อวิ๋นซือ ดรุณีน้อยวัยสิบห้าขึ้นเกี้ยวสีแดงที่มีบุรุษแปดคนหามเข้าสู่สกุลหลัน พร้อมด้วยตำแหน่งฮูหยินใหญ่ที่ตบแต่งอย่างสมฐานะ หลันชิง มอบทุกสิ่งที่ปรารถนา ทว่าหนึ่งเดียวที่มิอาจให้คือความรัก เป็นภรรยาเอกแล้วอย่างไร เมื่อในใจสามีนางยังสู้อนุคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ในวัยสิบเจ็ดนางจึงก้าวเท้าออกจากสกุลหลันพร้อมหนังสือหย่า สิ้นรักตัดวาสนาสายใยสามีภรรยาแต่เพียงเท่านี้ ตำแหน่งฮูหยินใหญ่มิใช่สิ่งที่นางปรารถนา ฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวต่างหากที่ฝังใจ ทว่าเส้นทางใหม่ของชีวิตกลับมีบุรุษรูปงามชาติตระกูลดีอย่าง ฉิงเหวินฟู่ เข้ามา แม้มีบุพเพแต่ถ้าไร้วาสนาก็มิอาจบรรจบ ในเมื่อมีโอกาสไยนางจะมิให้ความปรารถนาดั่งคู่ยวนยางเป็นจริงเล่า
View Moreย่างเข้าเดือนสิบ สายลมเหมันต์เริ่มพัดพา ปุยหิมะสีขาวร่วงหล่นจากผืนฟ้าสีคราม เกี้ยวสีแดงหลังใหญ่ตัดกับสีเขียวของทิวทัศน์รอบด้าน มีบุรุษร่างกำยำแปดคนหามพร้อมกับก้าวเดินเป็นจังหวะ ขบวนเจ้าสาวผู้เพียบพร้อมครบถ้วนสมฐานะกำลังมุ่งสู่ปลายทางด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม
ด้านในเกี้ยวมีร่างบอบบางของเจ้าสาวคนงามนั่งอย่างสงบ บรรยากาศรอบด้านอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของงานมงคล เสียงเครื่องเป่าดังสูงต่ำเป็นทำนองสลับกับเสียงตีฆ้องเป็นจังหวะ ทว่าสีหน้าคนข้างในกลับเต็มไปด้วยความกังวล
เกี้ยวแดงหลังใหญ่โคลงเคลงไปมาชวนให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย หญิงสาวพยายามข่มอาการเหล่านั้นพลางตั้งสติ นี่คืองานแต่งของนางจะให้ความหวั่นวิตกมาทำลายไม่ได้ เพราะวันนี้คือวันสำคัญที่สุดในชีวิต มิอาจพลาดได้โดยเด็ดขาด
วันที่นางจะกลายเป็นฮูหยินใหญ่ ก้าวเข้าสู่เส้นทางสายภรรยาหลวงที่ต้องคอยดูแลทั้งสามีและอนุอีกหลายคน
นางคืออวิ๋นซือ บุตรสาวเพียงคนเดียวของใต้เท้าอวิ๋นเสนาบดีกรมคลังแห่งแคว้นกับฮูหยินใหญ่จางซื่อ ที่บอกว่าเป็นบุตรสาวคนเดียวนั้นหาใช่ว่าบิดามีบุตรแค่นางหรอกนะ แต่หมายถึงคนเดียวที่มีกับฮูหยินใหญ่ต่างหาก เพราะบิดาของอวิ๋นซือมีสามภรรยากับสี่อนุอย่างครบครัน และยังไม่รวมสาวใช้อุ่นเตียงที่มีมากมายเสียจนนางผู้เป็นลูกนับญาติไม่ถูก
นางจางซื่อมีอวิ๋นซือเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว อีกทั้งยังมิอาจตั้งครรภ์สายเลือดชายเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลได้ ทำให้ฐานะฮูหยินใหญ่ในจวนไม่มีความหมายนัก ผู้ที่มีอำนาจในจวนแท้จริงกลับเป็นฮูหยินสามที่มีบุตรชายถึงสองคน ทว่าเมื่อไม่นานมานี้เจียงฮูหยินรองก็คลอดทายาทชายมาอีกคน ทำให้การแย่งชิงอำนาจภายในจวนดุเดือดขึ้นไปอีก
