หลังจากพูดคุยข้อตกลงกันเรียบร้อย อัศวินและพิมภานัดเจอแล้วพูดคุยเรื่องนี้อย่างจริงจัง สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะแต่งงานกันตามความต้องการของพวกผู้ใหญ่ที่ตกลงกันเอาไว้จริง ๆ
ใช้เวลาเตรียมงานแต่งไม่นานก็ถึงวันแต่งงาน ภายในงานเชิญแขกมาไม่มากนัก เพราะเป็นงานเลี้ยงภายในจึงเชิญแต่คนสำคัญ ที่มีแต่นักธุรกิจชื่อดัง คนมีชื่อเสียงและมีอำนาจในประเทศ ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียและมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลสิงหมนตรีที่จะได้รับเชิญมางานเท่านั้น
เมื่อมองดูแล้ว พิมภาก็เข้าใจว่าทำไมพ่อของตนอยากให้เธอแต่งเข้าตระกูลนี้นักหนา เพราะความยิ่งใหญ่ที่ยากจะหาใครมาเทียบนี่เอง นักข่าวก็เชิญมาเฉพาะสำนักข่าวชื่อดังและนักข่าวฝีมือดีเท่านั้นเพื่อให้ในงานไม่วุ่นวาย
ทุกคนต่างชื่นชมยินดี บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยความหรูหรา จนกระทั่งเจ้าสาวปรากฏตัวขึ้น ทุกสายตาหันกลับไปจับจ้องที่ตัวของเจ้าสาว ไม่เว้นแม้แต่ตัวอัศวิน
ชายหนุ่มเดินหน้านิ่งค่อนข้างไปทางดุดันเพราะไม่ค่อยพอใจ ถึงแม้จะตกลงกันแล้วแต่เขาก็มีความรู้สึกต่อต้านอยู่ไม่น้อย แต่พอเจ้าสาวที่ตนไม่ได้เป็นคนเลือกเองอย่างตั้งใจตั้งแต่แรกปรากฏตัวเท่านั้น สายตาและสีหน้าของอัศวินก็เปลี่ยนไปในทันที เพียงเสี้ยววินาที ใบหน้าที่เคยดุดันและแววตาเย็นชาก็เปลี่ยนไป
เขาจ้องมองเจ้าสาวในชุดแต่งงานสีขาวฟูฟ่อง ความสวยงามของชุดนั้นไม่อาจทำให้ดวงหน้าของเจ้าสาวโดดเด่นน้อยลงเลย ใบหน้าสวยหวานสะกดทุกสายตา ดวงตากลมโตเป็นประกายผมสีน้ำตาลเฮเซลนัต ที่โดยปกติแล้วมักจะดัดเป็นผมลอนอยู่เสมอ วันนี้ถูกดัดแปลงรวบไปไว้ด้านหลังและจัดแต่งทรงผมอย่างสวยงาม ประดับด้วยดอกไม้ประดับที่เหมาะสมกับการเป็นเจ้าสาวอย่างยิ่ง อีกทั้งผิวสีขาวอมชมพูประกอบกับชุดสีขาวสวย ส่งผลให้เธอยิ่งโดดเด่นมาก
อัศวินรู้สึกอึ้งและพึงพอใจในตัวของเจ้าสาวไม่น้อย แอบคิดและซ่อนอารมณ์ลึก ๆ เอาไว้ภายใน ยิ่งได้ใกล้ชิดก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวแปลก ๆ กลิ่นของเธอหอมเย้ายวนจนรู้สึกอยากสัมผัสแต่ก็ต้องหักห้ามใจ เสียงเพลงจากนักร้องชื่อดังที่มาขับกล่อมในงาน ก็ไม่อาจดึงความสนใจของชายหนุ่มไปได้
งานแต่งงานผ่านพ้นพิธีการไปได้ด้วยดีจนกระทั่งมาถึงงานเลี้ยงตอนเย็น ทุกคนกำลังสนุกสนานกับเสียงเพลงในงานเลี้ยง มีเพียงผู้อาวุโสของตระกูลสิงหมนตรีท่านนี้ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ราวกับกำลังเหม่อลอยและครุ่นคิดอะไรอยู่เพียงลำพัง มองไปกี่ครั้งหญิงชราก็ยังนั่งนิ่งไม่พูดไม่จากับใคร ไม่มีใครรู้ว่าภายในใจของหญิงชรากำลังคิดอะไรอยู่
