ตอนที่ 18 ซ่อนอะไรไว้ไป๋จิ้งหานกับซูเหยียนกำลังส่งคนสืบหาสายลับอย่างหนัก ทุกอย่างเต็มไปด้วยความตึงเครียดเมื่อได้ข้อมูลมาพวกเขาก็เริ่มปรึกษากันไป๋จิ้งหานยังคงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ แต่ชัดเจน“ใกล้จุดที่ยิง มีเรือนอยู่ไม่มาก…บางคนอาจเพิ่งย้ายเข้ามา บางคนอาจดูไร้พิษภัยเกินไป”ซูเหยียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย“…พวกเราควรเริ่มจากคนแถวนี้ก่อน”“โดยเฉพาะคนที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อไม่นานมานี้” ไป๋จิ้งหานกล่าวพลางปรายตามองแนวหลังคาเรือนเบื้องล่างซูเหยียนกล่าวเสียงเบา “หากคนผู้นั้นกล้าหยั่งเชิงเรา...อีกไม่นานต้องมีการเคลื่อนไหวอีกแน่...”ไป๋จิ้งหานพลางนึกถึงใบหน้าของหลินเยว่ ดวงตาซุกซ้อนในเงาของขนตา ดูลึกลับราวกับท้องทะเลลึก ภายรอยยิ้มนั้นจะซ่อนอะไรเอาไว้นะทั้งสองสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะหายวับไปกับเงาราตรีหนึ่งในเรือนที่ถูกสั่งให้จับตามอง หลินเยว่นั่งพิงกรอบหน้าต่าง มองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ ด้วยแววตาอ่อนโยน ลู่เผยกำลังจัดเตรียมข้าวของอย่างขะมักเขม้น โต๊ะไม้ตรงหน้าถูกจัดวางด้วยแผ่นไม้ เข็ม ปากกา และกระดาษ เขาจดสิ่งต่าง ๆ ลงไปด้วยลายมือเรียบร้อย วางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ร
เรือนหลักตระกูลลู่ ภายในห้องรับกินอาหาร ลู่ซ่างนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับเชี่ยเมย สายตาของทั้งสองจับจ้องไปยังบะหมี่ที่ลู่เผยทำเป็นอาหารมื้อเที่ยง เพียงชิมคำแรก ลู่ซ่างพลันรู้สึกสะเทือนใจ ความสามารถเช่นนี้เขากลับไม่เคยรับรู้ รสชาติที่กลมกล่อมอ่อนโยนนั้นทำให้เขายิ่งย้ำว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาได้ละเลยบุตรชายคนโตไปมากเพียงไรยามตระกูลรุ่งเรืองกลับถูกมองข้าม ทว่าพอยามที่ตระกูลตกต่ำ คนที่ยื่นมือมาช่วยเหลือ กลับเป็นลู่เผยผู้ที่เขาไม่เคยให้ความสำคัญคิดมาถึงตรงนี้ลู่ซ่างรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกแน่นในอก เขาวางตะเกียบลงช้า ๆ อย่างรู้สึกผิด ดวงตาหม่นลงเล็กน้อยและเขาตระหนักดีเหตุผลละเลยมองข้ามเกิดจากสาเหตุใดเชี่ยเมยเห็นสีหน้าสามีก็เข้าใจความรู้สึก นางยื่นมือมาวางบนหลังมือของเขาอย่างปลอบโยนเบา ๆ“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า...ลู่เผยชอบทำอาหารถึงเพียงนี้”ลู่ซ่างถอนหายใจหนักหน่วง “ข้าเป็นบิดาที่ล้มเหลวนัก แม้แต่บุตรชายชอบอะไรหรือถนัดสิ่งใด กลับไม่เคยสนใจสักครั้ง”เชี่ยเมยยิ้มบางปลอบใจ “เรื่องผ่านมาแล้วท่านอย่าคิดมากเลย ตอนนี้ลู่เผยกำลังตั้งใจอย่างยิ่ง พวกเราคอยช่วยสนับสนุนเขาเถิด”
ซินเหยาคลี่ยิ้มกว้าง ดวงตาฉายแววสดใสยิ่งกว่าเดิม“ยินดีกับพี่สะใภ้กับพี่ใหญ่ล่วงหน้านะเจ้าคะ...เอ่อ พี่สะใภ้ ข้ามีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง หากข้าจะขอลงเงินสักส่วนสองส่วนร่วมเปิดร้านด้วย จะได้หรือไม่เจ้าคะ”สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างกายซินเหยารีบเอ่ยขึ้นทันที “คุณหนูรอง เงินจำนวนนั้นมิใช่ว่าท่านตั้งใจจะนำไปเปิดร้านผ้าแพรหรือเจ้าคะ?”ซินเหยาเบิกตากว้างก่อนจะหันไปดุสาวใช้อย่างรวดเร็ว“เจ้าอย่าพูดส่งเดช! ข้ายังไม่เคยค้าขายดูแลกิจการอะไรสักอย่าง อยู่ๆ จะไปเปิดร้านผ้าแพรขึ้นมา ก็ไม่ต่างจากเอาเงินไปละลายน้ำทิ้ง”จากนั้นนางก็หันกลับมาหาหลินเยว่ สีหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย “เดิมทีก็คิดจะลองเสี่ยงเช่นนั้นจริงๆ เจ้าค่ะ แต่พอใคร่ครวญดูอีกที...ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มต้นอย่างไร หากได้ร่วมกับพี่สะใภ้ อย่างน้อยก็อุ่นใจได้ว่ามีคนเก่งอยู่ด้วย...ทำให้พี่สะใภ้ขบขันเสียแล้ว”หลินเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน“ข้าย่อมยินดี มีทุนมากขึ้น ย่อมทำอะไรได้สะดวกขึ้น” นางตอบรับคำของซินเหยาโดยไม่ได้รอถามความเห็นจากลู่เผยแม้แต่น้อยซินเหยากล่าวด้วยแววตาเปี่ยมสุข“ขอบคุณพี่สะใภ้เจ้าค่ะ!”จังหวะนั้นเอง ลู่เผยก็เดินออกมาจากครัวโดย
เรือนหลักตระกูลลู่ ภายในห้องรับกินอาหาร ลู่ซ่างนั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับเชี่ยเมย สายตาของทั้งสองจับจ้องไปยังบะหมี่ที่ลู่เผยทำเป็นอาหารมื้อเที่ยง เพียงชิมคำแรก ลู่ซ่างพลันรู้สึกสะเทือนใจ ความสามารถเช่นนี้เขากลับไม่เคยรับรู้ รสชาติที่กลมกล่อมอ่อนโยนนั้นทำให้เขายิ่งย้ำว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาได้ละเลยบุตรชายคนโตไปมากเพียงไรยามตระกูลรุ่งเรืองกลับถูกมองข้าม ทว่าพอยามที่ตระกูลตกต่ำ คนที่ยื่นมือมาช่วยเหลือ กลับเป็นลู่เผยผู้ที่เขาไม่เคยให้ความสำคัญคิดมาถึงตรงนี้ลู่ซ่างรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกแน่นในอก เขาวางตะเกียบลงช้า ๆ อย่างรู้สึกผิด ดวงตาหม่นลงเล็กน้อยและเขาตระหนักดีเหตุผลละเลยมองข้ามเกิดจากสาเหตุใดเชี่ยเมยเห็นสีหน้าสามีก็เข้าใจความรู้สึก นางยื่นมือมาวางบนหลังมือของเขาอย่างปลอบโยนเบา ๆ“ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า...ลู่เผยชอบทำอาหารถึงเพียงนี้”ลู่ซ่างถอนหายใจหนักหน่วง “ข้าเป็นบิดาที่ล้มเหลวนัก แม้แต่บุตรชายชอบอะไรหรือถนัดสิ่งใด กลับไม่เคยสนใจสักครั้ง”เชี่ยเมยยิ้มบางปลอบใจ “เรื่องผ่านมาแล้วท่านอย่าคิดมากเลย ตอนนี้ลู่เผยกำลังตั้งใจอย่างยิ่ง พวกเราคอยช่วยสนับสนุนเขาเถิด”
