กระโจมของแม่ทัพใหญ่ยามย่ำค่ำ
แสงตะเกียงน้ำมันสาดตรงใบหน้าของอ๋องหลี่เจินหรงผู้เอนกายอยู่บนเบาะหนังเสืออย่างไร้อารมณ์ ไป๋อี้เซิงก้าวเข้ามาเงียบๆ แล้วคุกเข่าประสานมือ
"ท่านอ๋อง พวกเราควรเริ่มเตรียมการเดินทางกลับเมืองหลี่"
"อืม" เสียงรับสั้นๆ แต่เฉียบคม
"และ…" ไป๋อี้เซิงชำเลืองมองไปยังทิศกระโจมเล็กด้านข้างที่ใช้กักตัวอินหลัว
"พระชายาอ๋องเหล่ยผู้นั้น...ก็ต้องกลับไปพร้อมกับเรา"
เจินหรงเลิกคิ้วอย่างเบื่อหน่าย
"เจ้าหมายถึงหญิงที่โวยวายที่กรีดร้องเรื่องฉี่ไม่หยุดนั่นหรือ"
"ท่านอ๋องจ้าวอินหลัวเป็นที่รับแรงกระทบของยาปราณคู่ ไม่อาจปล่อยให้อยู่ไกลตัวท่านอ๋องได้" ไป๋อี้เซิงพูดอย่างหนักแน่น
"หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เกิดอาการพิษกำเริบ...นางจะต้องอยู่ใกล้พอจะบรรเทาอาการของท่าน เช่นกัน"
"จ้าวอินหลัวคนนั้นก็แค่เบี้ยบนกระดาน ข้าไม่ได้ห่วงอาการตัวเองถึงเพียงนั้น เจ็บเพียงนี้ข้าทนได้แต่ที่ให้นางแบ่งไปเพราะนางเป็นคนที่เริ่มมันและนางคือคนที่แทงข้า" เจินหรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเย็น
"ขออภัย ข้าน้อยในฐานะหมอประจำกองทัพของท่านอ๋องไม่อาจปล่อยให้ท่านอ๋องเสี่ยงกับพิษร้าย จ้าวอินหลัวจะต้องไปด้วย"
หลี่เจินหรงเหลือบตาขึ้น มุมปากกระตุกยิ้มราวกับเย้ยหยันตนเอง
"น่ารำคาญ...เช่นนั้นก็จัดการเถอะ"
ไป๋อี้เซิงยังไม่ขยับออก แต่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ
"ยังมีอีกเรื่อง...คู่หมั้นของท่าน"
"ม่อเยวี่ยน" เจินหรงกล่าวชื่อเบาๆ
"เมื่อกลับถึงเมืองหลี่ หากพบว่านางผู้นั้นอยู่ใกล้ท่าน...คนอย่างม่อเยวี่ยนย่อมไม่เชื่อว่าทุกอย่างไม่มีความหมาย"
"ข้าไม่สนใจว่านางจะคิดเช่นไร" เจินหรงตอบทันที เสียงเรียบ
แต่ไป๋อี้เซิงรู้จักอ๋องเจินหรงของเขาดี...คำว่า ไม่สนใจ ในวันแรกคือต้องคิดหาทาง ในวันหลัง
"หากท่านต้องการรักษาความมั่นคงในเมืองหลี่ ราชโองการ และสายตาของเหล่าขุนนาง...ท่านจะต้องหาเหตุผล…หรือข้ออ้าง ที่ทำให้ม่อเยวี่ยนเชื่อว่าท่านไม่มีความสัมพันธ์ใดกับจ้าวอินหลัว"
“อย่าเอาม่อเฉวี่ยนไปเปรียบกับหญิงที่ร่ำร้องตลอดเวลาปากมากและขี้โวยวายคนนั้น ม่อเฉวียนยังเชื่อฟังข้าดีและนางจะไม่มีทาง ทำตัวเช่นจ้าวอินหลัวที่เอาแต่เรียกร้องไม่หยุดหย่อน ม่อเฉวียนนางจะต้องรับฟังสิ่งที่ข้าพูดและเชื่ออย่างไม่ลังเล
ความเงียบปกคลุมกระโจมอีกครั้ง เจินหรงนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะลุกขึ้นช้าๆ สายตาเหม่อมองออกไปยังม่านผ้าที่ไหวพลิ้วจากลมยามค่ำ
"เหตุผลหรือ...ข้าจะสร้างมันขึ้นมาเอง" เจินหรง กะซิบเสียงต่ำ
ข้างนอกนั่นทหารในค่ายกำลังวุ่นวายกันเต็มที่ บ้างแบกกระโจม บ้างเก็บสัมภาระ ม้าศึกถูกจูงออกมาเรียงเป็นแถว เสียงคำสั่งของหัวหน้าหน่วยดังระงม ทุกคนต่างเร่งมือเตรียมเคลื่อนทัพกลับเมืองหลี่
