Share

บทที่ 3 ยอมรับความจริง

last update Last Updated: 2025-08-12 09:41:13

หลายวันผันผ่านจางหลินจูได้รับการดูแลจากสองแม่ลูกอย่างดี จางหลินจูจึงทำใจยอมรับความจริงที่ว่า ตนได้เกิดใหม่ในร่างคุณหนูตระกูลเศรษฐีซึ่งตอนนี้กำลังตกอับและจนตรอก

มารดาของจางหลินจูในมิติแห่งนี้ยังมีนามว่า หวงเจิ้นอี๋ ส่วนบิดานามว่าจางเฉินซี ทว่าบิดาของจางหลินจูได้ตรอมใจตายไปเมื่อหลายวันก่อน

จางหลินจูร้องไห้จนแทบไม่หลงเหลือน้ำตาให้ไหลอีก จากนั้นความทรงจำและความรู้สึกต่าง ๆ ที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ก็พรั่งพรูเข้ามาดุจทำนบแตก ช่างเป็นการเกิดใหม่ที่อัศจรรย์พันลึกยิ่งนัก ไม่คิดเลยว่าสวรรค์จะเมตตาเพียงเสี้ยวเดียว โดยการส่งจางหลินจูให้เกิดใหม่เพื่อมาดิ้นรนเอาชีวิตรอดในโลกอีกด้าน

บางทีอาจเพราะชีวิตในโลกใบเดิม จางหลินจูอยู่สุขสบายมากจนเกินไป จางหลินจูจึงเลิกน้อยใจต่อโชคชะตาและคิดเพียงว่าสวรรค์กำลังยื่นบททดสอบมาให้ต่างหาก ปลายทางสุดท้ายอาจเป็นความสุขที่แท้จริงซึ่งกำลังรออยู่ก็ได้ 

“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าหายดีแล้ว แต่ท่านดูจะป่วยหนักกว่าข้าอีกนะเจ้าคะ”

จางหลินจูสังเกตอาการป่วยไข้ของหวงเจิ้นอี๋มาสักระยะแล้ว ใบหน้าของมารดาในยามนี้ช่างซูบตอบ กระดูกบริเวณแก้มผุดโผล่เด่นชัด ริมฝีปากแห้งผากขาวซีด 

หวงเจิ้นอี๋ส่งยิ้มอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ ทั้งที่ตนแทบไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ยังเอ่ยปฏิเสธ “แม่ไม่เป็นไร เจ้าทั้งสองกินให้อิ่ม นอนให้หลับเท่านี้แม่ก็ดีใจมากแล้ว แค่ก…”

หวงเจิ้นอี๋พยายามกดข่มอาการไอโขลก แม้จะทรมานแต่ก็ยังทนกลืนความระคายลงไป จากนั้นเหลียวมองเจ้าก้อนซาลาเปาที่กำลังนั่งเคี้ยวอาหารจนแก้มตุ่ย หวงเจิ้นอี๋เห็นลูกที่เคยอยู่สบายได้รับความลำบาก ความรู้สึกผิดก็โหมกระหน่ำราวเกลียวคลื่น นางช่างเป็นมารดาที่แย่เหลือเกิน จากชีวิตอันสวยหรูประหนึ่งเทพนิยาย กลับกลายเป็นตกอับดุจสุนัขจนตรอกภายในพริบตา 

จางหลินจูแย่งช้อนซึ่งมีรอยบิ่นบริเวณปลายด้ามมาไว้ในมือ “ข้าไม่หิวเจ้าค่ะ หลายวันมานี้ ข้ายังไม่เห็นท่านแม่แตะอาหารสักคำ”

“แม่กินมาจากข้างนอกแล้ว แค่ก…”

เอ่ยไปก็หลุดไอไป จางหลินจูแน่ใจแล้วว่ายามนี้มารดาของนางกำลังป่วยหนัก และป่วยเรื้อรังมานานแล้วด้วย ทว่าหวงเจิ้นอี๋ยังออกไปตากแดดตากลมเพื่อหาเงินซื้อข้าวปลาอาหารมาให้พวกนางสองพี่น้อง

“ท่านแม่ ท่านกำลังป่วย ที่ท่านออกไปข้างนอกหลายชั่วยาม เพราะไปหาของพวกนี้มาให้เราใช่หรือไม่เจ้าคะ อีกอย่างท่านยังไม่ได้แตะสักคำด้วยซ้ำ ข้าพูดถูกหรือไม่ ท่านอย่าได้โป้ปดข้า”

หวงเจิ้นอี๋ยิ้มบาง มือผอมแห้งซึ่งยามนี้หยาบระคายและแสนด้าน ตามง่ามนิ้วที่เคยเรียวขาวขึ้นตุ่มตาปลาเต็มไปหมด ลูกคุณหนูที่ไม่เคยแตะต้องงานหนักเลยครึ่งชีวิต จะต้องแบกรับความลำบากมากเท่าใดกัน 

จางหลินจูตกใจและเวทนามารดาเป็นอย่างมาก นางเร่งคว้ามืออีกฝ่ายมาสำรวจ “นี่ท่านแม่ ออกไปทำงานอะไรมาเจ้าคะ ไยสภาพมือจึงเป็นเช่นนี้”

หวงเจิ้นอี๋พยายามชักมือกลับ แต่บุตรีตรงหน้าก็ยังดื้อรั้นยื้อเอาไว้ “ไม่มีอะไร แค่รับจ้างขายผักขายปลาเท่านั้นเองลูก”

“ไม่จริง ท่านแม่เจ้าคะ ข้าหายดีแล้ว ต่อไปท่านไม่ต้องออกไปที่ใดแล้วนะเจ้าคะ”

“ได้อย่างไร หากแม่ไม่ออกไป พวกเจ้าทั้งสองจะมีอาหารกิน มีเสื้อผ้าคลายหนาวได้อย่างไร อีกหน่อยก็ต้องเดินทาง แม่จะเก็บเงินไว้พาพวกเจ้านั่งรถม้าไป”

จางหลินจูส่ายหน้า “ข้าจะทำงานเองเจ้าค่ะ”

ในเมื่อกลับไปยังโลกใบเดิมไม่ได้อีกแล้ว เช่นนั้นจางหลินจูก็จะเรียนรู้การทำงานและการใช้ชีวิตของคนที่นี่ แม้ชาติก่อนจางหลินจูคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ทว่าจางหลินจูก็ไม่เคยเกียจคร้านที่จะศึกษาการเอาตัวรอดในโลกอันกว้างใหญ่ เพราะจางหลินจูรู้ดี ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า บิดามารดาก็ไม่อาจช่วยเหลือเคียงข้างไปได้ชั่วนิรันดร์ 

“เด็กดี แม่โชคดีจริง ๆ ที่มีเจ้าเป็นลูกสาว แค่ก แค่ก…”

“ท่านแม่ ไม่ต้องพูดแล้วเจ้าค่ะ ท่านนอนพักนะเจ้าคะ”

จางหลินจูประคองมารดาให้นอนราบลงบนแคร่ไม้ไผ่เก่าคร่ำคร่า ทุกอย่างในนี้ช่างดูแย่และสกปรกไปเสียหมด

“จูเอ๋อร์ นั่นเจ้าจะไปที่ใดหรือ”

จางหลินจูซึ่งผละกายห่างออกมา ยังเดินไม่พ้นธรณีประตูด้วยซ้ำก็ถูกเรียกขานเอาไว้เสียก่อน

“ท่านแม่ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าจะไปสำรวจเส้นทางครู่เดียว อีกอย่างข้าจะไปตามหมอด้วย”

“แต่เจ้าต้องไอเย็นไม่ได้ ข้างนอกพระอาทิตย์กำลังจะตก ไว้พรุ่งนี้เถอะนะลูก”

จางหลินจูรู้เพียงว่าในใจร่ำร้องให้ออกไปตามหมอเดี๋ยวนี้ เพราะต้องสูญเสียบิดาไปแล้ว จางหลินจูไม่อยากเสียมารดาไปอีกคน

“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะรีบไป รีบกลับนะเจ้าคะ”

แค่ก แค่ก

เสียงไอไล่หลังเป็นเหตุให้ฝีเท้าหยุดนิ่งอีกครั้ง เด็กตัวจ้อยวิ่งเตาะแตะเข้ามาเขย่าแขนจางหลินจู

