนก่อน” ล้วนยังต้องแสดงต่อ
ทว่า...ถึงน้ำเสียงจะไม่แปรเปลี่ยน
ความรู้สึกของเด็กน้อยกลับเปี่ยมไปด้วยความดีใจจนเกินคำบรรยาย
เด็กชายพยักหน้าหงึก ๆ แล้วหันไปกระซิบกับสาวใช้อี้ชิง
อย่างลนลาน “อี้ชิง รีบไปยกข้าวมานะ! เร็วเข้า!”
อี้ชิงเองก็ตาโตไม่แพ้คุณชายตัวน้อย แต่พอเห็นแววตาของอันไป๋เล่อไม่ขัดข้อง นางก็รีบโค้งตัวแล้วหมุนตัววิ่งกลับเรือนไปทันที
เผยซ่งเหยา ยังคงยืนอยู่ข้างโต๊ะ
สีหน้าเปื้อนยิ้มเจิดจ้า เด็กชายไม่คิดมากหรอก
ไม่สนว่าน้ำเสียงของนางจะเย็นชาเพียงใด
แค่...มารดายอมให้เขานั่งกินข้าวด้วย เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ตอนที่ 35 ถูกจับได้ กู้เผยหยางเหลือบตามองคนตรงหน้าอีกครั้ง แววตาลึกล้ำคล้ายสืบค้นความจริงที่ซ่อนอยู่ภายใน ก่อนจะหัวเราะในลำคอแผ่วเบาเอ่ยต่อ“ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยสนิทแนบชิดกัน… บัดนี้กลับเหมือนคนแปลกหน้าที่ข้าอ่านไม่ออกเสียแล้ว”สุราที่ปลายนิ้วยกขึ้นสะท้อนเงาจากแสงตะวันยามเย็นวาววับ ทว่าดวงตาของเขากลับไม่ละจากไป๋เล่อแม้แต่วินาทีเดียว คล้ายจะรอคอยคำตอบบางอย่างจากริมฝีปากนางไป๋เล่อสะท้านในอก หัวใจราวกับถูกบีบรัดแน่น นางก้มหน้าหลบสายตาคมกริบที่ส่องทะลุเข้าไปในส่วนลึกของวิญญาณ ริมฝีปากเม้มแน่น ไม่รู้ควรอธิบาย หรือควรเงียบเพื่อรักษาความลับที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้ไป๋เล่อพยายามหาถ้อยคำมาแก้ต่าง เสียงแผ่วพลางยกจอกสุราขึ้น“ทุกคนที่ต้องหาหนทางของตนเอง…ย่อมต้องเปลี่ยนแปลง ผู้ใดเล่าจะคงความเป็นตัวเองได้ดั่งเดิม” นางกลบเกลื่อนความสั่นไหวในใจด้วยการรินสุราแล้วกระดกดื่มรวดเดียวกู้เผยหยางจ้องนางไม่กะพริบ มุมปากยกขึ้นอย่างยากจะหยั่งความหมาย น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยช้า ๆ“ฟังดูก็มีเหตุผล…แต่ข้ากลับเหมือนคำแก้ตัวเสียมากกว่า”เงียบงันชั่วอึดใจ บรรยากาศรอบศาลากลางสระบัวราวถูกแรงกดดันบางอย่างค
ตอนที่ 34 หลากหลายอารมณ์เผยกู้หยาง เหลือบตามองอันไป๋เล่อที่ยืนตะลึงงันอยู่ริมศาลา มุมปากของเขายกขึ้นเพียงเล็กน้อย รอยยิ้มบางนั้นแฝงความหมายเย้ยหยั่นไม่จริงจังท่าทางหลงใหลบุรุษเช่นนี้ นางก็ช่างกล้าแสดงออกมา รอยยิ้มเงียบ ๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่มโดยไม่ต้องมีคำใดเอื้อนเอ่ย แต่เพียงเท่านั้นกลับแผ่แรงกดดันบางอย่างแทรกเข้ามาในอารมณ์ของผู้คนรอบกายไป๋เล่อพลันรู้สึกเหมือนคลื่นใต้น้ำโอบรัดหัวใจ นางประหม่าอย่างบอกไม่ถูก สายตาคมดุจดาบที่จับจ้องมาพร้อมรอยยิ้มมาดหมายไม่แน่ชัดของเขา แทบจะฉุดวิญญาณของนางออกจากร่างลาบอส… ลาบอส คำนี้พลันผุดขึ้นมาในห้วงความคิดของนาง เป็นเสน่ห์ร้ายแรงที่นางไม่อาจละสายตาได้รอยยิ้มเดียวก็สามารถทำให้นางแทบหยุดหายใจไป๋เล่อ รีบก้มหน้าลงเล็กน้อย พยายามข่มใจมิให้เผยพิรุธออกมา นางสูดหายใจแผ่ว ๆ พยายามรักษาใบหน้าให้มากที่สุด หัวใจของนางก็ราวกับถูกบีบคั้นอยู่ในอกไปทุกจังหวะที่เขาดีดเล่น แทบเก็บอาการไม่อยู่กรี๊ดออกมาเมื่อเสียงสายพิณสุดท้ายดับลง ความเงียบก็ปกคลุมไปทั่วศาลากลางสระบัว เผยกู้หยาง ค่อย ๆ วางพิณลงด้วยท่วงท่าสง่างาม ก่อนเงยหน้าขึ้นมองไป๋เล่อที่ยังยืนประหม่
ตอนที่ 33 สายตาคับแคบ คล้อยหลังเผยกู้หยาง บ่าวหน้าเรือนตำราก็เดินเข้าไปรายงานเผยถังว่าก่อนหน้านี้ฮูหยินมา เผยถังได้ยินเช่นนั้นหลังจากจัดการหนังสือหลายอย่างจึงลุกขึ้นไปหาจางลั่วผิงที่เรือนใหญ่ เรือนใหญ่ เมื่อก้าวเข้าไป เห็นจางลั่วผิงนั่งตรวจบัญชีบางอย่างอยู่ นางเงยหน้าขึ้น พอเห็นสามีก็วางมือลง พลางเอ่ยเสียงนุ่ม“เสร็จธุระแล้วหรือเจ้าคะ”เผยถังพยักหน้ารับ ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนลงมองสมุดบัญชีกล่าว “ลำบากเจ้าแล้ว” หากไม่ใช่เพราะมีตัวเลขที่ไม่เหมาะสมงานบัญชีเหล่านี้ควรให้สะใภ้ใหญ่จัดการได้เลยจางลั่วผิงยกยิ้มบาง “ลำบากอันใดกันเล่า… อยู่ที่นี่มาหลายปี ข้ากลับรู้สึกว่าดีนัก มีเพียงเกรงว่า ข้าอาจทำหน้าที่ไม่ดีพอเท่านั้น”เผยถังสบตานาง เอ่ยหนักแน่น“ความทุ่มเทใส่ใจของเจ้า ผู้ใดย่อมรับรู้”ลัวมาม่ายกจานผักสลัด พร้อมน้ำชากาใหม่เข้ามา “คุณชายรองนี่ช่างกตัญญูนักเจ้าค่ะ ได้ยินว่าฮูหยินไม่ค่อยทานอาหาร พอเห็นของสดแปลกตาก็รีบสั่งให้คนซื้อกลับมาให้ฮูหยินทันที”จางลั่วผิงเพียงหัวเราะเบา ๆ แต่แววตาเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนเผยถังยกถ้วยชาขึ้นจิบ มีสีหน้าพึงพอใจเขาวางถ้วยชาลง ก่อนจะเอ่ย “แล้
ตอนที่ 32 ช่างไม่รู้ความส่วนจางลั่วผิงเมื่อแยกจากสะใภ้ใหญ่แล้วก็ลอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบา บ่าวที่คอยประคองเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ฮูหยินจะเสด็จไปพักผ่อนในเรือนหรือไม่เจ้าคะ”นางเพียงส่ายหน้าเบา ๆ พลางเอ่ยว่า “ไปดูสิว่านายท่านอยู่ที่ใด”ลัวมาม่าจึงหันไปสั่งบ่าวด้านข้าง ไม่นานบ่าวผู้นั้นก็รีบกลับมากล่าวรายงาน “เรียนฮูหยิน...นายท่านอยู่ที่เรือนตำราเจ้าค่ะ”นางพยักหน้ารับเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ“เช่นนั้นก็ไปยังเรือนตำราเถิด”จางลั่วผิงก้าวมาถึงหน้าเรือน บ่าวที่เฝ้าอยู่เห็นนางก็รีบวิ่งเข้ามาคารวะทันที “เรียนฮูหยิน...เวลานี้นายท่านกำลังสนทนาอยู่กับคุณชายรองขอรับ”นางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าไม่ต้องเข้าไปบอกพวกเขา... ข้ามิได้มีธุระอันใดสำคัญนัก...กลับเรือนเถิด”ลัวมาม่าไม่แสดงสีหน้า ประคองเผยฮูหยินกลับเรือนหลักส่วนข้างใน เรือนตำรา เผยกู้หยางคือคุณชายรองแห่งตระกูลเผย ทว่าท่าทีที่เขากับเผยถังผู้เป็นบิดาแสดงออกในยามนี้กลับแตกต่างไปจากสิ่งที่ควรเป็น“ข้าต้องขออภัย ที่มิได้บอกกล่าวท่านล่วงหน้า” เผยกู้หยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบขรึมเผยถังรีบตอบกลับด้วยท่าทีอ่อนน้อม