อวิ๋นซือไม่แยแสการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของคนเหล่านั้น สิบห้าปีที่เติบโตในจวนเสนาบดี ภาพที่นางเห็นมีเพียงมารดาที่ต้องคอยรองรับอารมณ์ของบิดา รับใช้บรรดาฮูหยินรอง รวมทั้งดูแลอนุและเหล่าสาวใช้ที่บิดาโปรดปราน นั่นคือฐานะฮูหยินใหญ่ ทว่าทำงานไม่ต่างจากคนใช้ที่ต้องคอยดูแลทุกเรื่อง ความสำคัญของมารดาที่มีในใจบิดามิสู้อนุคนหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
ฮึ! นี่ละชะตาของคนเป็นฮูหยินใหญ่ ภรรยาหลวงที่บุรุษทั้งหลายตบแต่งพวกนางเข้ามาเป็นเมียเอกเพื่อเชิดหน้าชูตา
ท่ามกลางปุยหิมะและสายลมเหมันต์ ในที่สุดขบวนเจ้าสาวก็เดินทางมาถึงที่หมาย เกี้ยวเจ้าสาวถูกวางลงบนพื้น พร้อมเสียงแม่สื่อร้องขานบอกพิธีการให้เจ้าบ่าวเตะเกี้ยวข่มภรรยาตามธรรมเนียม
อวิ๋นซือคลี่ยิ้มบางใต้ผ้าคลุมลายนกยวนยางคู่ ธรรมเนียมประเพณีช่างน่าขบขันนัก บุรุษมีค่ากว่าสตรี สามีคือฟ้า ภรรยาคือดิน แต่งถูกต้องตามพิธีการหมายถึงภรรยาเอก แต่งด้อยลงมาคือภรรยารอง ถัดมาอีกนิดก็เป็นอนุ แต่ไม่ว่าคนไหนก็คือภรรยาที่ต้องเห็นสามีเป็นฟ้าอยู่ดีมิใช่หรือ
ขนาดนี้แล้วยังต้องข่มอีกหรืออย่างไร
ระหว่างที่นางกำลังอยู่ในภวังค์ความคิด ด้านนอกก็เสร็จสิ้นธรรมเนียม มือใหญ่ที่ได้รูปสวยงามของบุรุษถูกยื่นเข้ามา อวิ๋นซือสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ก่อนจะยกมือขาวนุ่มของตัวเองวางทับลงไป
ร่างสูงประคองเจ้าสาวของตัวเองเข้าสู่ด้านใน ฝ่ามือที่เกาะกุมกันให้สัมผัสที่แตกต่างในความรู้สึกของทั้งคู่ คนหนึ่งสัมผัสถึงความนุ่มนวลของมือน้อยนั้น อีกคนรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของบุรุษเพศจากความสากกระด้าง อวิ๋นซือหลุบตาลงต่ำยามที่ก้าวเท้าตามแรงจูง
เขาเป็นบุรุษคนแรกนอกจากบิดาที่นางจับมือ และจะเป็นคนแรกในอีกหลายๆ เรื่องด้วย หวังเพียงว่าในอนาคตต่อไปข้างหน้า อีกฝ่ายจะให้เกียรติกันบ้าง เท่านี้ก็พอใจแล้วสำหรับนาง
ในที่สุดพิธีการแต่ละขั้นตอนก็ผ่านไปและเสร็จสิ้น ค่ำคืนที่มีค่าดั่งทองพันตำลึงเงียบสงัด สาวใช้และแม่สื่อออกไปกันหมดแล้ว ร่างบอบบางนั่งเกร็งเล็กน้อย สองมือที่กุมประสานกันของนางชื้นไปด้วยเหงื่อ ร่างสูงของคนที่เป็นสามีหมาดๆ ก้าวมายืนด้านข้าง มือเรียวสวยดุจหยกช่วยนางปลดเครื่องประดับบนศีรษะออกอย่างอ่อนโยน หญิงสาวขบริมฝีปากสะกดอาการอึดอัดในใจ รอจนเขานำทุกอย่างออกจากผมจนหมด