“พี่หญิงจะไปที่ใดหรือ ชวนเอ๋อร์ไปกับท่านได้หรือไม่ขอรับ”

จางหลินจูลดเปลือกตามองน้องชายหน้าตาจิ้มลิ้ม จากนั้นก็ส่งยิ้มอบอุ่น ร่างระหงยอบกายลงแช่มช้า มือเรียวลูบไล้แก้มนิ่มป่องด้วยความเอ็นดู

“ชวนเอ๋อร์ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่นะ พี่ออกไปครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานจะรีบกลับ”

“แต่…” เด็กน้อยยู่หน้า

“ไว้กลับมาพี่จะซื้อขนมมาฝากตามสัญญา ว่าอย่างไร อยากกินหรือไม่”

เด็กน้อยตาโต กระโดดยกแขนดีใจราวลิงโลด นานมากแล้วที่จางหลินชวนไม่ได้กินขนมหวานที่ชื่นชอบ ทว่ายิ้มไม่ทันไรก็ต้องหุบฉับลง ถึงจางหลินชวนอายุเพียงห้าขวบแต่ก็รู้ทุกอย่างว่าอะไรเป็นอะไร

“แต่เราไม่มีเงินนะขอรับ อีกอย่างเราต้องประหยัดเพื่อใช้ในการเดินทาง”

จางหลินจูคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายสบายใจ พร้อมกับบีบบี้พวงแก้มนุ่มหยุ่นทั้งสองด้าน ราวกับว่ายามนี้ไม่หลงเหลือความเป็นกังวลใดแล้ว

“เจ้าเด็กนี่ แก่แดดจริงเชียว พี่มีวิธี ชวนเอ๋อร์ไม่ต้องห่วง อยู่กับท่านแม่ พี่จะรีบกลับมา”

“ขอรับ”

ในที่สุดเจ้าตัวแสบก็จำใจตอบรับอย่างเชื่อฟัง พลางเดินคอตกไปนั่งขนาบข้างมารดา จางหลินจูออกจากเพิงพักแสนมอซอแล้ว หวงเจิ้นอี๋มองตามแผ่นหลังบุตรสาวจนลับสายตาก็ถอนหายใจออกมาบางเบา

ก่อนหน้าจางหลินจูยังเอาแต่ร้องไห้โวยวายเพราะรับไม่ได้ที่ต้องใช้ชีวิตนอนกลางดินกินกลางทราย มารดาเช่นนางจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนกินอิ่มนอนหลับทุกมื้อ แม้จะน้อยกว่าเมื่อก่อนอยู่มากโขจนเรียกว่าเสี้ยวเดียว แต่นางก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว นึกไม่ถึง หลังจางหลินจูตื่นขึ้นจากเหตุการณ์จมน้ำ นิสัยเอาแต่ใจเฉกเช่นองค์หญิงผู้สูงส่งก็พลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือด้วยความฉงน 

หวงเจิ้นอี๋ลูบไล้ศีรษะบุตรชายเบา ๆ พร้อมจุมพิตบริเวณหน้าผากเพื่อปลอบประโลม ยามนี้นางทั้งตรอมใจและป่วยหนัก มันเรื้อรังเกินจะเยียวยาเสียแล้ว ห่วงลูกก็ห่วง แต่นางเองก็ไม่อาจยื้อสังขารของตนไว้ได้เช่นกัน เพียงได้เห็นลูกสาวกลับมาสดใสแม้เพียงน้อยนิด ทั้งยังเด็ดเดี่ยวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มารดาเช่นนางก็วางใจแล้ว

จูเอ๋อร์ แม่ขอโทษ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่เป็นบุตรีเศรษฐีผู้ตกอับ   บทที่ 6 จากลา