“คุณย่าหิวหรือเปล่า ที่นี่มีของกินเยอะ อยากจะกินอะไรไหมเดี๋ยวหนูเดินไปเอาให้” พิมภาเดินไปถามอย่างห่วงใย
“ขอบใจหนูมากนะ ย่ายังไม่หิว แต่ย่าขออะไรสักอย่างได้ไหม” มือเหี่ยวย่นตามวัยของผู้สูงอายุจับที่มือของพิมภาอย่างเบามือ
“ค่ะ คุณย่าอยากได้อะไรคะ” พิมภาเงียบไปเล็กน้อย ก่อนที่จะยอมรับคำขอจากผู้อาวุโสตรงหน้า
“ย่าฝากหนูดูแลวินด้วยนะ ดูแลเขาแทนย่า ที่ผ่านมาย่าไม่มีโอกาสได้ชดเชยให้กับเขา ฝากหนูทำมันแทนทีนะ”
พิมภาค่อนข้างที่จะงุนงง ไม่รู้ว่าคุณย่าเอ่ยถึงคือเรื่องอะไรที่จะต้องชดเชยให้กับเจ้าบ่าวของเธอ เพราะเห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาเป็นคนที่ไม่น่าจะขาดอะไรเลย ออกจะเป็นคนที่เพียบพร้อมด้วยซ้ำ แต่หญิงชรากลับนึกไปถึงเรื่องราวในอดีต ไม่ว่าจะคิดอย่างไรเธอก็ไม่สามารถปล่อยวางเรื่องนี้ไปได้ ความผิดที่ก่อในอดีตนั้นสร้างบาดแผลความในใจให้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาจนถึงทุกวันนี้ หญิงชราจึงพยายามชดเชยทุกสิ่งอย่างให้กับเขา
ในบ้านหลังนี้ตราบใดที่ท่านยังอยู่ก็คงไม่มีใครกล้ามารังแกเขาได้อย่างแน่นอน เพราะแต่ก่อนท่านเคยรังแกและขัดขวางแม่ของอัศวินไม่ให้แต่งงานกับบุตรชายของนาง นั่นก็คือพ่อของชายหนุ่ม ท้ายที่สุดเกิดเรื่องราวใหญ่โต ส่งผลให้ชีวิตใครหลาย ๆ คนเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เมื่อเห็นว่าวันนี้เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเด็กคนนั้น เด็กที่เธอสร้างมลทินให้เขา จึงอยากอวยพรให้ชายหนุ่มได้มีความสุข มองดูแล้วหญิงสาวตรงหน้า เธอที่เป็นเจ้าสาวในวันนี้เป็นคนที่มีจิตใจดีงาม หญิงชราจึงตั้งใจที่จะฝากหลานชายเอาไว้ ฝากชีวิตของหลานชายที่เธอรักยิ่งไว้กับหญิงสาวคนนี้แทน
“รับปากย่านะ ดูแลเขาแทนย่า เด็กคนนี้ถึงจะเป็นคนที่ปากแข็งและชอบทำหน้าเย็นชาไปสักหน่อย แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่อ่อนโยนมากนะ”
“ค่ะ หนูจะคอยดูให้ก็แล้วกันนะคะ” พิมภารับปาก เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นสามีของเธอ
“ขอบใจหนูมากนะ”
“เอ่อ... คุณย่าค่ะ หนูขอเสียมารยาทถามบางอย่างได้ไหมคะ คือทำไมเอ่อ... คุณพ่อคุณแม่และพี่น้องของคุณอัศวินถึง...” พิมภาเงียบไม่พูดต่อเพราะกลัวจะเสียมารยาทมากไปกว่านี้ แต่เธอไม่เข้าใจ นี่มันงานแต่งลูกชายแต่พ่อแม่และพี่น้องกลับไม่มาร่วมงานเลี้ยง ตอนเช้ามาแค่ตอนทำพิธีหลังจากนั้นทุกคนก็หายไปราวกับไม่มีตัวตน ทำราวกับแม่เลี้ยงของเธอที่มาเพื่อรับสินสอดแล้วก็ไม่เห็นแม้กระทั่งเงา
มือเหี่ยวย่นจับที่มือเรียวสวยแน่นโดยที่ไม่พูดอะไร มีเพียงเสียงกลั้นสะอื้นภายในที่ดูเหมือนจะพยายามอดกลั้นไม่ให้หลั่งน้ำตาออกมา