“เจ้าหิวหรือไม่”
เขาถามน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล เสียงนั้นกังวานทว่าอ่อนโยนอย่างยิ่ง จนอวิ๋นซืออดเงยหน้าขึ้นลอบมองอีกฝ่ายไม่ได้ ใบหน้าเขาให้ความรู้สึกไม่ต่างจากเสียง งดงาม คมสัน และสดใสราวกับสายน้ำที่เย็นฉ่ำ ดวงตาคมฉายแววอบอุ่น เพียงแค่สบมองก็ทำให้คนเคลิบเคลิ้ม ปากแดงฟันขาวและท่าทางอมยิ้มน้อยๆ นั่นก็ชวนให้รู้สึกหลงใหลได้
เมื่อเห็นเจ้าสาวเหม่อลอยราวกับถูกมนตร์สะกด หลันชิงอมยิ้มอารมณ์ดี เขาหัวเราะเสียงทุ้มละมุนหูพลางก้าวมาคว้าจอกสุราบนโต๊ะ แล้วยื่นส่งให้นางจอกหนึ่ง พออวิ๋นซือรับมาถือ อีกฝ่ายก็คล้องแขนไขว้ดื่มทันที
สุรารสแรงบาดคอ อวิ๋นซือดื่มรวดเดียวหมดจอก จากนั้นใบหน้างดงามก็แดงก่ำลงมาถึงลำคอ นางกะพริบตาถี่ๆ เมื่อความรู้สึกมึนงงเข้าจู่โจม หลันชิงหัวเราะเอ็นดูในความคออ่อนของภรรยา เขาจับจูงนางมานั่งที่โต๊ะอาหารก่อนจะชักชวนให้กิน
กินอาหารคาวแล้วก็ต้องมีของหวานตบท้าย สำหรับหลันชิง ของหวานก็คืออวิ๋นซือนั่นเอง สุราฤทธิ์แรงและบุรุษรูปงามราวกับภาพฝันทำให้รู้สึกมึนเมากว่าปกติ กว่านางจะทันรู้สึกตัว แผ่นหลังเปลือยเปล่าก็สัมผัสกับที่นอนเย็นเยียบแล้ว
ดรุณีน้อยวัยสิบห้าไร้ประสบการณ์ได้แต่ตอบสนองอย่างเงอะงะ บุรุษหนุ่มผู้ช่ำชองใช้ความชำนาญหลอกล่อให้นางเผลอไผล ก่อนที่จะกรีดร้องเมื่อรู้สึกถึงความปวดร้าว
ทว่าไม่นานความเชี่ยวชาญของหลันชิงก็ทำให้นางตอบสนองอีกครั้ง เมื่อความเจ็บปวดคลายลง ความรู้สึกแบบใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสก็เร่งเร้า อวิ๋นซือเผลอปลดปล่อยเสียงหวานที่วาบหวามจนตัวเองยังอดตกใจไม่ได้
ภายนอกสายลมเหมันต์พัดกระโชก หิมะที่โปรยปรายลงบนพื้นกลายเป็นพรมสีขาวสะอาดตา ตัดกับสีแดงสดของกลีบเหมยฮวาที่ร่วงหล่น ราวกับผืนผ้าบนเตียงนอนของคู่บ่าวสาว
ในห้องนอนที่ร้อนผ่าวจนสายลมและไอหิมะยังต้องล่าถอย สองร่างแนบแน่นเกี่ยวกระหวัดรัดรึง เตียงนอนหลังใหญ่โยกไหวส่งเสียงประท้วง ทว่าผู้เป็นนายกลับไม่คิดจะใส่ใจ
อวิ๋นซือเหลือบมองผ่านหน้าต่างที่เปิดรับสายลมเย็นฉ่ำ ภาพสุดท้ายที่นางเห็นนอกหน้าต่างคือ ผืนหิมะสีขาวที่ตัดด้วยกลีบเหมยฮวาสีแดงสด จากนั้นคนบนร่างก็ทาบริมฝีปากลงมา พร้อมกับความรัญจวนที่อีกฝ่ายสร้างขึ้น ดวงตาสุกใสเกิดละอองน้ำจนพร่ามัว เสียงหนึ่งพลันดังแว่วขึ้นมาในหัว
‘วอนขอรักแท้ที่มั่นคง เพียงหนึ่งยวนยางยืนยงจนแก่เฒ่า’
หยาดน้ำใสพลันไหลรินจากหางตา รักแท้มั่นคงหนึ่งคู่นกยวนยาง ในอดีตเป็นนางที่เฝ้าท่องบทกลอนนี้เสมอมา
แต่เด็กสาววัยฝันผู้ใดบ้างเล่าจะไม่จะใฝ่หา…