    เสียงกีบเท้าม้าห้อตะบึงมายังหน้าโรงหมอ บุรุษร่างสูงกระโจนลงจากหลังม้าด้วยความเร่งร้อน“ซื่อจื่อ” ผู้ช่วยหมอหลี่ค้อมศีรษะเล็กน้อยผู้มาเยือนคือซื่อจื่อแห่งเมืองอันเจียง นามว่า ‘ซวี่ฟางจิ้น’ และเขาเป็นคนช่วยเหลือจางหลินจูเอาไว้“ท่านหมอหลี่เล่า”“ท่านหมอออกไปแล้วขอรับ”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ไปแล้ว ข้าบอกให้รอข้าก่อนไม่ใช่หรือ แล้วนาง…” ซวี่ฟางจิ้นแอบลังเลเมื่อกล่าวถึงเด็กสาวที่ตนเพิ่งพบเจอไม่กี่ชั่วยามผู้ช่วยหมอหลี่ลุ้นจนตัวโก่งก็ยิ้มแหยออกมา เขายกมือเกาศีรษะเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ท่านหมอออกไปกับแม่นางน้อยที่ท่านพามาขอรับ แต่ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่าไปที่ใดกัน เพราะท่านหมอไม่ได้บอกไว้”ดูเหมือนเขากำลังสวนทางกับอีกฝ่ายเข้าเสียแล้วเหตุใดจึงรู้สึกเสียดายพิกล กระทั่งองครักษ์ตามมาถึง“นายน้อย ได้เวลาแล้วนะขอรับ”ใบหน้าของซวี่ฟางจิ้นดูผิดหวังเสียจนองครักษ์อย่างจินฝานงงงวย เวลานับสิบเจ็ดปีเขาแทบไม่เคยเห็นนายน้อยแ

  • เกิดใหม่เป็นบุตรีเศรษฐีผู้ตกอับ   บทที่ 5 คุณหนูผู้อาภัพ

    ร่างระหงนอนทอดยาวไร้สติอยู่บนฟูกนอนขาวสะอาดด้านในโรงหมอ เมื่อผู้เป็นหมอเห็นใบหน้าผู้ป่วยกระจะตาก็อุทานขึ้น“เอ๊ะ นังหนูนี่ หน้าคุ้น ๆ”เด็กหนุ่มจึงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “ท่านรู้จักนางหรือ”หมอวัยกลางคนพิเคราะห์องคาพยพจางหลินจูครู่หนึ่ง ไม่นานก็นึกออก “อ่า…เป็นนางนี่เองซื่อจื่อแม่นางน้อยคนนี้ข้าเคยรักษาให้ไม่กี่วันก่อนขอรับ”คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “เช่นนั้นท่านคงทราบว่านางเป็นใคร”ท่านหมอถอนหายใจยาว จากนั้นเหลือบมองจางหลินจูอย่างนึกเวทนา “ข้าน้อยก็ไม่ทราบว่านางคือใคร แต่ดูเหมือนนางจะเป็นคนต่างแคว้นมารดาป่วยกระเสาะกระแสะ น้องชายก็ยังเล็กนัก”“ที่ท่านบอกว่าเคยรักษานาง นางป่วยเป็นอะไรงั้นหรือ”“จากที่มารดานางเล่าให้ฟัง ดูเหมือนนางจะเกิดอุบัติเหตุพลัดตกน้ำขอรับ ร่างกายเลยมีไอหยินมากเกินไป แล้วดูยามนี้ ถูกผู้ใดรังแกมาอีกเล่า”มีคนที่ชีวิตอาภัพได้เพียงนี้ด้วยหรือ “เช่นนั้นท่านก็ช่วยรักษานาง ข้าจะรอจนกว่านางได้สติ”“ขอรับ”ร่างสูงหย่อนกายลงนั่งบริเวณเก้าอี้มุมห้อง สายตายั