“หนูขอโทษค่ะคุณย่า”
“หนูไปช่วยตาวินรับแขกเถอะนะ ไม่ต้องห่วงย่า” หญิงชราตบมือลงหลังมือเบา ๆ แล้วปล่อยให้เจ้าสาวออกไปรับแขกช่วยเจ้าบ่าว
“งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะคุณย่า” พิมภาลุกออกมาอย่างเสียไม่ได้ เธอมองดูแขกเหรื่อในงาน มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่างานแต่งครั้งนี้มันเป็นเพียงธุรกิจเท่านั้น เพราะพ่อแม่ของทางเจ้าบ่าวและเจ้าสาวไม่มีใครมาร่วมงานเลี้ยงเลยสักคนเดียว
พ่อของเธอยังไม่ฟื้น ส่วนแม่เลี้ยงมาช่วงพิธีการตอนรับสินสอดแล้วก็หายไปเลย ไม่ต่างกับทางฝ่ายเจ้าบ่าว
อัศวินเห็นเจ้าสาวยืนอยู่คนเดียว จึงตามเธอมาเพื่อพาไปแนะนำให้แขกในงานได้รู้จัก สองหนุ่มสาวเดินเคียงคู่กันไปดูแล้วเหมาะสมจนไร้ที่ติ แต่กลับมีใครบางคนกำลังมองด้วยสายตาที่เหยียดหยามและดูถูก ชายที่เคยโอ้อวดตัวและหยิ่งยโสมิหนำซ้ำ ยังคิดในเชิงดูถูก
“หึ สวยเสียเปล่า แต่ไร้สมอง ไม่อยากเชื่อว่าจะใฝ่ต่ำแบบนี้”
“มีอะไรเจ้าโก้”
“ไม่มีอะไรหรอกครับพ่อ ก็แค่ผู้หญิงใฝ่ต่ำคนหนึ่งเท่านั้น ผมไม่อยากจะใส่ใจหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นเราไปทักทายผู้ใหญ่ตรงนั้นกันเถอะ”
อรุณยิ้มอย่างมีเลศนัย กะว่าจะเข้าไปพูดคุยกับเจ้าสาวในงานสักหน่อย อยากลองทักทายดูถ้าหากรู้ว่าเขามาอยู่ในงานนี้แล้วเธอจะทำสีหน้าอย่างไร พอคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็ขอตัวจากพ่อ แล้วไปยืนอยู่ในมุมหนึ่งเพื่อคอยจับสังเกตและหาโอกาสที่จะเข้าถึงตัวเจ้าสาวผู้โดดเด่นที่สุดในงาน เธอสวยจริง ๆ จนอรุณอยากได้นั่นแหละ และกำลังคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรถึงจะเข้าถึงเจ้าสาวคนสวยได้
ในเวลานี้ใบหน้าของพิมภาช่างสวยโดดเด่น อรุณนึกเสียดายอยู่ลึก ๆ เพราะว่าถ้าหากวันนั้นเขาเป็นคนได้ตัวเธอมามันจะดีขนาดไหน อย่างน้อยก็ได้ลองของก่อนที่อัศวินจะได้ครอบครองหญิงสาวอย่างแน่นอน
ลูกเมียเก็บเมียน้อยแบบนั้นมีอะไรดีถึงคู่ควรกับเธอกัน ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดาย ได้แต่มองคู่ชายหญิงเดินเคียงข้างกันไปมาในงานทักทายคนนั้นคนนี้ เจ็บใจแต่ทำอะไรไม่ได้เลย เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบครั้งแล้วครั้งเล่า จนรู้สึกถึงเลือดในกายมันไหลเวียนทั่วร่างถึงได้วางมือ หยุดดื่มเพราะเกรงว่าจะทำให้ผู้เป็นพ่อเดือดร้อนเพราะทุกครั้งที่เมาชายหนุ่มจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้เสียทุกที
