ความจริงอวิ๋นซือคิดว่าตนนั้นเลือกเอ่ยถามคำที่รู้ดีอยู่แก่ใจ นางหาได้โง่งม เพียงแต่เลือกจะไม่รับรู้ ปิดหูปิดตาไม่มองเพื่อหลบลี้ความจริงที่บั่นทอนความรู้สึกสายตาที่มารดาใช้มองมายามเผลอมักมีแววเย็นชาเผยให้เห็นเสมอ เดิมทีนางเคยเฝ้าบอกตัวเองให้มองข้ามไปเสีย ทว่าเมื่อลอบสังเกตเห็นความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มีให้น้องชายร่วมบิดา อวิ๋นซือก็พลันเข้าใจตัวนางที่เกิดมาเป็นหญิงนั้น แท้จริงแล้วก็มิได้มีค่าในสายตามารดาเช่นเดียวกับบิดา!ทว่าหญิงสาวก็เลือกที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านั้น หันมาใช้ความคิดหาหนทางช่วยเหลือมารดาแทน เรื่องแต่งเข้าสกุลหลันแม้จะมารู้ทีหลังว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้รักตน แต่ส่วนหนึ่งที่ยอมรับก็เพื่อผู้ให้กำเนิดเพราะหากไม่มีมารดาก็ย่อมไม่มีนางในวันนี้!แต่เมื่อได้รับจดหมายบอกเล่าเรื่องราวจากมารดาในครั้งก่อน ที่บิดามีความคิดจะเปลี่ยนตัวฮูหยินใหญ่ ทำให้นางบังเกิดความสงสัยขึ้นหลังกลับจากจวนเสนาบดีเหตุใดมารดาที่ดูเหมือนไม่กล้าทำและคิดสิ่งใดไม่เป็นของตนเอง จึงมีคนให้ใช้สอยได้กัน ถึงขนาดหลบหูตาฮูหยินสามมามอบจดหมายให้นางโดยไม่มีใครรู้พอมองย้อนไปถึงการกระทำของมารดาแล้วให้ข่มใจอย่างฝาดเฝื่อน ไม่ใช่ไ
อวิ๋นซือฟังหมอเฒ่าเล่าเรื่องในสกุลหลันแล้วอมยิ้มบาง นางนั่งฟังอย่างสงบด้วยสีหน้าพึงพอใจ เมื่อถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดจบลง ร่างชราที่รั้งอยู่ต่อเพียงครู่ก็ขยับลุก พลางเอ่ยปากร่ำลาเพื่อกลับโรงหมอของตน หญิงสาวไม่ลืมกล่าวคำขอบคุณที่อีกฝ่ายให้การช่วยเหลือ นางหันมาสั่งการให้อาจิ้นขับรถม้าไปส่งผู้เฒ่า พลางกำชับบอกให้เขาดูแลชายชราให้ดี“คุณหนูเจ้าคะ เรื่องที่ท่านหมอลู่บอกนายท่านหลันสำคัญตรงไหนหรือ ทำไมท่านต้องบอกให้เล่าถึงเรื่องอนุซูนั่นด้วยเล่าเจ้าคะ”ร่างบางมองใบหน้ากลมๆ ของสาวใช้พลางหยีตาลงเป็นแนวโค้ง นางเอนกายลงแนบเก้าอี้ที่ตนนั่ง ก่อนจะเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงกระจ่างใส “เจ้ารู้ไหมเสี่ยวอิงว่าทำไมข้าถึงไม่รับเงินทองที่นายท่านหลันเสนอให้”เสี่ยวอิงฟังแล้วให้ยิ่งงงงวย นางยืนคิดจนคิ้วแทบชิดติดกันเป็นปม อีกทั้งยังพาเอาเสี่ยวหยวนที่เข้ามาทีหลังมีอาการเดียวกันไปด้วย จนผู้เป็นนายถึงกับส่ายหน้าขบขันอย่างพูดไม่ถูก“เพราะหลันชิงเคยช่วยชีวิตข้า ตอนที่ลงมือช่วยเขาถึงมือข้างนี้จะไม่เหลือ ข้าก็ไม่ได้คิดแค้นหรือโกรธเคืองอะไร ด้วยถือเสียว่าชดใช้หนี้บุญคุณกันไป ดังนั้นสำหรับข้าและนายท่านหลันเวลานี้จึงไม่มีสิ