ดรุณีน้อยนางนั้นสวมอาภรณ์สีชมพู กิริยาน่ารักสดใส ใบหน้างดงาม มีเค้าคล้ายอวิ๋นซือไม่น้อย เจ้าตัวพูดคุยกับหลันชิงด้วยท่าทางสนิทสนมพอเสี่ยวอิงเห็นก็พลันตกใจจนต้องเอ่ยขึ้น “เอ๊ะ! นั่นคุณหนูรองนี่เจ้าคะ นางมาลั่วหยางได้อย่างไร”อวิ๋นซือมองอยู่ไม่นานก็รั้งสายตากลับ ผละมานั่งให้เสี่ยวหยวนจัดการผมที่เปียกชื้นของตัวเอง มุมปากยังคงอมยิ้มตามความเคยชินทำไมจะมาไม่ได้เล่า ฮูหยินสามหลิงจีแห่งจวนเสนาบดีกรมคลังกับซูฮูหยินเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน พวกนางสนิทสนมกันมาแต่ไหนแต่ไร ไม่แปลกหากอวิ๋นหานจะใช้โอกาสนี้มาร่วมงานเพื่อจะได้พบหน้าบุรุษที่นางใฝ่หาครั้นเห็นสามียังคงมีสีหน้าอ่อนโยนนุ่มนวลกับรอยยิ้มหวานของผู้เป็นน้องสาวร่วมบิดา อวิ๋นซือก็อดยิ้มบ้างไม่ได้ จริงอยู่ที่หลันชิงไม่ใช่ขุนนางมีอำนาจ แต่เขาคือพ่อค้าที่มีเงิน และบิดาของนางก็คือคนที่ต้องการมันมากที่สุดเกือบสองปีที่ผ่านมา หลันชิงเสียเงินส่วนนี้ให้ท่านพ่อของนางไปไม่น้อย จวนเสนาบดีกรมคลังไม่ต่างจากเปลือกหอยที่ข้างนอกคงอยู่ดี แต่ข้างในนั้นกลวงโบ๋ เพราะความมือใหญ่ใจเติบของบิดา เกรงว่าอีกฝ่ายคงเริ่มไม่ไว้ใจนาง และคงกังวลว่าขุมทรัพย์เยี่ยงหลันชิงจะหลุดมือ
“นายท่าน...” อาอิ้นก้าวออกมาพลางร้องเรียกหลันชิงมองหน้าคนสนิท เมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่ายจึงเอ่ยขึ้น “มีอะไร”ทว่ายังไม่ทันที่บ่าวหนุ่มจะเอ่ยปาก เสียงกรีดร้องร่ำไห้ก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน พร้อมกับเจ้าของเสียงที่ปรากฏตัวพรวดพราด“ท่านพี่ ท่านต้องจัดการผู้ที่ทำร้ายเจี่ยนเอ๋อร์นะเจ้าคะ”สตรีวัยกลางคนผู้มีเรือนร่างบอบบางถลันเข้ามา นางเกาะขานายท่านสกุลซูพลางร่ำร้องปริ่มว่าจะขาดใจ มือก็จับผ้าเช็ดหน้าซับหางตาไปด้วย อวิ๋นซือมองแล้วให้หมดอารมณ์ อนุเจียวที่เรือนหลังของสามีนางยังมีความเป็นมืออาชีพมากกว่าเลย ร้องไห้แบบนี้หาความงามไม่เจอ แล้วยังไม่ชวนมองอีก“ซูเจี่ยนทำผิด ข้าเป็นคนสั่งลงโทษเอง น้าสะใภ้คิดจะจัดการหลานชายผู้นี้อย่างไรหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยนุ่มนวล แต่ในสำเนียงกลับแฝงด้วยความคุกคาม หลันชิงทำเพียงอมยิ้มบาง ทว่าดวงตาที่คล้ายเมล็ดซิ่งนั้นกลับไร้รอยยิ้ม“เอ่อ...” ซูฮูหยินฟังแล้วเหงื่อตก พูดไม่ออก กับคนอื่นนางอาจกล้าโวยวาย แต่มิใช่กับหลานชายต่างสกุลผู้นี้แน่ ความกล้าของนางแทบไม่มียามที่เห็นอีกฝ่ายหลายปีก่อนหากไม่ได้หลันชิงยื่นมือเข้าช่วยเหลือยามตกต่ำ มีหรือที่สกุลซูจะยังยืนหยัดเป็นไม้สู