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายลงและผ่านไปด้วยดีแล้ว กิตติภพเองก็กลับมาในร่างกายที่แข็งแรงหลังจากทำการกายภาพบำบัดอยู่สองเดือน เขาสามารถกลับมาช่วยเหลือตัวเองได้ในเบื้องต้นถึงแม้จะยังเดินไม่ค่อยคล่อง แต่ในที่สุดก็ได้กลับบ้านเสียที คณินกับอัศวินก็มาเยี่ยมถึงที่บ้านและรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน หลังมื้อค่ำจบลงชายหนุ่มก็ขอคุยกับกิตติภพเป็นการส่วนตัว “เดี๋ยวผมจะเซ็นโอนหุ้นคืนให้กับคุณพ่อนะครับ ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างและผู้ถือหุ้นทุกคนก็กลับมากันหมดแล้ว หลังจากนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วครับ” “ไม่ต้องโอนคืนมา เก็บเอาไว้อย่างนั้นแหละ พ่อก็แก่มากแล้ว เก็บเอาไว้ดูแลลูกเมียให้ดีก็พอ ตอนนี้พ่ออยากอุ้มหลานมาก” “ถ้าอย่างนั้นผมจะโอนกลับคืนให้เป็นชื่อของน้องนะครับ พิมจะต้องดีใจแน่ ๆ” “ก็ลองคุยกันดูว่าใครจะดูแลหรือถือหุ้นมากที่สุด พ่อยกให้ไปแล้วก็ไปจัดการกันเอาเอง อย่าลืมเรื่องที่พ่อพูดล่ะ พ่ออยากอุ้มหลาน…” แกร๊ก ! “คุณผู้ชายคะ คุณอัศวิน คุณหนูเป็นอะไรก็ไม่ทราบค่ะ อยู่ดี ๆ ก็วิ่งไปอาเจียนบอกว่าหน้ามืดเหมือนจะเป็นลมแล้วค่ะ” พ่อตากับลูกเขยถึงกับหันมองหน้ากัน กิตติภพกวักมือเรียกสาวใช้ให้เข้ามาเข็นรถเข็
“คุณดูลูกคุณนะ เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งกล้าทำร้ายลูกชายของเรา เป็นแค่เห็บหมัดมาเกาะครอบครัวคนอื่นไปวัน ๆ แท้ ๆ กล้าดียังไง…” เพียะ !! คณินเดินไปตบหน้าเขมกรฉาดใหญ่ก่อนหันไปพูดกับเมียในสมรสอย่างมยุเรศแบบใส่อารมณ์ เขาอดทนเพราะเห็นแก่พ่อตามาตลอด แต่วันนี้ความอดทนได้สิ้นสุดแล้ว “หยุดสักทีคุณมยุเรศ ผมทนมาพอแล้ว ผมฟังคุณมาสิบกว่าปีมีแต่เรื่องเดิม ๆ ยังไงเขาก็เป็นลูกชายของผม ขณะที่ลูกของคุณไม่เคยได้เรื่องได้ราวอะไร คอยแต่ให้อัศวินตามเช็ดตามล้างให้ตลอด ยังกล้าที่จะเอามาเปรียบเทียบกันอีกเหรอ” “คุณพูดเรื่องอะไร นี่คุณกล้าตีลูกได้ยังไง” “คุณไม่เคยรับรู้เลยหรือยังไงว่าลูกชายของคุณไปก่อเรื่องอะไรไว้ลับหลังคุณบ้าง มันทำผู้หญิงท้องแล้วไม่ยอมรับมิหนำซ้ำยังไปทำร้ายร่างกายเขา เอาที่ดินที่ผมแค่เปรยว่าจะยกให้ มันก็ขโมยโฉนดที่ดินปลอมลายเซ็นผมไปขายทั้งที่ผมยังไม่ได้ยกอำนาจให้ เดือดร้อนต้องให้อัศวินไปตามกลับคืนมา ติดหนี้บ่อนอีกร้อยกว่าล้านคุณรู้หรือเปล่า ทุกเรื่องถ้าไม่ได้อัศวินคอยวิ่งเต้นปิดข่าวให้ ทั้งบริษัทและตระกูลนี้จะล่มจมก็เพราะลูกของคุณ”“ไม่จริง !” “จริง คุณคิดว่าอัศวินมันเดินทางบ่อยเพราะอะไร ม