จ้าวอินหลัวนั่งยองๆ อยู่นอกกระโจม พยายามส่องดูนู่นนี่อย่างสนอกสนใจตาเป็นประกาย ทุกอย่างดูน่าสนใจไปหมดสำหรับการมาที่นี่ในครั้งแรกแล้วอาจไม่มีครั้งที่สองที่สาม อืออออฉันจะกลับไปอย่างไรก่อน อินหลัวเพ้อ
"นี่ เจ้าเคยไปเมืองหลี่ไหม" อินหลัวกระซิบถามอวิ๋นเอ๋อร์ที่ยืนพับผ้าผืนสุดท้ายอยู่ส่ายหน้ายิ้มๆ
"ไม่เจ้าค่ะ ข้าแค่ได้ยินว่ามันเป็นเมืองเล็กๆ ในแคว้นใต้ ไม่เจริญเท่าแคว้นเหนือของเราแน่นอน"
"จริงเหรอ! ถ้าอย่างนั้นข้าต้องคิดหาทางย้ายสำมะโนกลับแคว้นเหนือให้ได้" อินหลัวทำตาโต
“จะกลับก็กลับได้เจ้าค่ะถ้าท่านอ๋องปล่อยนายหญิงเพราะว่าแคว้นเหนือของเราถูกท่านอ๋องตีแตกกลายเป็นเมืองขึ้นของท่านอ๋องเจินหรงไปแล้วนี่เจ้าค่ะ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นพร้อมเงาร่างของเสี่ยวหม่าเดินยิ้มร่าเข้ามาในวงพร้อม...โซ่ ในมือ อินหลัวมองเจ้าโซ่นั้น แล้วเบิกตากว้าง กลืนน้ำลายลงคอยากเย็น เดาไม่ผิดแน่
“เสี่ยวหม่าล่ามโซ่นางเสีย”
"โอ๊ยยย ไม่เอานะ เจ้าจะให้ข้าใส่โซ่ล่ามเท้าแบบนักโทษเรอะ ข้าไม่ใช่หมานะ" อินหลัวลุกขึ้นปัดมือรัวๆ
"เป็นเชลยนะขอรับ…แถมเชลยที่เคยพยายามหนีด้วย นะขอรับก็ต้องมีมาตรการขั้นสูงสุดขอรับ" เสี่ยวหม่าเอียงคอยิ้มแบบใสซื่อ
"ไม่ใส่" อินหลัวสะบัดหน้า
"ข้อเท้าข้าบอบบางจะตาย โดนล่ามโซ่เป็นแผล แล้วถ้าเป็นแผลนานๆ เข้าก็ติดเชื้อในกระแสเลือดแล้วก็ตาย ท่านก็จะตายด้วย"จับข้อเท้าเล็กๆ บางๆ ของตัวเอง
ขณะที่อินหลัวยังพร่ำโวยวายอยู่นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีลมเย็นเยียบลอยมากระทบต้นคอด้านหลังกระบี่คมยาวพาดไว้ที่ต้นคอทันที
"เลือกเอา"
เสียงเข้มต่ำออกแนวรำคาญ พร้อมปลายกระบี่เย็นเฉียบแตะเบาๆ ตรงต้นคอ จ้าวอินหลัวกลืนน้ำลายเอื๊อก ใบหน้าชา รู้ทันทีว่าเจ้าของเสียงคือใคร
"ทะ...ท่านอ๋อง ท่านจะฆ่าข้าจริงๆ หรือ" อินหลัวจะหัน แต่ก็ติดคมกระบี่ที่ยังจ่ออยู่
เจินหรงไม่ตอบ เพียงยืนนิ่ง สายตาไร้อารมณ์ แววตาราวกับเงาของหมาป่ากลางหิมะ ก่อนจะหันหน้าไปทางทหารที่กำลังวุ่นวายอยู่ไม่ไกล แล้วตะโกนคำสั่ง
"พวกเจ้าสี่คน มาจับนางไว้"
เสียงนั้นดังก้องจนทหารสะดุ้ง หันขวับมาก่อนจะรีบละมือจากการเก็บของแล้ววิ่งกรูกันเข้ามา
"เดี๋ยวๆๆๆ ข้ายังเป็นหญิงบริสุทธิ์อยู่นะ ห้ามผู้ชายแตะตัวเด็ดขาด ถ้าข้าถูกมือสกปรกของพวกเขาแตะตัวละก็ ข้าจะ...จะ...กัดลิ้นตายเลย"
อินหลัวถอยหลังปุบปับ พูดจบนางก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วทำท่าจะกัดลิ้นจริงๆ ราวกับนักแสดงงิ้วเข้าสิง
"อย่าเจ้าค่ะ อย่านะคุณหนู ถ้าท่านกัดลิ้นจริงๆ ข้าจะอยู่กับใคร…ข้าจะตายตามไปด้วย" อวิ๋นเอ๋อร์รีบพุ่งเข้ามาประคองตัวอินหลัว