ซูเจี่ยนเหลียวไปมองตามสายตาของนาง วางมาดคุณชายตระกูลใหญ่เพื่อหวังข่มคนที่อยู่ด้านหลัง เขาสะบัดพัดในมือเสียงดังพึ่บ พลางยืดอกและเชิดใบหน้าขึ้นสูงจนแทบไม่เห็นหัวคนทว่ายามเห็นอีกฝ่าย ใบหน้าเจ้าเล่ห์ก็พลันเผือดขาวทันที น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นตะกุกตะกักสิ้นดี“หละ...หลันชิง!”หลันชิงหรี่ตามองญาติผู้น้องของตน ไม่ใส่ใจท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นนั้น กลับหันไปมองร่างบางที่นั่งยิ้มหวานอย่างหงุดหงิด‘นี่หากเขายังไม่เดินเข้ามา นางก็คงยังไม่เลิกคุยกับลูกผู้น้องใช่หรือไม่ แล้วยังรอยยิ้มหวานนั้นอีก จำเป็นต้องยิ้มขนาดนั้นเลยหรือไร’ยิ่งคิดหลันชิงก็ยิ่งหงุดหงิด ทว่าตัวต้นเหตุกลับนั่งส่งยิ้มตาใสให้แบบไม่รู้เรื่อง และเมื่อไม่อาจระบายกับสตรีของตนได้ โทสะที่ก่ออยู่ภายในใจจึงถูกส่งไปให้อีกคนแทน“อาอิ้น”“ขอรับ นายท่าน” อาอิ้นรีบก้าวเข้ามาพลางขานรับโดยไว เขาที่รับใช้นายท่านมาตั้งแต่เด็กแค่เห็นก็รู้ว่าคนที่น้อยครั้งจะมีโทสะเริ่มโกรธแล้ว“ตีเขาให้หนัก แต่อย่าให้มีส่วนไหนหัก แล้วส่งตัวกลับไปคฤหาสน์สกุลซู”ตีอย่างนั้นหรือ!ซูเจี่ยนถลันร่างลุกขึ้นพรวด ดวงตาฉายแววไม่ยินยอม จะดีจะชั่วเขาก็เป็นถึงคุณชายรองสกุลซูนะ ท
เดือนเจ็ดยังคงมีมรสุมยังคงพัดผ่าน อากาศร้อนชื้นทั้งยังมีฝนเฉอะเเฉะ ชวนให้อารมณ์ของผู้คนขุ่นมัวหลันชิงกับและอวิ๋นซือจำต้องเดินทางสู่เมืองลั่วหยาง เพราะสกุลซูซึ่งเป็นบ้านเดิมของฮูหยินผู้เฒ่า ได้จัดงานเลี้ยงประจำตระกูลขึ้น หลังมอบหมายงานให้ฮูหยินรองและอาเต๋อเรียบร้อยแล้ว สองสามีภรรยาก็ออกเดินทางทันที รถม้าที่มีตราประจำสกุลหลันถูกบังคับต่อแถวแถวเป็นขบวนเพื่อออกจากเมืองหลวงเพราะออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง อวิ๋นซือจึงลำบากเป็นพิเศษ นางที่หลับก็ยากตื่นก็ยากทรมานมากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว หลันชิงเหลือบมองร่างบางที่นั่งกระเด็นกระดอนไปมา พลางนึกนับถือในใจ ฮูหยินใหญ่เขาช่างสามารถ ขนาดโงนเงนไปมาเยี่ยงนี้ นางก็ยังหลับได้ลงอีก สุดท้ายกลับเป็นชายหนุ่มเองที่ทนมองไม่ได้ เมื่อเห็นศีรษะทุยพุ่งใส่ผนังรถม้า จึงจำต้องรั้งคนหลับให้เอนซบตักตนอวิ๋นซือหรี่นัยน์ตาลอบมอง เมื่อห็นอีกฝ่ายประคองตนเองขึ้นแนบตัว พลางตบหลังให้เบาๆ หญิงสาวก็ถอนหายใจก่อนจะปล่อยตัวเองหลับต่อ คนเขาเสนอตัวมาเป็นหมอน หากปฏิเสธไปก็คงเสียน้ำใจแย่เพราะคิดเช่นนั้น เจ้าของร่างเล็กจึงไม่เกรงใจ แทบจะปีนขึ้นไปนอนบนตักสามีตลอดทาง ดังนั้นนายท่านห