วันหนึ่งอัศวินหายเงียบไปทั้งวันไม่มีการแชตหาหรือโทร.หาใด ๆ ทั้งสิ้น เธอกำลังจะต่อสายหาเขาเพราะรู้สึกว่าทนรอต่อไปไม่ไหว แต่ก็มีสายเรียกเข้าแทรกเข้ามาเสียก่อนที่จะทันได้โทร.ออก“สวัสดีค่ะ” “สวัสดีค่ะ โทร.จากโรงพยาบาลนะคะ พอดีในประวัติของคนไข้ที่ชื่อว่าอัศวิน แจ้งเอาไว้ว่าเบอร์ติดต่อฉุกเฉินคือเบอร์ของคุณพิมภาผู้เป็นภรรยา ไม่ทราบว่าคุณเป็นภรรยาของคุณอัศวินหรือเปล่าคะ” “ใช่ค่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ” “คุณอัศวินประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้อาการค่อนข้างสาหัสอยากให้คุณเดินทางมาที่โรงพยาบาลโดยด่วนค่ะ” ราวกับมีสายฟ้าผ่าลงกลางใจ ความรู้สึกเดียวกับตอนที่เธอเห็นภาพของพ่อล้มคว่ำอยู่กับพื้น คราวนี้หญิงสาวพยายามตั้งสติวิ่งไปคว้ากุญแจรถ แล้วเดินทางไปที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง ภาวนาไปตลอดทางขอให้เขาไม่เป็นอะไรมากณ โรงพยาบาลหน้าห้องฉุกเฉิน พิมภามองไปทางไหนก็มีแต่ความหดหู่ ใบหน้าสวยนองไปด้วยน้ำตา เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าขับมาด้วยความเร็วเท่าไร มาถึงก็วิ่งมาที่หน้าห้องแห่งนี้พร้อมทั้งเซ็นเอกสารได้ทันเวลาพอดี เพราะต้องส่งอัศวินเข้าห้องผ่าตัดด่วน หญิงสาวรออย่างใจจดใจจ่อ ถึงจะร้องไห้แต่ก็พยายามห้ามตัวเองไม่ให
เวลาผ่านไปเดือนกว่าที่มาอยู่ที่บ้านของอัศวิน พิมภากลับรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านั้นไม่มีอะไรเป็นจริงเลยสักอย่าง อีกฝ่ายพูดราวกับว่าที่นี่น่ากลัวและมีคนจ้องจะรังแกเธออยู่ตลอด แต่พอมาอยู่เข้าจริง ๆ บ้านหลังนี้ดูเหมือนทุกคนจะต่างคนต่างอยู่ มีเพียงแค่วันอาทิตย์วันเดียวที่ทุกคนจะต้องไปนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน เหมือนตอนที่อัศวินเคยพาเธอมากินมื้อค่ำที่นี่เป็นครั้งแรกนอกจากนั้นก็ตัวใครตัวมัน ที่สำคัญสิ่งที่ทำให้เธอโล่งอกที่สุดก็คือไม่ได้เจอกับเขมกรผู้เป็นพี่เขย เพราะสำหรับพิมภาแล้วผู้ชายคนนี้น่ากลัวที่สุด ตอนแรกหญิงสาวรู้สึกเกร็งนิดหน่อยไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร เพราะส่วนใหญ่แล้วอัศวินไปทำงานนอกบ้านแล้วเขาก็ไม่ค่อยให้ภรรยาเข้าไปที่บริษัทด้วยตัวเองสักเท่าไร เธอจึงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านหลังนี้เขมนัฏฐ์คนที่ดูเงียบและไม่ค่อยสุงสิงกับใครที่สุดกลับเป็นคนเดียวที่คุยกับเธอมากที่สุด ช่วยให้หญิงสาวคลายเหงาลงไปได้บ้าง พิมภาไม่รู้ว่าช่วงนี้อัศวินกำลังทำอะไร เขาดูยุ่งและเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อยมาก ๆเขมนัฏฐ์อายุน้อยกว่าอัศวินถึงห้าปี แต่กลับคุยกับเธอได้อย่างสนิทสนม ตอนแรกพิมภาเห็นเขามาแอบมองบ่