ร้านผ้าหรูหราอยู่ในใจกลางเมือง หญิงชาวบ้านหลายคนเดินเลือกซื้อผ้าหลากหลายชนิดที่ประดับประดาด้วยลวดลายต่างๆ ทั้งทอมือและเครื่องประดับที่ยอดเยี่ยมที่สุดในแคว้น ในร้านเต็มไปด้วยความคึกคัก อินหลัวยืนอยู่ท่ามกลางผ้าที่หลากหลายสีสัน ท่ามกลางความเงียบสงบของร้าน ผ้าสีสันสดใสสวยงามทำให้ตัดสินใจเลือกไม่ถูก ทั้งยังบ่นกับอิ๋นเอ๋อร์ที่ยืนข้างๆ“อิ๋นเอ๋อร์ ดูสิ สวยทุกผืนเลย ข้าเลือกไม่ถูกเลยจริงๆ” อินหลัวบ่นเบาๆ“นายหญิงเจ้าขาต้องสีแดงมงคลเจ้าค่ะ”อิ๋นเอ๋อร์ยิ้มแล้วหยิบผ้าเนื้อดีสีแดงสดมาให้ อินหลัวรับมาดูแล้วพยักหน้า“ถูกใจหลายผืนก็เอาไปเยอะหน่อยเจ้าคะท่านอ๋องมีเงินมากมายแค่นี้ไม่บ่นหรอเจ้าคะเลือกเยอะๆ เลยเจ้าค่ะนายหญิง”“อย่างนั้นข้าต้องเลืกานหน่อยเพราะยังตัดสินใจไมไ่ด้สักที” อินหลัวพูดยิ้มๆเพียงแค่คำพูดของอวิ๋นเอ๋อร์ทั้งสองสาวก็ถูกเสียงหนึ่งขัดจังหวะจากทางด้านหลัง“ถ้าเจ้าต้องการคำแนะนำ ข้ายินดีจะให้คำปรึกษาเสมอข้ารูว่าผ้าสีไหนเหมาะกับจ้า”เสียงแหบห้าวดังขึ้น อินหลัวหันไปมอง ท่ามกลางแสงสลัวจากภายในร้าน บุรุษหนุ่มหล่อเหลาในชุดสีดำสนิทยืนอยู่ตรงประตูร้าน ใบหน้าคมสันดึงดูดสายตาของใครหลายคน แม้แต่ตั
“เจ้ามาแจ้งเรื่องอะไรยังมีอะไรเกี่ยวกับคนที่ตายไปแล้วอย่างอ๋องเหล่ยอีก”หลงเซียงยืนขึ้นก่อนจะเดินไปใกล้ๆ“ข้าน้อยหลงเซียงได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องเหล่ยชิงชางให้มาส่งข่าวว่า... ท่านอ๋องยังไม่ตายและพร้อมจะกลับมาหากฝ่าบาทประทานอนุญาต” หลงเซียงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นคำพูดนี้ทำให้ห้องตกอยู่ในความเงียบ จ้าวจินเทาเบนสายตาจากหลงเซียงไปยังฮ่องเต้กงหานอย่างตกใจ“อ๋องเหล่ยชิงซาง... ยังไม่ตายอย่างนั้นหรือ” จ้าวจินเทาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ข้า... ข้าได้ยินข่าวจากทางทหารว่าเขาตายด้วยน้ำมือของหลี่เจินหรง”หลงเซียงพยักหน้าอย่างมั่นใจและกล่าวเสริมต่อไป“ใช่ขอรับ ท่านอ๋องเหล่ยตอนนี้ยังไม่ตายครั้งนั้นสาหัสนัก... ท่านอ๋องเหล่ยสามารถเอารอดชีวิตมาได้... เหมือนกับที่ท่านอ๋องหลี่ถูกหาว่าตาย แต่ก็ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างที่พวกท่านไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของอ๋องหลี่”คำพูดนั้นทำให้ฮ่องเต้กงหานและจ้าวจินเทาหันมามองหน้ากันอีกครั้ง และความตกใจในดวงตาของทั้งสองคนก็ไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไปหลี่เจินหรงเองก็ยังไม่ตาย“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าอ๋องหลี่ยังไม่ตาย”“อ๋องหลี่เจินหรงตอนนี้อยู่ที่เมืองหลี่ และกำลังจะจัดทัพเตรียมรับมือท
