จางหลินจูหลับไปอีกครั้งเพราะความอ่อนล้า กระทั่งรุ่งอรุณมาเยือนจึงรู้สึกตัว
“พี่หญิง ตื่นแล้วหรือขอรับ นี่น้ำขอรับ”
จางหลินจูยังไม่หายสับสน แต่ก็ยังเอื้อมมือรับจอกน้ำชาจากมือเล็กคู่นั้น จางหลินจูสำรวจองคาพยพของเด็กชายตรงหน้าพักใหญ่ ผิวพรรณของเขาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู เพียงแต่สภาพดูมอมแมมไปบ้าง สังเกตดี ๆ เด็กคนนี้หน้าคล้ายจางหลินจูสมัยวัยกระเตาะเป็นอย่างมาก
กระทั่งดื่มน้ำจนไม่รู้สึกกระหายแล้ว จางหลินจูจึงเอ่ยถาม “หนูจ๊ะ คือ…หนูเป็นใครงั้นเหรอ”
เด็กชายตัวน้อยเริ่มเบะปากเตรียมร้องไห้ จางหลินจูทำตัวไม่ถูก หันรีหันขวางแล้วจึงส่งยิ้มแหย มือเรียวเอื้อมลูบไหล่เล็กเพื่อปลอบประโลม “ไม่ร้องนะคะ ไม่ร้อง พี่ไม่เป็นไรแล้ว ถ้าเป็นเด็กดีพี่จะซื้อขนมให้กิน ดีไหมครับ”
เด็กชายหุบปากฉับเมื่อได้ยินคำว่าขนม พลางกลั้นเสียงสะอื้นจนหน้าแดงแก้มป่อง จางหลินจูลุ้นตามจนตัวงอ ครั้นเจ้าตัวเล็กควบคุมอารมณ์ได้แล้ว จางหลินจูจึงค่อย ๆ ตะล่อมถาม พร้อมยกมือทำท่าสูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะให้อีกฝ่ายกำหนดลมหายใจตาม แทนที่จะเป็นจางหลินจูที่ต้องได้รับการปลอบใจ แต่กลับกลายเป็นว่า จางหลินจูดันมีน้องชายให้ต้องคอยดูแลเสียอย่างนั้น
แขนเล็ก ๆ ยกขึ้นปาดป่ายใบหน้าเพื่อเช็ดคราบน้ำตา จางหลินจูเห็นเช่นนั้นก็อดยิ้มเอ็นดูเป็นไม่ได้ จึงยื่นมือช่วยซับคราบดินและสิ่งสกปรกออกให้อีกฝ่ายร่วมด้วย
“เก่งมากเลยครับ คราวนี้เป็นเด็กดีแล้ว พี่จะซื้อขนมให้กิน แต่ต้องบอกพี่ก่อนว่าหนูเป็นใคร และที่นี่ที่ไหน”
เด็กชายพยักหน้าหงึกหงัก
“พี่หญิง ข้ามีนามว่า จางหลินชวน เป็นน้องชายของท่าน”
จางหลินจูกะพริบตาถี่ น้องชายงั้นเหรอ
เด็กน้อยยังคงเจื้อยแจ้วต่อ “ปกติท่านจะเรียกข้าว่าชวนเอ๋อร์ ส่วนที่นี่คือชายแดนระหว่างเดินทางไปเมืองอันเจียง เรากำลังจะเดินทางไปหาญาติที่หมู่บ้านซิงเยียนขอรับ”
จางหลินจูยังไม่เข้าใจ ภาษาที่เด็กน้อยพูดก็ราวกับหลงยุคสมัย จางหลินจูสำรวจเสื้อผ้าที่จางหลินชวนสวมใส่ สังหรไม่ดีผุดขึ้นจนเกิดอาการตื่นตระหนก เหงื่อเย็นเปียกโซมเต็มแผ่นหลัง จางหลินจูพยายามตริตรองว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันหรือไม่
ทว่าเมื่อย้ายสายตากลับมาบนเรือนร่างตัวเอง จางหลินจูก็ยิ่งตกใจแทบสิ้นสติ เพราะเสื้อผ้าที่กำลังสวมอยู่ตอนนี้ช่างดูเก่าปอน ซ้ำยังมีรอยปะชุนหลายสิบที่ อีกอย่างยังเป็นรูปแบบการตัดเย็บสุดโบราณไม่ต่างจากเด็กน้อยตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ
เอาล่ะ อย่ากระโตกกระตาก บางทีเราอาจฝันอยู่ก็ได้ คุณพ่อแอบมีบ้านน้อยหรือยังไง เราไม่มีน้องชายไม่ใช่เหรอ
เพียะ!
