"โอ้ย อย่าตามเลย เจ้าต้องอยู่ต่อไปเพื่อปลูกผัก มีครอบครัว มีคนรัก มีลูก มีหลาน มองโลกกว้าง ผ่านสี่ฤดู ใช้ชีวิตให้ดีแทนข้า อวิ๋นเอ่อร์ข้าลาก่อน" อินหลัวโพล่งใส่
ทหารทั้งสี่ชะงักฝีเท้า ยืนอึ้ง ปากอ้าค้างไปตามๆ กัน เสี่ยวหม่าหันไปมองหลี่เจินหรงอย่างลังเล แล้วกระซิบเบาๆ
"ท่านอ๋องขอรับ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว อาจจะต้องอุดปากนางไว้จริงๆ ....ขอรับ"
หลี่เจินหรงเก็บกระบี่ลงฝักด้วยท่วงท่าเยือกเย็น ทว่าแววตากลับเย็นเยียบจนใครเห็นต้องกลืนน้ำลาย เขาก้าวเข้ามาใกล้โดยไม่มีคำเตือน บีบคอจ้าวอินหลัวทันทีจนตัวนางสะดุ้งเฮือก
"อ๊อก" อินหลัวรีบอ้าปากหอบหายใจ น้ำตาคลออย่างห้ามไม่อยู่ ไอออกมาเสียงแหบแห้ง
"ไม่กัดแล้วนี่" เสียงอ๋องโหดกระซิบใกล้ใบหูด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่เย็นยะเยือก
"ไม่...ไม่กัดแล้ว แค่กๆ ปล่อยข้าก่อน คนอะไรใจร้ายที่สุดถึงที่สุด" อินหลัวพยายามพูดเสียงแผ่ว
หลี่เจินหรงปล่อยมือทันทีราวกับไม่แยแส อวิ๋นเอ๋อร์รีบเข้ามารับร่างของนายหญิงอย่างร้อนรน พยุงให้ยืนทรงตัวได้อีกครั้ง อินหลัวที่ได้อากาศหายใจจากการปล่อยมือ ก็เงยหน้าขึ้นตะโกนด่าลั่นอย่างไม่เกรงใจ
"ไอ้อ๋องเสิ่นเจิ้นน"
"เจ้าว่ายังไงนะ" เจินหรงขมวดคิ้วทันควัน เสียงทุ้มต่ำเค้นเสียงถามลอดไรฟัน
"ก็ไอ้อ๋องปลอมไง อ๋องจริงไม่เป็นแบบนี้หรอก อ๋องกี่เรื่อง กี่เรื่องก็ สุขุม นุ่มลึก ใจดี อ่อนโยน น่าคบหา ท่านเนี่ย เป็นอ๋องแบบไหนก่อน"
อินหลัวใช้ฝ่ามือตบหน้าผากตัวเองสองทีอย่างสะบัดสะบิ้ง หลี่เจินหรงเดือดดาลจนเส้นเลือดที่ขมับเต้น เขาตะคอกลั่น
"ทหาร จับนาง ใส่โซ่"
อินหลัวหลับตาก้มหน้า ยกมือห้าม ท่าทางนิ่งขรึมแบบพระเอกจอมยุทธ์ยามขึ้นเวทีประลอง
"ช้าก่อน"
ทุกคนชะงักในอากาศ อินหลัวกระชากโซ่ออกจากมือเสี่ยวหม่า แล้วหันไปมองเจินหรงด้วยแววตาแน่วแน่
"ข้าโตแล้ว ใส่เองได้ ข้ามีศักดิ์ศรีพอ พวกเจ้าทั้งหมด ถอย ถอยไปให้หมด"
บรรยากาศในค่ายเงียบกริบ เสี่ยวหม่าเบิกตากว้างพลางพึมพำ
"แม่เจ้า...แกร่งนัก...แกร่งยิ่งกว่าท่านอ๋องเจินหรงของเราก็นางนี่แหละข้าเพิ่งจะเคยเห็นก็วันนี้หญิงที่แกร่งกล้าเกินใคร."