  • เกิดใหม่เป็นบุตรีเศรษฐีผู้ตกอับ   บทที่ 4 พี่ชายปริศนา

    จางหลินจูเดินห่างออกมาจากเพิงพักเรื่อย ๆ ภายในใจครุ่นคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่าง ๆ นานา เพราะไม่รู้ว่าต่อจากนี้ควรใช้ชีวิตอย่างไร ดูเหมือนว่าในโลกอีกด้าน ครอบครัวของจางหลินจูคงไม่หลงเหลือใครอีกแล้วเพียงคะนึงถึง ภาพครอบครัวแสนอบอุ่นก็ฉายซ้ำไปมาตอกย้ำความเจ็บปวด กระบอกตาคู่งามร้อนรื้นแดงก่ำ ดวงตากลมโตเริ่มเกิดม่านน้ำตาเสียจนภาพเบื้องหน้าพร่าเบลอ จางหลินจูพยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นกลางลำคอลงไปด้วยความยากลำบาก จากนั้นก็ยกมือขึ้นซับน้ำตาซึ่งร่วงเผาะลงมาเมื่อใดก็สุดจะรู้คุณพ่อคุณแม่คะ ไม่ต้องห่วงจูเอ๋อร์นะคะ ลูกสัญญาจะใช้ชีวิตนับจากนี้ให้ดี“โอ๊ย!”“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างหรือไง”“ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”จางหลินจูไม่ทันระวัง มุ่งหน้าโดยไร้ทิศด้วยจิตใจเหม่อลอย เป็นเหตุให้ชนกับบุรุษร่างกำยำเข้าโครมใหญ่อีกฝ่ายชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ ทว่าเมื่อเขาสำรวจเรือนร่างและใบหน้าของจางหลินจู ภายในใจก็ผุดความคิดสกปรก น้ำเสียงแข็งกระด้างพลิกกลับเดี๋ยวนั้น“แม

  • เกิดใหม่เป็นบุตรีเศรษฐีผู้ตกอับ   บทที่ 3 ยอมรับความจริง

    หลายวันผันผ่านจางหลินจูได้รับการดูแลจากสองแม่ลูกอย่างดี จางหลินจูจึงทำใจยอมรับความจริงที่ว่า ตนได้เกิดใหม่ในร่างคุณหนูตระกูลเศรษฐีซึ่งตอนนี้กำลังตกอับและจนตรอกมารดาของจางหลินจูในมิติแห่งนี้ยังมีนามว่า หวงเจิ้นอี๋ ส่วนบิดานามว่าจางเฉินซี ทว่าบิดาของจางหลินจูได้ตรอมใจตายไปเมื่อหลายวันก่อนจางหลินจูร้องไห้จนแทบไม่หลงเหลือน้ำตาให้ไหลอีก จากนั้นความทรงจำและความรู้สึกต่าง ๆ ที่เจ้าของร่างเดิมทิ้งไว้ก็พรั่งพรูเข้ามาดุจทำนบแตก ช่างเป็นการเกิดใหม่ที่อัศจรรย์พันลึกยิ่งนัก ไม่คิดเลยว่าสวรรค์จะเมตตาเพียงเสี้ยวเดียว โดยการส่งจางหลินจูให้เกิดใหม่เพื่อมาดิ้นรนเอาชีวิตรอดในโลกอีกด้านบางทีอาจเพราะชีวิตในโลกใบเดิม จางหลินจูอยู่สุขสบายมากจนเกินไป จางหลินจูจึงเลิกน้อยใจต่อโชคชะตาและคิดเพียงว่าสวรรค์กำลังยื่นบททดสอบมาให้ต่างหาก ปลายทางสุดท้ายอาจเป็นความสุขที่แท้จริงซึ่งกำลังรออยู่ก็ได้ “ท่านแม่เจ้าคะ ข้าหายดีแล้ว แต่ท่านดูจะป่วยหนักกว่าข้าอีกนะเจ้าคะ”จางหลินจูสังเกตอาการป่วยไข้ของหวงเจิ้นอี๋มาสักระยะแล้ว ใบหน้าของมารดาในยามนี้ช่างซูบตอบ กระดูกบริเวณแก้มผุดโผล่เด่นชัด ริมฝีปากแห้งผากขาวซีด หวงเจิ้นอี๋