จางหลินชวนเบิกตากว้างเมื่อเห็นพี่สาวกำลังฟาดหน้าตนเองจนบังเกิดรอยนิ้วทั้งห้า
“พี่หญิง นี่ท่านทำอะไรขอรับ เจ็บหรือไม่”
เด็กน้อยรุดเข้าจับมือจางหลินจูเอาไว้ด้วยอาการตระหนก สีหน้าของจางหลินจูยามนี้เหยเกเป็นที่เรียบร้อย กระบอกตาคู่งามก็แดงก่ำ น้ำสีใสพร้อมจะไหลพรากลงมาเสียให้ได้
“นี่…ไม่ใช่ฝันเหรอ ช่วยบอกพี่ทีว่ามันไม่ใช่ความฝัน มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
“พี่หญิง ท่านตื่นแล้วจะฝันได้อย่างไรขอรับ ท่านอย่าทำร้ายตนเองสิขอรับ อีกเดี๋ยวท่านแม่ก็กลับมาแล้ว”
จางหลินจูจิตใจเลื่อนลอย เด็กน้อยคนนี้พูดจารู้ความเป็นอย่างมาก ไม่นานก็ต้องหลุดจากภวังค์เมื่อสตรีวัยกลางคนเดินเข้ามาพร้อมกับบุรุษผู้หนึ่ง
จางหลินจูมองคนทั้งสองอย่างเงียบงัน ลักษณะแบบนี้ต้องเป็นหมอไม่ผิดแน่ แต่เครื่องแต่งกายเหล่านั้นเธอเคยพบเจอในซีรีส์หรือภาพถ่ายทางประวัติศาสตร์ก็เท่านั้น
แม้เรื่องราวจะสุดเหลือเชื่อ แต่จางหลินจูก็ยังดีใจที่ได้พบหน้ามารดาอีกครั้ง ทว่าจางหลินจูก็ต้องใจเสียขึ้นอีกหน เมื่อไม่พบบิดาของตนอยู่ด้วย
“จูเอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือลูก พอดีเลย แม่ไปพาท่านหมอมาแล้ว ให้ท่านหมอดูอาการหน่อยนะลูก”
จางหลินจูน้ำตาคลอ ลำคอคล้ายมีบางอย่างจุกเอาไว้จนแน่นไปหมด เธอพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย
“แม่หนู ยื่นมือมาสิ”
จางหลินจูยื่นมือให้ผู้เป็นหมอ ผ้าแพรผืนบางถูกวางลงบนข้อมือเล็ก นิ้วหยาบกร้านวางนิ้วทาบลงเพื่อวัดชีพจร จางหลินจูเหงื่อซึม ใจเต้นแรงเสียจนผู้เป็นหมอต้องขมวดคิ้ว
“แม่หนูคนนี้ชีพจรสับสน ดูเหมือนคงถูกไอเย็นมากเกินไป ให้นางพักผ่อนสักสองสามวัน กินยาตามเทียบอาการน่าจะดีขึ้น แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไรหรือเจ้าคะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยถาม
จางหลินจูได้ยินวาจาของมารดาที่ต่างออกไปก็รับรู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าไม่ใช่แม่ของตน แต่นางอาจเป็นแม่ของจางหลินจูในห้วงเวลานี้จริง ๆ ยิ่งตริตรองเรื่องข้ามเวลาเกิดใหม่ จางหลินจูก็ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้กระเจิดกระเจิงไปมากกว่านี้ และค่อย ๆ เก็บรายละเอียดบทสนทนาตรงหน้าต่อไปไม่ให้คลาดสายตา