สกุลหลันเป็นวาณิชหลวงแห่งราชสำนัก แน่นอนว่าย่อมผูกขาดด้านการค้า โดยเฉพาะการค้าขายเกลือที่หลันชิงเป็นผู้บุกเบิกเส้นทางและแน่นอนว่าแม้ไม่ใช่ตระกูลขุนนางรับราชการ แต่อำนาจทางการค้าในมือของหลันชิงก็มีไม่น้อยกว่าเลย เขาจึงกว้างขวางในเรื่องการงานกับผู้คนหลากหลายสำหรับบุรุษแล้วจะมีอะไรผูกมิตรได้ดีกว่าสาวงาม แน่นอนว่าย่อมเหมือนดั่งคำเปรียบเปรยที่ว่า ‘ยอมตายใต้ต้นโบตั๋น ถึงเป็นผีก็สำราญ’ อย่างไรเล่าเมื่อเป็นเช่นนั้น สาวงามหลายต่อหลายคนจึงถูกส่งมาเป็นของกำนัลไม่น้อย สำหรับหลันชิงแล้ว นั่นคือความสัมพันธ์ที่ต้องรับเอาไว้ อีกทั้งเขาเองก็หาได้รังเกียจสตรีงดงามอีกด้วยสำหรับหลันชิง สตรีมีเพียงสองแบบ นั่นก็คือรักกับใช้ประโยชน์เท่านั้น เช่นอวิ๋นซือกับซูลี่หลินผู้หญิงคนหนึ่งมีไว้เพื่อจัดการเรื่องราวภายในบ้าน ส่วนอีกคนก็มีไว้เพื่อรักใคร่เอ็นดูทว่าวันนี้ทุกอย่างกลับแตกต่างออกไปจากที่เคยตั้งแต่อวิ๋นซือออกจากสกุลหลันไป แม้จะเป็นเวลาเพียงสองสามวัน แต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้นราวกับสะสมมานานเป็นแรมปีเช้าวันนี้ก็เช่นกัน หลันชิงมองสภาพตรงหน้าแล้วให้ทอดถอนใจ เพราะเห็นว่าหลินเอ๋อร์นั้นกำลังตั้งครรภ์ เวลา
“ดูเอาเถอะ ดูให้เต็มตา เห็นความอวดดีของลูกสาวเจ้าแล้วหรือยัง ทำเรื่องน่าอับอายขายหน้าถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่มีความคิดสลดสักนิด”อวิ๋นจั้นชี้หน้ากล่าวโทษบุตรสาวอย่างขัดเคือง โทสะในใจพุ่งสูงเทียมฟ้า พลางร้องด่าด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยวฮูหยินใหญ่สกุลอวิ๋นค่อยๆ ก้าวมายืนข้างกายบุตรี กระซิบถามเสียงเบา ท่าทีแสดงออกถึงความกังวลใจ “ซือเอ๋อร์ เรื่องที่เจ้าออกจากบ้านสกุลหลันจริงหรือไม่”ร่างบางคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้ผู้เป็นมารดา น้ำเสียงใสเอ่ยถ้อยคำเจรจาระรื่นหู ไม่คิดแยแสอาการโกรธขึ้งของบิดาสักนิด อีกทั้งยังไม่ใส่ใจความกังวลที่คนเป็นแม่แสดงออก“หากเป็นเรื่องหย่าขาดกับทางสกุลหลันนั้นลูกทำจริงๆ แต่ที่ท่านพ่อกล่าวว่ากระทำเรื่องน่าอับอาย ลูกคิดว่าไม่จริงเจ้าค่ะ”เพล้ง!จอกชาถูกปาผ่านร่างอวิ๋นซือไปอย่างเฉียดฉิว หญิงสาวปรายตามองตามอย่างไร้ความรู้สึก ถ้าเป็นในอดีต การกระทำของคนตรงหน้าคงสามารถเรียกความโศกเศร้าเสียใจจากนางได้ไม่น้อยในวันนี้มันไม่มีผลอะไรต่อความรู้สึกของนางอีกแล้ว!“ยังจะกล้าบอกว่าไม่ได้ทำเรื่องขายหน้าอีกหรือไร แค่เรื่องที่เจ้าถูกหย่าขาดจนต้องกลับบ้านเดิมนี่ยังไม่อับอายผู้คนพออย่างนั้นหรือ!”