หลังจากที่อัศวินเดินทางออกจากบ้านไปแล้ว พิมภามานั่งทบทวนตัวเอง เมื่อคืนนี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง พยายามคิดอยู่ว่าตัวเองทำอะไรน่าอายไปบ้างหรือเปล่า ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ภาพริมฝีปากนุ่มของใครบางคนลอยมา จนเธอสะดุ้งสุดตัวเพราะมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แววตาหวานเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ที่โทร.มาจากโรงพยาบาล “สวัสดีค่ะ” พิมภารับสายด้วยหัวใจที่เต้นระรัวภาวนาขอให้เป็นข่าวดี แล้วหญิงสาวก็ยิ้มออกมาทั้งน้ำตาและรีบไปโรงพยาบาลทันที พ่อของเธอฟื้นแล้วตอนนี้ เป็นข่าวดีที่สุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ ใช้เวลาไม่นานก็มาอยู่ข้างเตียงของกิตติภพ ซึ่งผ่ายผอมลงไปมากแต่แววตาของเขามีแววของนักสู้อยู่เต็มเปี่ยม “ดีใจจังเลยที่พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณนะคะที่ไม่ทิ้งหนูไป หนูคิดถึงพ่อมากเลยรู้ไหมคะ” “พ่อขอโทษนะลูก ขอโทษที่ทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากไปหมด ถ้าพ่อไม่ดึงผู้หญิงคนนั้นมาในชีวิต โลกของพ่อก็คงไม่เปลี่ยนไป” “ไม่เป็นไรค่ะพ่อ แต่พ่อดีขึ้นแล้วจริง ๆ ใช่ไหมคะไม่ได้มีอะไรปิดบังหนูใช่ไหม” พิมภากลัวว่าในระหว่างที่เธออยู่ต่างประเทศ บิดาอันเป็นที่รักเกิดเป็นโรคอะไรที่หญิงสาวไม่เคยรู้มาก่อน“ไม่มีหรอกลูก” “ไม่มี
อัศวินไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงได้โกรธขนาดนั้น เขาประคองร่างบางไปที่รถของตนเอง ขณะที่ชายหนุ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเจ้าตัวกลับหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว รถแล่นไปได้ชั่วครู่เดียวพิมภาก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะฝันร้าย ละเมอขอให้พ่ออย่าทิ้งตนไปเหมือนแม่ ขาดแม่ไปเธอก็เคว้งคว้างพอแล้วไม่อยากจะเสียพ่อไปอีก ความสงสารทำให้อารมณ์โมโหที่คุกรุ่นก่อนหน้านี้หมดไป ดวงตาคมดุเหลือบมองริมฝีปากนุ่มละมุนที่ยังคงมีสีชมพูระเรื่อน่าจูบ มองแล้วก็อดใจไม่ไหวจึงกดปิดม่านฝั่งคนขับแล้วก้มลงจูบเธอครั้งแล้วครั้งเล่า รุ่งเช้า พิมภาค่อย ๆ ลืมตาพร้อมกับความรู้สึกที่มึนหัวนิด ๆ เธอกำลังแฮงก์และรู้ตัวดี ใบหน้าสวยขมวดคิ้วยุ่งในตอนนี้อีกทั้งยังรู้สึกมึนงงไปหมดจนกระทั่งพยายามนึกย้อนไปว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรก่อนที่หญิงสาวจะภาพตัด ดวงตากลมเบิกโพลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเห็นอัศวินกำลังต่อยพี่ชายของเขาก่อนที่เธอจะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรอีก หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวเพราะไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะหากันเจอ เมื่อคิดได้ว่าชายหนุ่มเป็นคนไปรับจึงมองไปรอบ ๆ ห้อง กลับไม่เห็นแม้แต่เงา เธอเลยคิดว่าเขาน่าจะไปทำงานแล้วเมื่อคิดได้ดังนั้นร่างบางจึงลุกพรวดพราดจากเต