“ไอหยินในกายมีมากเกินไปยากจะหายขาด บางทีหากนางแต่งงานมีสามีอาจจะช่วยบรรเทาเรื่องนี้ได้”
จางหลินจูหูอื้ออึง
มีสามี สามีอะไรกัน นี่เราอายุแค่สิบห้าเองนะ ดูจากร่างกายตอนนี้ไม่เกินสิบสี่ปีด้วยซ้ำ
“เช่นนี้เอง ขอบคุณเจ้าค่ะท่านหมอ”
มือผอมแห้งปลดถุงเงินใบเก่าจากข้างเอว ผู้เป็นหมอถอนหายใจเบา “แม่นาง ไม่ต้องหรอก ถือเสียว่าข้าช่วยเหลือก็แล้วกันนะ นี่เป็นเทียบยา”
“ได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านรักษาคนก็ต้องใช้แรง ใช้ต้นทุน ไหนจะยาที่ท่านจัดสรรให้”
หมอวัยกลางคนโบกมือ “ไม่เป็นไร ดูพวกเจ้าสิ สามคนแม่ลูกอยู่อุดอู้ที่แห่งนี้ได้อย่างไร คงกำลังประสบปัญหาใหญ่ใช่หรือไม่”
สตรีฝั่งตรงข้ามสลดลง จากนั้นเอ่ยเสียงค่อย “เจ้าค่ะพวกเรากำลังจะเดินทางไปพึ่งใบบุญญาติ”
ท่านหมอถอนหายใจอีกครั้งด้วยความเวทนา “จากหน้าตาท่าทางพวกเจ้าคงไม่เคยนอนกลางดินกินกลางทรายเช่นนี้มาก่อน เงินนั่นเก็บไว้เป็นค่าเดินทางเถิด แม่นาง...แล้วสามีเจ้าเล่าเขาไปที่ใด”
บรรยากาศด้านในเงียบไปพักหนึ่ง จางหลินจูเองก็ตั้งใจฟังเพื่อรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุด กระทั่งได้ยินเสียงสั่นเครือกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวดใจ
“สามีของข้าเพิ่งจากไปได้ไม่นานเจ้าค่ะ เขาหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานแล้ว”
จางหลินจูหน้ามืดตาลาย นี่หรือชีวิตใหม่ที่เธอร้องขอ ไม่ได้ขอมาสู้ชีวิตเสียหน่อย คงเพราะคำอธิษฐานสุดท้ายที่ไม่สมบูรณ์เป็นเหตุให้จางหลินจูได้เกิดใหม่เป็นคุณหนูผู้อับโชคเช่นนี้
ฮื่อ…คุณพ่อคะ สวรรค์ เอาคุณพ่อเราคืนมานะ…
หนึ่งปีหลังจากจางหลินจูและซวี่ฟางจิ้นวิวาห์และสะสางงานทั้งหมดจนเรียบร้อยทั้งสองก็เดินทางมาเยี่ยมท่านหมอหลี่“ซื่อจื่อ” ท่านหมอหลี่ค้อมศีรษะลงจากนั้นผินหน้ามาส่งยิ้มให้จางหลินจูเขาตั้งใจค้อมศีรษะเพื่อเคารพนาง ทว่าจางหลินจูรุดเข้าประคองเขาไว้เสียก่อน“ท่านหมอหลี่ เกรงใจไปแล้ว”“ได้อย่างไร เป็นถึงฮูหยินซื่อจื่อ”“ท่านหมอหลี่คนกันเองทั้งนั้น ท่านเคยช่วยเหลือจูเอ๋อร์ไว้ตั้งมาก อย่าได้มากพิธีเลย” ซวี่ฟางจิ้นเอ่ยไม่นานเจ้าตัวเล็กก็วิ่งรี่เข้ามาเกาะเอวหลี่จงหยาง “ท่านหมอหลี่”“ตายแล้ว คุณชายน้อย ระวังเจ้าค่ะ”ลู่เสียนวิ่งหน้าตื่นเพราะเกรงว่าจางหลินชวนจะวิ่งซนจนได้บาดแผล“ไม่เป็นไร” ท่านหมอหลี่เอ่ย จากนั้นยอบกายลงอุ้มเจ้าตัวเล็กไว้บนอ้อมแขน พลางเขี่ยปลายจมูกหยอกล้อ“ชวนเอ๋อร์ โตเป็นหนุ่มแล้วนี่นา”จางหลินชวนยิ้มตาหยี “ท่านหมอหลี่ คิดถึงชวนเอ๋อร์หรือไม่ขอรับ”“คิดถึงสิ คิดถึงมากเลยล่ะ”จางหลินจูและซวี่ฟางจิ้นยืนมองจางหลินชวนเจื้อยแจ้วกับท่านหมอหลี่ไม่หยุดปากก็ต่างส่งยิ้มให้กับภาพอันแสนสุข
สองวันก่อน ณ ท้องพระโรงแคว้นอันอี้โอรสแห่งสวรรค์นั่งแผ่กลิ่นอายครั่นคร้ามอยู่บนบัลลังก์มังกรสีทองอร่าม ซวี่ฟางจิ้นถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าพร้อมเหล่าขุนนางทั้งบู๊และบุ๋น“ซวี่ซื่อจื่อ”“พ่ะย่ะค่ะ” ซวี่ฟางจิ้นประสานฝ่ามือพลางค้อมศีรษะอยู่บริเวณกลางท้องพระโรงหน้าบัลลังก์“เจ้าสามารถกวาดล้างพวกหนักแผ่นดินออกไปได้อย่างแยบยล กลยุทธ์การศึกล้วนเป็นเลิศแม้อายุยังน้อย เช่นนั้นข้าจะปูนบำเหน็จให้แก่เจ้า”“ขอบพระทัยฝ่าบาท เพียงแต่บำเหน็จนี้สามารถทูลขอตามความต้องการได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”ขุนนางทั้งท้องพระโรงแตกตื่น รวมถึงบิดาของเขา ซวี่อ๋อง เหงื่อกาฬเริ่มเปียกโซมแผ่นหลัง ลูกชายตัวดีของเขากำลังจะก่อเรื่องอีกแล้ว ครั้งก่อนเขาต้องบากหน้าใช้ข้ออ้างสารพัดเพื่อยกเลิกงานหมั้นหมายกับท่านหญิงรั่วซี มาหนนี้บุตรชายตัวดีอยากได้บำเหน็จที่ตนต้องการ ทั้งที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยร้องขอมาก่อน“จิ้นเอ๋อร์” เสียงทุ้มเอ่ยลอดไรฟันหมายปรามซวี่ฟางจิ้นทว่าซวี่ฟางจิ้นหาได้ใส่ใจ เขายังคงประสานฝ่ามือและทำหูทวนลมต่อไป อึดใจเดียวทุกคนก็ได้ยินเสียงตบเข่าดังฉาด ขุนนางทั้งซ้ายขวาที่ถ
อรุณรุ่งมาเยือน จวนนายอำเภอกลับบังเกิดความอลหม่าน เมื่ออยู่ ๆ ก็มีหมายจากทางการเข้าจับกุมทุกคนต่างมารวมที่ลานกลางเรือน จางจางอิงที่ตื่นขึ้นบริเวณศาลาริมน้ำ กรีดร้องจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ใบหน้าของจางจางอิงแดงเป็นจ้ำเพราะถูกบรรดาแมลงกัดต่อย ฟูมฟายไม่นานก็ถูกทหารสองนายมาลากตัวออกไป“ปล่อยนะ ปล่อยข้านะ พวกเจ้าเป็นใคร”“คุณหนู เจ้าอย่าดิ้นรนให้เปลืองแรง ยามนี้จวนนายอำเภอถูกล้อมไว้หมดแล้ว”จางจางอิงหน้าตื่น “หมายความว่าอย่างไร”นายทหารไม่ตอบอีก ทว่ากลับพานางถูลู่ถูกังมายังลานกลางเรือนร่วมอีกคนหนิงเจินเห็นหน้าบุตรสาวลายพร้อยประหนึ่งเสือดาวก็แตกตื่น แต่เรื่องที่น่าตระหนกยิ่งกว่าคือทั้งจวนนายอำเภอกระทำสิ่งใดผิดก็หารู้ได้ และผู้นำการจับกุมครั้งนี้ก็คือ ซวี่ซื่อจื่อ“อิงเอ๋อร์ นี่เจ้าเป็นอะไรไป”จางจางอิงหน้าบูด “ท่านแม่ ข้าเองก็ไม่ทราบ ตื่นมาอีกครั้งก็เห็นตัวเองนอนอยู่ที่ศาลาริมน้ำท้ายสวนโน่นเจ้าค่ะ”หนิงเจินผงะ หวนนึกถึงภาพเมื่อคืนก็บังเกิดความผวา “ละ…แล้วเมื่อคืนที่แม่เห็น ไม่ใช่เจ้างั้นหรือ”จางจางอิงหันขวับ “หมายความ
บ่าวรับใช้นายหนึ่งเดินเข้ามาโน้มกระซิบข้างหูจางหมิ่น “นายท่าน คุณหนูยังไม่กลับเรือนเล็กเลยขอรับ”จางหมิ่นลอบมองท่าทางซึ่งเริ่มเมาได้ที่ของซวี่ฟางจิ้น ซื่อจื่อเองก็ไม่ได้มองหรือใส่ใจเขา จางหมิ่นจึงวางใจ“ส่งคนไปตามหานางให้ทั่ว เอาของสิ่งนั้นมาให้ได้”“ขอรับ”บ่าวบุรุษร่างโตถอยหลังค้อมศีรษะจากไป จางหมิ่นเหลือบมองภรรยาข้างกายเป็นนัยให้ทำตามแผนเสียที“ซื่อจื่อ ดื่มอีกหน่อยนะเจ้าคะ นาน ๆ ท่านจะได้มาเยือนที่นี่”ซวี่ฟางจิ้นมิได้ปฏิเสธเขายิ้มตอบพร้อมรับจอกสุรากระดกลงคอ ซวี่ฟางจิ้นดื่มสุรามากเกินไป ยามนี้สติของเขากำลังพร่าเบลอ ร่างกายโอนเอนไปมาประหนึ่งหญ้าอ่อนต้องสายลมจางหลินจูผลัดอาภรณ์ใหม่ให้คล้ายกับสาวใช้ในจวน นางยืนหลบหลังสาวใช้อีกนางอยู่ไม่ห่าง เหลือบมองท่าทีเมาแอ้ของซวี่ฟางจิ้นอย่างนึกหงุดหงิดซื่อจื่อ ท่านนี่มีหัวไว้คั่นหูหรือไง ไยต้องทำตนเองให้เมาหัวราน้ำเพียงนี้กันภารกิจช่วยเหลือผู้มีพระคุณของจางหลินจูดูเหมือนจะเกิดอุปสรรคใหญ่เสียแล้ว เมื่อเห็นว่าซวี่ฟางจิ้นกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบา
จางหลินจูกลับมายังจุดชมบุปผา ทว่านางไม่พบเฟยหมิงแล้ว“อาลี่ แล้วหัวหน้าผู้ตรวจการเล่า”“คุณหนู ท่านมาแล้วหรือ ไม่นานมานี้ท่านหญิงรั่วซีถูกงูกัดเจ้าค่ะ”จางหลินจูตกใจ “ท่านหญิงเป็นอันใดมากหรือไม่ แล้วยามนี้นางอยู่ที่ใด”“นายท่านตามหมอมาแล้วเจ้าค่ะ และตอนนี้หัวหน้าผู้ตรวจการก็กำลังพาท่านหญิงไปส่งที่จวน”จางหลินจูถอนหายใจโล่งอก