เป็นเพราะค่ำคืนที่ผ่านมาแทบมิอาจข่มตาหลับได้ จึงทำให้อวิ๋นซือหลับไหลจนถึงยามอู่ ซึ่งผู้คนในบ้านล้วนเข้าใจกันดี จึงพร้อมใจกันไม่มารบกวนเวลาพักผ่อนของนางจางเหอหรืออีกชื่อคือเถ้าแก่หวังที่ผู้คนเรียกขานก็รู้ข้อนี้ดีเช่นกัน จึงสั่งการให้สาวใช้ทั้งสองไปจัดเตรียมข้าวของให้เข้าที่เข้าทางแทน เพื่อปล่อยให้หลานสาวได้นอนพักต่ออีกสักนิดดวงตาที่ฝ้าฟางลงจากอดีตของผู้สูงวัยมองลอดผ่านหน้าร้านที่ไม่ได้เปิดทำการออกไป ก่อนจะขมวดคิ้วขาวแน่นด้วยความหนักอกหนักใจ เดิมทีร้านนี้เขาเปิดทำกิจการต่อก็เพื่อรอหลานสาวกลับมาทว่าเมื่อนึกถึงปัญหาอีกข้อก็ชวนให้รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาไม่น้อย ด้วยชื่อเสียงอันดีของหลานสาวที่ผู้คนเล่าลือกันเรื่องเจ้าเด็กหลันชิงยามนี้ การจะเปิดเผยตัวนางในชื่อคุณชายไห่ถังเพื่อสร้างหนทางในอนาคตย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่ถ้านางเปิดเผยตัวตนออกไป ยายแก่น่ารังเกียจแห่งสกุลหลันย่อมไม่ยอมปล่อยมือจากหลานสาวของเขาเป็นแน่ อีกฝ่ายคงต้องคิดหาวิธีนำตัวอดีตสะใภ้เอกกลับไปจนได้ลำพังแค่สองแม่ลูกสกุลหลัน เถ้าแก่หวังยังหาได้เกรงกลัวไม่ เพราะแค่หนังสือลงนามหย่าที่อยู่ในมืออวิ๋นซือก็คงเพียงพอจะยับยั้งให้ทางนั้นล
หลังจากนั้นอวิ๋นซือจึงจงใจรับอาจิ้นที่ถูกผลกระทบจากโทสะความห่วงใยของหลันชิงเอาไว้ สร้างประเด็นให้บ่าวไพร่นำไปพูดคุยซุบซิบนินทา ส่วนอีกด้านก็สั่งกำชับให้เด็กหนุ่มที่ตนรับไว้ค่อยๆ โหมข่าวลือเรื่องอดีตสามีกับซูลี่หลินข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว ผู้คนเริ่มเอนเอียงให้ความเห็นใจ ในงานฉลองวันเกิดของนาง เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าคิดใช้ประโยชน์สร้างภาพลักษณ์สามีรักภรรยาให้แก่บุตรชายเสียใหม่เพื่อลบคำคนลือให้หมดไปแผนนั้นกลับต้องถูกทำลายลงด้วยเหตุการณ์ที่นางและซูลี่หลินตกลงมาจากเรือนเสียก่อน สองปีที่อยู่ร่วมกันมา อวิ๋นซือย่อมรู้ใจสามีดีว่าเขาต้องเลือกช่วยแม่ของลูกตนก่อนเป็นแน่และนางก็คาดไม่ผิดสักนิด...นางมองตามหลังอีกฝ่ายไปจนสุดสายตา ท่ามกลางสายตาตำหนิการกระทำของสามีจากหลายคน ใบหน้างดงามคลี่ยิ้มอ่อนหวาน ทว่าแววตาเรียบเฉยจนเย็นชา และกลุ่มคนเหล่านั้นก็จะเอ่ยกันไปปากต่อปาก ชื่อเสียงของนางหลังหย่าร้างย่อมไม่ใช่ด้านลบเป็นแน่หลันชิงอาจไม่ใช่บุรุษที่ดี แต่ในเวลานั้นเขากับซูลี่หลินคงยากจะมีอารมณ์สมสู่กัน หากไม่ใช่เพราะควันยาปลุกกำหนัดของหมอหลี่ ส่วนตัวนางที่ต้องทำก็มีแค่พาผู้คนไปดูเรื่องราวมักมากของสามีการกระท