  • เกิดใหม่เป็นบุตรีเศรษฐีผู้ตกอับ   บทที่ 2 ตื่นมาอีกทีมีน้องชายไปเสียอย่างนั้น

    จางหลินจูหลับไปอีกครั้งเพราะความอ่อนล้า กระทั่งรุ่งอรุณมาเยือนจึงรู้สึกตัว“พี่หญิง ตื่นแล้วหรือขอรับ นี่น้ำขอรับ”จางหลินจูยังไม่หายสับสน แต่ก็ยังเอื้อมมือรับจอกน้ำชาจากมือเล็กคู่นั้น จางหลินจูสำรวจองคาพยพของเด็กชายตรงหน้าพักใหญ่ ผิวพรรณของเขาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู เพียงแต่สภาพดูมอมแมมไปบ้าง สังเกตดี ๆ เด็กคนนี้หน้าคล้ายจางหลินจูสมัยวัยกระเตาะเป็นอย่างมากกระทั่งดื่มน้ำจนไม่รู้สึกกระหายแล้ว จางหลินจูจึงเอ่ยถาม “หนูจ๊ะ คือ…หนูเป็นใครงั้นเหรอ”เด็กชายตัวน้อยเริ่มเบะปากเตรียมร้องไห้ จางหลินจูทำตัวไม่ถูก หันรีหันขวางแล้วจึงส่งยิ้มแหย มือเรียวเอื้อมลูบไหล่เล็กเพื่อปลอบประโลม “ไม่ร้องนะคะ ไม่ร้อง พี่ไม่เป็นไรแล้ว ถ้าเป็นเด็กดีพี่จะซื้อขนมให้กิน ดีไหมครับ”เด็กชายหุบปากฉับเมื่อได้ยินคำว่าขนม พลางกลั้นเสียงสะอื้นจนหน้าแดงแก้มป่อง จางหลินจูลุ้นตามจนตัวงอ ครั้นเจ้าตัวเล็กควบคุมอารมณ์ได้แล้ว จางหลินจูจึงค่อย ๆ ตะล่อมถาม พร้อมยกมือทำท่าสูดลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะให้อีกฝ่ายกำหนดลมหายใจตาม แทนที่จะเป็นจางหลินจูที่ต้องได้รับการปลอบใจ แต่กลับกลายเป็นว่า จางหลินจูดันมีน้องชายให้ต้องคอยดูแลเสียอย่างนั้น แ

  • เกิดใหม่เป็นบุตรีเศรษฐีผู้ตกอับ   บทที่ 1 พลัดพรากจากห้วงเวลา

    ถนนสายหลัก ณ กรุงปักกิ่ง รถหรูคันสีดำเคลื่อนตัวไปตามถนนคอนกรีตทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เวลานี้อยู่ในช่วงเหมันตฤดู บรรยากาศโดยรอบจึงเต็มไปด้วยละอองหิมะสีขาวโพลน เด็กสาววัยสิบห้าฉีกยิ้มกว้างส่งไปจนถึงดวงตาคล้ายพระจันทร์เสี้ยว "คุณพ่อ คุณแม่คะ วันนี้จูเอ๋อร์มีความสุขที่สุดเลย" เด็กสาวโผเข้ากอดมารดาแนบอก ผู้เป็นมารดาแย้มยิ้มอบอุ่น มือเรียวลูบไล้เส้นผมสีดำขลับด้วยความทะนุถนอม ส่วนบิดาโน้มกอดหญิงสาวที่ตนรักสุดหัวใจทั้งสองไว้ในอ้อมแขนพร้อมใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข"จูเอ๋อร์ ไม่อยากเที่ยวต่อจริงเหรอลูก วันนี้จูเอ๋อร์อยากไปไหนพ่อจะพาไปทุกที่" "นั่นสิ ลูกเรียนมาหนักพอแล้ว วันเกิดทั้งที พ่อและแม่อยากให้หนูได้พักผ่อนบ้าง" ผู้เป็นแม่เอ่ยสำทับ เด็กสาวใบหน้าพริ้มเพราคลายอ้อมกอดออกจากมารดา แล้วจึงหันมาโอบรัดบิดาอีกทาง เธอแหงนมองผู้เป็นบิดาด้วยแววตาออดอ้อนระคนซุกซน "คุณพ่อขา...จูเอ๋อร์ไม่อยากไปไหนแล้วจริง ๆ ค่ะ ทุกปีเราก็ไปเที่ยวข้างนอกกันอยู่ตลอด ปีนี้เรากลับไปทานข้าวด้วยกันที่บ้านดีกว่านะคะ บ้านเราอบอุ่นที่สุดแล้วค่ะ" ทั้งพ่อและแม่ได้เห็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนรู้จักคิดรู้จักพูดก็ปลื้มปริ่มจนน้ำตาซ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status