เขายกจอกสุราขึ้นกระดก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน“ใช้สัญชาตญาณตัดสินผู้อื่น ไม่แปลกที่เจ้าจะครองตนไร้คู่ครองจนถึงทุกวันนี้”ไป๋จิ้งหานมิได้ตอบ ใบหน้ายังคงเย็นชาไม่สนใจคำเสียดสีของอีกฝ่ายเพราะพวกเขายังไม่ออกเรือนทั้งคู่ซูเหยียนทอดสายตามองออกไปยังเบื้องล่างของหอชิงหัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบาแต่น้ำเสียงยังไม่ละความหยัน“เจ้าจะกล่าวหาหญิงคนหนึ่งเพียงเพราะสบตากันครั้งเดียว ช่างไร้มโนธรรมเสียจริง ยิ่งเป็นหญิงงามแล้วด้วย...ข้าแทบอยากร่ำไห้แทนนาง”เขาหันกลับมา “ทว่าหญิงงามเป็นภัย...คำนี้เห็นทีจะไม่เกินจริง ดูอย่างคนของนายอำเภอโจว นางแค่ขึ้นเกี้ยวยังไม่ทันเข้าจวน ก็มีคนตายถึงห้าศพแล้ว”ขณะนั้นเอง ซูเหยียนทอดสายตามองลงไปยังเบื้องล่างของหอชิงหัวสายตาคมกริบที่ดูเหมือนไม่ใส่ใจสิ่งใดกลับชะงักลงทันทีเมื่อเห็นเงาร่างหนึ่งเขาเอนตัวเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงพร่ากึ่งหัวเราะ “นั่นไม่ใช่คุณชายสกุลลู่ ผู้แย่งชิงวาสนาดอกท้อของเจ้าไปหรือ” ไป๋จิ้งหานเหลือบตามองตามเป็นบุรุษสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีหม่นสะอาดสะอ้าน ทั่วกายราวกับจันทราในคืนฟ้าโปร่ง มิอวดแสงจัดจ้าเฉกเช่นตะวัน แต่เปล่งรัศมีแ
หอชิงหัว บนชั้นสูงสุด ชั้นเรือนรับรองเล็กอยู่กลางสวนหินและสระบัวจำลอง อากาศยามบ่ายคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ของชาอบบุปผาและไม้หอม ผ้าม่านโปร่งบางสีน้ำตาลทองลู่ไหวตามแรงลมเย็น ผนังแกะสลักลวดลายวิจิตร ส่วนหนึ่งเปิดกว้างให้เห็นทิวทัศน์ของเมืองชิ่งสุ่ยยามบ่าย บ่าวรับใช้ก้าวย่างอย่างเงียบงันมิให้รบกวนบุรุษสองคน ไป๋จิ้งหานนั่งตรงมุมที่รับแสงพอดี ชายหนุ่มสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ตัดเย็บประณีตอย่างเรียบหรู ผมยาวถูกรวบไว้ด้วยปิ่นหยกดำ หน้าตาคมคายเย็นชา นัยน์ตาเรียบนิ่งดุจสายน้ำใต้แผ่นน้ำแข็ง ไม่มีใครกล้าทายสายตา ดวงหน้าของเขาไม่ใช่ความหล่อเหลาที่หวานละมุนแต่กลับงามสง่าอย่างเฉียบคมสะท้อนแววอันตรายอย่างชัดเจน ต่างจากบุรุษซูเหยียนที่นั่งอยู่ตรงข้าม อาภรณ์เขาเป็นสีขาวงาช้างปักลายเมฆทอง บรรยากาศรอบกายดูผ่อนคลาย ใบหน้าเขามีรอยยิ้มอยู่เสมอ แววตาเจ้าเล่ห์แฝงบุรุษเจ้าสำราญ ขณะดื่มสุราก็ยังมีอารมณ์หยอกล้อประปราย บุรุษผู้นี้แม้แลดูเบาสบาย หากแต่แท้จริงแล้วก็เป็นผู้หนึ่งที่ไม่คนไม่กล้าคาดเดาความคิด ซูเหยียนเอนกายอย่างสบายในอิริยาบถนักปราชญ์ มือหน