ในขณะที่นายท่านหลันกำลังพยายามทำหน้าที่สามีผู้แสนดี ศรีภรรยาเอกของเขาก็กำลังเสวยสุข อยู่กับฮูหยินรอง ฮูหยินสาม และฮูหยินสี่อย่างสบายใจเซี่ยอี้หนิง ฮูหยินรองเป็นสตรีวัยยี่สิบปี เรือนร่างบอบบาง กิริยาอ่อนโยน ใบหน้านั้นแม้ไม่งามเป็นหนึ่งทว่าก็มิได้ด้อยกว่าใคร นางเป็นบุตรสาวของพ่อค้าใหญ่แห่งลั่วหยาง ยามที่บิดาของนางประสบเหตุค้าขายขาดทุน ก็ได้หลันชิงช่วยไว้ เซี่ยจิ้งถึงมอบบุตรสาวให้ติดตามอีกฝ่ายถัดมาคือฮูหยินสามหานเซียงหนง เป็นหญิงสาวร่างระหง เพิ่งอายุครบสิบแปดปีเมื่อไม่นานมานี้ รูปลักษณ์งดงามเย้ายวน แต่ด้วยนิสัยที่มิได้อ่อนหวานเหมือนภายนอก ทำให้บิดาของนางที่เป็นขุนนางท้องถิ่น ตัดสินใจส่งอีกฝ่ายแต่งเข้าสกุลหลันเป็นฮูหยินสามเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูล และเพราะฮูหยินสามผู้นี้มีเรี่ยวแรงมากเกิน ทำให้หลันชิงไม่ค่อยไปค้างที่เรือนของนางนัก อวิ๋นซือจำได้ว่าครั้งล่าสุดที่นางเห็นสามีไปค้างกับหานเซียนหนง อีกฝ่ายถึงกับเดินโขยกเขยกไปเสียหลายวันคนสุดท้ายคือลู่ซิง เป็นสตรีจากแดนเจียงหนาน คนที่นั่นล้วนมีใบหน้าและรูปร่างงดงาม ลู่ซิงเองก็เช่นกัน อีกทั้งนิสัยของคนเจียงหนานล้วนเปิดเผยในเรื่องน
หลังจากคืนนั้น นายท่านหลันชิงก็ค้างคืนที่เรือนเสวี่ยติดต่อกันถึงสามคืน ทำเอาฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มหน้าบานไม่หยุด เพราะแม้นางจะเอ่ยปากกับอวิ๋นซือเรื่องบุตรไปแแบบนั้น แต่ที่ความจริงแล้วก็ยังคาดหวังและเฝ้าวาดฝันถึงหลานตัวน้อยจากท้องของอวิ๋นซือด้วยความคาดหวัง เพราะความอคติต่อสายรองในใจ ทำให้นางยังต้องการทายาทสืบทอดสกุลสายตรงจากสะใภ้ใหญ่อวิ๋นซือไม่ได้ล่วงรู้ถึงความในใจของแม่สามีเลยแม้แต่น้อย พอถึงวันที่สี่ เจ้าตัวก็ปิดเรือนเสวี่ย สั่งบ่าวไพร่ให้กระจายข่าวเรื่องล้มป่วยออกไป อีกทั้งยังสั่งเสี่ยวอิงให้ไปรายงานดักคอสามีฮูหยินใหญ่ป่วยหนัก มีไข้สูงมาก เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นติดไข้ไปด้วย จึงสั่งปิดเรือนชั่วคราว ระหว่างนี้ขอให้นายท่านไปค้างกับพี่สาวน้องสาวผู้อื่นๆ ก่อนอีกทั้งยังย้ำนักย้ำหนาว่า... ขอให้นายท่านไม่ต้องมาเยี่ยม...ฮูหยินผู้เฒ่าที่ยังไม่ทันหายดีใจ มีอันต้องกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิดอีกครา ดู๋ดูเอาเถิด สะใภ้ใหญ่ของนางผู้นี้ ร่างกายช่างไม่รักดีเอาเสียเลย อุตส่าห์มีโอกาสงามเพียงนี้ กลับมาป่วยไข้เอาเสียได้ ยามอื่นหรือก็ไม่เป็นด้านอวิ๋นซือที่นอนระทวยให้สาวใช้ทั้งสองปรนนิบัตินวดตัว หาได้สนใจเรื
Comments