ครั้นเหลือบมองอีกด้านก็เห็นบุรุษร่างสูงเดินตรงเข้ามาไม่ห่าง ทั้งหมดเป็นเพราะเขาทำให้นางต้องผิดนัดกับเฟยหมิง หนำซ้ำท่านหญิงรั่วซีเกิดเหตุขึ้นทั้งที่นางมีวิชาแพทย์ติดตัวแต่กลับช่วยสิ่งใดไม่ได้เลย“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ” ซวี่ฟางจิ้นเอ่ยถามซูลี่สะดุ้งโหยง “เอ่อ…ซื่อจื่อ เมื่อครู่ท่านหญิงถูกงูกัดเจ้าค่ะ”ซวี่ฟางจิ้นเหลียวมองผู้คนในงานที่หลงเหลือบางตา แต่มิได้แตกตื่นเช่นคราแรกแล้ว “นางเป็นไงบ้าง”“ท่านหญิงปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ หัวหน้าผู้ตรวจการกำลังไปส่งที่จวน”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง เขาพอทราบความสัมพันธ์สองคนนี้มาบ้าง ดูเหมือนเขาคงไม่ต้องหวาดระแวงเรื่องหมั้นหมายของตนเพียงนั้นแล้วจางหลินจูยื
ค่ำคืนนี้ยังหลงเหลือแขกอีกมาก เพราะหลายคนล้วนอยากชื่นชมผการ้อยราตรีด้วยกันทั้งสิ้น เนื่องจากจวนซวี่อ๋องอยู่ไกลถึงหัวเมืองใหญ่ จางหมิ่นจึงให้บ่าวรับใช้ตระเตรียมห้องหับเพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญโดยเฉพาะ ส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็อยู่ไม่ไกลจากจวนนายอำเภอมากนัก จึงไม่ได้เกิดปัญหาต่อการเดินทางยามกลับเรือนเวลามืดค่ำแต่อย่างใด“จูเอ๋อร์”จางหลินจูสะดุ้งตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังมาจากเบื้องหลัง เสียงอันคุ้นเคยนี้เป็นเหตุให้จิตใจของนางระส่ำระสาย มือที่ถือกล่องขนมหวานเอาไว้สั่นระริกจางหลินจูได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ร่างระหงยังคงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมและไม่กล้าขยับ กระทั่งลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดใบหูเล็ก จางหลินจูก็ผละห่างจากเขา“ซะ…ซื่อจื่อ ท่านมีอันใดเจ้าคะ ไยจึงไม่อยู่ในงานหรือ”นัยน์ตาคมหรี่ลงเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบคำถามของนาง เพียงมองไปยังกล่องขนมที่จางหลินจูถือเอาไว้“แล้วเจ้าเล่า เหตุใดมาอยู่ตรงนี้ผู้เดียว”“ข้าก็แค่มาเอาของเจ้าค่ะ”“ของที่ว่าคือขนมนั่น ซึ่งเจ้าทำให้หัวหน้าผู้ตรวจการเฟยงั้นหรือ”จางหลินจูกลืนน้ำลายหนืดเหนียวลง