ตอนที่ 31 ตระหนักการรับจัดของวาง นับเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สร้างรายได้ให้ไป๋เล่อไม่น้อย ความสามารถพิเศษที่ลูกค้าชื่นชอบคือ นางมักใส่ใจความหมายของงานในแต่ละครั้ง จัดขนมให้สอดคล้องกับวาระมงคลไป๋เล่อนั่งเขียนบัญชีเสร็จพอเห็นตัวเลขก็เงยหน้าขึ้นยิ้มกว้าง“รับทำขนมในงานเลี้ยงครั้งเดียว กำไรถึงสองร้อยตำลึงเชียว”อาเหมยนั่งพับผ้าอยู่ข้าง ๆ รีบเอ่ยแทรกเสียงสดใส“คุณหนู หากท่านอยู่ในเมืองหลวง ที่มีงานเลี้ยงน้ำชาวันเว้นวัน เช่นนั้นคงมีลูกค้ามากจนทำขนมแทบไม่ทันเจ้าค่ะ”ไป๋เล่อหัวเราะเบา ๆ พลางพยักหน้ารับเห็นด้วย “ก็จริง…ทว่าในเมืองใหญ่มิคงมีเพียงลูกค้า หากยังมีคู่แข่งนับไม่ถ้วนเช่นกัน อยู่ที่นี่ฝึกปรือฝีมือไปก่อนคงดีกว่า”นางวางพู่กันลง พลางคิดถึงเจียงจิง “พี่สาวเจียงจิงก็คงได้กำไรไม่น้อย…จากการทำน้ำอบดอกเหมย”ไป๋เล่อพูดเสร็จก็ได้ยินเสียงเคาะเบา ๆ ดังขึ้นที่ประตู “ไป๋เล่อ” เสียงเจียงจิงดังเรียกอยู่นอกเรือน“เข้ามาสิพี่สาว” ไป๋เล่อเอ่ยตอบประตูเลื่อนเปิดออก เจียงจิง ก้าวเข้ามาในชุดเรียบสะอาด ติดมือถือถุงผ้าเล็ก ๆ มาวางตรงหน้าของไป๋เล่อ นางยกยิ้มอ่อนโยนก่อนเอ่ยเสียงจริงใจ “นี่เป็นกำไรจากน้ำอบดอ
ตอนที่ 30 ว่าที่สะใภ้รองเมื่อได้ปลดความค้างคาในใจออกไป อาเหมยก็กลับมาร่าเริงเช่นเดิม พวกนางทั้งสี่คนยังคงตื่นแต่เช้าตรู่ จัดทำขนมและน้ำอบเพื่อนำไปวางแผงขายตามเคยเช้าวันนั้น ซูหลิงมาดักรออยู่ก่อนแล้ว ครั้นเห็นพวกนางก็รีบเอ่ยขึ้น“อีกไม่กี่วันคุณหนูของข้าจะมีพิธีปักปิ่น จึงอยากจ้างพวกเจ้าจัดทำอาหารว่าง เพียงแต่ไม่อยากได้ขนมที่ซ้ำกับที่เจ้าขายอยู่ตามแผง”ไป๋เล่อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ “เช่นนั้น…พรุ่งนี้แม่นางซูช่วยมารับขนมตัวอย่างไปให้คุณหนูของท่านลิ้มลอง หากนางโปรดสิ่งใด ข้าจะจัดทำให้ เพียงแต่ราคาคงสูงกว่าที่ขายตามแผงอยู่บ้าง”ซูหลิงยังไม่ทันเอ่ยอะไร ซูหมิงที่ยืนเคียงข้างก็รีบพูดขึ้นทันที “เรื่องเงินมิใช่ปัญหา พรุ่งนี้ข้าจะมารับด้วยตนเอง… อ้อ วันนี้เจ้ามีบะหมี่ลุยสวนหรือไม่ เอาให้ข้าสามกล่อง แล้วก็ซางเกาสักห้าชิ้นด้วย”ไป๋เล่อรีบจัดของให้พวกนางทันที ภายในใจก็เริ่มวางแผนขนมที่จะทำให้คุณหนูรองผู้นี้ ในเมื่อเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเช่นนั้นก็ทำของแพงที่สุดขนมอบถั่วหอมหรือมาการองนั่นเองและก็ขนมพื้นเมืองที่ไม่ธรรมดา เจียงจิงหันไปยิ้มให้ไป๋เล่อ “ไม่ทันไ