หลี่เจินหรงหันกลับมาที่อินหลัวอีกครั้ง ดึงร่างบางของนางเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ขอมัดจำก่อนได้ไหม จะให้ข้าได้รักเจ้าให้หน่ำใจก่อนที่จะอดยาวจนกว่าจะผ่านพิธีแต่งงาน" เขาพูดพร้อมกับยิ้มอย่างจริงจังและอบอุ่น ท่าทางของเขาดูเป็นคนที่ไม่อยากเสียเวลาที่จะได้อยู่ใกล้อินหลัวที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งเขินขึ้นไปอีก เอียงหน้าไปข้างๆ ปกปิดความเขินอายของตัวเอง แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่นกับความรักและห่วงใยที่เขามีให้ "ท่านอ๋อง..." พูดเสียงเบาๆ ไม่รู้จะตอบอะไรดี แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธความรู้สึกที่เขามีในขณะที่หลี่เจินหรงและอินหลัวอยู่ในอ้อมกอดกัน เสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามาในห้อง ทำให้ทั้งสองหันไปมองพร้อมกัน ม่อเฉวียนยืนอยู่ที่ประตูห้องแล้วมองเข้ามาด้วยท่าทางถือวิสาสะ"ท่านอ๋องม่อเฉวียนคงมาผิดเวลา เช่นนั้นข้าขอตัวไว้ท่านอ๋องอยู่เพียงลำพังม่อเฉวียนจะมาใหม่ หรือไม่หากท่านอ๋องหมดเรื่องแล้วค่อยไปหาม่อเฉวียนก็ได้” ม่อเฉวียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตา แล้วรีบหันหลังก้าวเดินจากตรงนั้นอินหลัวที่ยังอายอยู่จนไม่รู้จะพูดอะไร ยิ้มแห้งๆ ก่อนจะรีบขยับตัวออกจาก
ท่านราชครูจงมองนางอย่างเฉียบคม ราวกับเห็นผ่านทุกความคิดและความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ "ความผิดที่เจ้าทำไปนั้น เจ้าก็รู้ดีว่ามันจะทำให้ท่านอ๋องผิดหวังอย่างมากและยิ่งทำให้จ้าวอินหลัวมีภาษีเหนือกว่าเจ้า"ท่านราชครูพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าหวาดหวั่น แต่ก็ไม่ได้แสดงความโกรธ "หากเจ้าไม่รีบหาทางทำให้มันดีขึ้น เจ้าจะสูญเสียทุกสิ่งที่มีอยู่"ม่อเฉวียนหลุบตามองพื้น สำนึกถึงความผิดที่ทำไป ไม่สามารถมองหน้าท่านราชครูจงได้ "ข้า... ข้าคิดว่าท่านอ๋องจะไม่รู้... ว่าข้าทำอะไร แต่ตอนนี้... ข้าจะทำอย่างไรดี ท่านพ่อ ข้าควรเริ่มจากตรงไหนก่อนข้าจะทำอย่างไรไม่ให้ท่านอ๋องเกลียดข้า"ท่านราชครูจงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบ"เจ้าต้องพูดความจริงทั้งหมดกับท่านอ๋อง ให้เขาเห็นถึงความสำนึกผิดของเจ้าจริงๆ การยอมรับในความผิดของเจ้าด้วยใจจริงจะช่วยให้อ๋องหลี่เห็นใจ แต่ต้องให้เขาเชื่อใจว่าเจ้าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก"ม่อเฉวียนพยักหน้าอย่างช้าๆ นางรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้หลี่เจินหรงเชื่อในคำพูดของนาง แต่ท่านราชครูจงพูดถูก นางต้องหาทางกลับมาให้ได้"ข้าเข้าใจแล้ว" ม่านเสียงสะท้อนความหนักใจ "ขอบคุณท่านพ่อ ข้าจะทำตามที่ท่านบอ
“พยุงข้าหน่อย” ไทฮองไทเฮาสั่งเยว่หรงกับอวิ๋นเอ่อร์รีบเข้ามาพยุงไทฮองไทเฮารีบเดินเข้ามาหาหลี่เจินหรงพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มสดใส มองอินหลัวยิ้มๆ และหันไปหาหลี่เจินหรง"เห็นไหมเล่าอ๋องหลี่ สุดท้ายก็กลับมาถึงเมืองหลี่เสียที ข้าแทบจะรอไม่ไหวแล้ว" ไทฮองไทเฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและมีความสุข แต่สายตาของท่านกลับไม่พลาดที่จะสังเกตเห็นมือที่หลี่เจินหรงกุมอยู่ว่าคือมือบางของอินหลัวก็ยิ้มกว้างขึ้นทันที ก่อนที่จะพูดแซวเบาๆ "ฮ่าๆๆๆ เห็นไหมในที่สุดในที่สุดเจ้าก็ค้นพบหัวใจตัวเองสินะอ๋องหลี่"หลี่เจินหรงหันมามองหน้าไทเฮา และไทฮองไทเฮา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเขินอาย แต่ก็ยังอดยิ้มไม่ได้"เสด็จย่าแกล้งหลานแบบนี้ไม่อยากได้หลานสะใภ้เป็นหญิงงามแดนเหนือหรือไร" เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ติดจะขัดเขินเล็กน้อย แต่ท่าทางของเขาไม่สามารถปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงได้“แหมจริงๆ นะขอรับทั้งสองคนไปรักกันตอนไหนข้าเสี่ยวหม่ายังงงๆ ว่าข้าพลาดไปคืนไหนกันคงเป็นคืน นั้นแน่ๆ ที่เมาแล้วหลับแน่ๆ เลย”เสี่ยวหม่ายกมือขึ้นเขกหัวตัวเองเยว่หรงกับอวิ๋นเอ่อร์หัวเราะคิกคักองค์หญิงเยว่หรงที่ยืนอยู่ข้างๆ มองไปที่หลี่เจินหรงและอ
การเดินทางกลับเมืองหลี่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึงมันออกมา ช่วงเวลาเงียบสงบระหว่างหลี่เจินหรงและอินหลัวเต็มไปด้วยการกระทำที่ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด พวกเขาทั้งสองต่างก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ลึกซึ้งขึ้นในความสัมพันธ์ของกันและกัน “ให้ข้าช่วยหลี่เจินหรงยื่มือให้อินหลัวจับ และโอบแขนรอบเอวบางแทบจะอุ้มลงจากหลังม้า เสี่ยวหม่าอมยิ้ม“แหมท่านอ๋องนิดหนึ่งหน่อยหนึ่งก็เอานะขอรับ”“หุบปากเจ้าสิ เสี่ยวหม่า”“แน่นอนขอรับ เสี่ยวหม่าจะปิดปากสนิทเลยขอรับ ต่อไปนี้รับรองไม่พูดแกล้งไม่เห็นไปเสียอย่างนั้นขอรับ”หลี่เจินหรงคอยดูแลอินหลัวทุกขั้นตอนทุกๆ การกระทำแสดงถึงความห่วงใยที่มีให้กันและกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน“ท่านอ๋องทำแบบนี้จะต้องซื้อใจนายหญิงได้แน่นอนขอรับ”“เรื่องของข้า ไปยกอาหารมาได้แล้วนายหญิงของเจ้าหิวแล้วนี่ก็สายแล้วด้วย” เสี่ยวหม่าวิ่งหายลับไปเสี่ยวหม่าที่มองดูท่าทีของหลี่เจินหรงและอินหลัวแล้วก็รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกไป เขายิ้มบางๆ พลางเลิกคิ้วแล้วพูดว่า "ข้าเสี่ยวหม่าต้องพลาดอะไรไปแน่ๆ ใช่ไหม" เขาถามด้วยความสงสัยในน้ำเสียง ท่าทางที่จริงจังแต่ก็แฝงไปด้วยการล้อเลีย