อินหลัวสะบัดผมอย่างมาดเท่ แล้วก็ควงแขนอวิ๋นเอ๋อร์เดินเชิดไปที่ขอนไม้หน้ากระโจม หย่อนตัวนั่งลงอย่างองอาจ ค่อยๆ จับโซ่ล่ามข้อเท้าด้วยตัวเอง ไม่ให้ใครมายุ่ง
เจินหรงยืนมองไม่วางตา รอว่านางจะเล่นตุกติกอีกหรือไม่
อินหลัวหันมาย่นจมูกใส่เขา แล้วโบกมือไล่เหมือนโบกไล่ยุง
"ท่านว่างมากเหรอ ไปได้แล้ว ข้าจะใส่แล้ว ข้าใส่เสร็จแล้วจะให้ใครไปรายงานท่านเองแหละ"
เสี่ยวหม่ารีบถลาเข้ามาข้างตัวหลี่เจินหรง ใบหน้าร้อนรน ปากไวปานลูกธนู
"นั่นไงท่านอ๋อง ท่านเห็นหรือไม่ นางช่างหยาบคายนัก ข่าวลือทั้งหมดที่บอกว่านางคือหญิงงามอันดับหนึ่งผู้เรียบร้อยของแคว้นเหนือ ล้วนเป็นแค่เรื่องหลอกลวงเพื่อสร้างชื่อเสียงจอมปลอมให้ชายาอ๋องเหล่ย"
หลี่เจินหรงยังคงจ้องมองจ้าวอินหลัวที่กำลังวุ่นวายกับโซ่ตรวนไม่ลดละ ดวงตาคมเข้มเต็มไปด้วยบางสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า จับตามองอย่างประเมินค่า เขาตอบเสียงต่ำ
"บางที...นางอาจเคยมีกิริยาเรียบร้อยอ่อนหวานมาก่อน...แต่มันอาจจะเป็นกับเฉพาะคนที่นางรัก แต่กับข้า..."พูดยังไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ
"ใช่เลยท่านอ๋อง" เสี่ยวหม่าตบมือฉาดอย่างลืมตัว
"ชายาอ๋องเหล่ยนางเกลียดท่านยิ่งกว่า…ขี้…เสียอีก ข้ามองตานางก็รู้แล้ว ในนั้นมีแต่ไฟแค้นลุกโชนโหมแรงไม่มอดดับและอาจจะไม่มีทางมอดดับ ไม่แปลกใจเลยที่นางแทงท่านปักเข้าไปกลางสีข้าง นางแทงแบบไม่ลังเลเลยด้วยนะท่าน"
เจินหรงไม่ตอบทันที เขายังคงจ้องมองหญิงตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังทำท่าจะตีกับโซ่ มากกว่าใส่มันเสียอีก ใบหน้าย่นยู่ พึมพำด่ามันเหมือนมันเป็นศัตรูทางการทูต
"จะมากไปแล้ว" เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
เสี่ยวหม่ารีบพยักหน้าปร๋อเหมือนตุ๊กตาไขลาน
"ใช่ๆ ท่านอ๋องพูดถูกที่สุดเลย มากไปจริงๆ อย่างกับหัดใส่โซ่ครั้งแรก คนอะไรด่าได้ทุกอย่าง"
เจินหรงปรายตามองขันทีข้างกายครึ่งวินาทีก่อนจะกล่าวเสียงกร้าว
"เป็นเจ้า เสี่ยวหม่า หุบปาก แล้วตามข้ามา"
แต่เสี่ยวหม่าไม่มีวันยอมจบง่ายๆ
"ก็ท่านพูดเองไม่ใช่หรือขอรับ ว่านางเกลียดท่าน นางก็ใช้มีดแทงท่านแบบไม่กะพริบตา ถ้ามันไม่เรียกว่าเกลียดแล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะขอรับ เอ๊ะ หรือว่า...หรือว่านี่คือแผนลึกซึ้งของนาง...เพื่อจะได้ใกล้ชิดท่านอ๋อง"
"โอ้ย อย่าตามเลย เจ้าต้องอยู่ต่อไปเพื่อปลูกผัก มีครอบครัว มีคนรัก มีลูก มีหลาน มองโลกกว้าง ผ่านสี่ฤดู ใช้ชีวิตให้ดีแทนข้า อวิ๋นเอ่อร์ข้าลาก่อน" อินหลัวโพล่งใส่ทหารทั้งสี่ชะงักฝีเท้า ยืนอึ้ง ปากอ้าค้างไปตามๆ กัน เสี่ยวหม่าหันไปมองหลี่เจินหรงอย่างลังเล แล้วกระซิบเบาๆ"ท่านอ๋องขอรับ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว อาจจะต้องอุดปากนางไว้จริงๆ ....ขอรับ"หลี่เจินหรงเก็บกระบี่ลงฝักด้วยท่วงท่าเยือกเย็น ทว่าแววตากลับเย็นเยียบจนใครเห็นต้องกลืนน้ำลาย เขาก้าวเข้ามาใกล้โดยไม่มีคำเตือน บีบคอจ้าวอินหลัวทันทีจนตัวนางสะดุ้งเฮือก"อ๊อก" อินหลัวรีบอ้าปากหอบหายใจ น้ำตาคลออย่างห้ามไม่อยู่ ไอออกมาเสียงแหบแห้ง"ไม่กัดแล้วนี่" เสียงอ๋องโหดกระซิบใกล้ใบหูด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่เย็นยะเยือก"ไม่...ไม่กัดแล้ว แค่กๆ ปล่อยข้าก่อน คนอะไรใจร้ายที่สุดถึงที่สุด" อินหลัวพยายามพูดเสียงแผ่วหลี่เจินหรงปล่อยมือทันทีราวกับไม่แยแส อวิ๋นเอ๋อร์รีบเข้ามารับร่างของนายหญิงอย่างร้อนรน พยุงให้ยืนทรงตัวได้อีกครั้ง อินหลัวที่ได้อากาศหายใจจากการปล่อยมือ ก็เงยหน้าขึ้นตะโกนด่าลั่นอย่างไม่เกรงใจ"ไอ้อ๋องเสิ่นเจิ้นน""เจ้าว่ายังไงนะ" เจินหรงขมวดคิ้วทั
กระโจมของแม่ทัพใหญ่ยามย่ำค่ำแสงตะเกียงน้ำมันสาดตรงใบหน้าของอ๋องหลี่เจินหรงผู้เอนกายอยู่บนเบาะหนังเสืออย่างไร้อารมณ์ ไป๋อี้เซิงก้าวเข้ามาเงียบๆ แล้วคุกเข่าประสานมือ"ท่านอ๋อง พวกเราควรเริ่มเตรียมการเดินทางกลับเมืองหลี่""อืม" เสียงรับสั้นๆ แต่เฉียบคม"และ…" ไป๋อี้เซิงชำเลืองมองไปยังทิศกระโจมเล็กด้านข้างที่ใช้กักตัวอินหลัว "พระชายาอ๋องเหล่ยผู้นั้น...ก็ต้องกลับไปพร้อมกับเรา"เจินหรงเลิกคิ้วอย่างเบื่อหน่าย "เจ้าหมายถึงหญิงที่โวยวายที่กรีดร้องเรื่องฉี่ไม่หยุดนั่นหรือ""ท่านอ๋องจ้าวอินหลัวเป็นที่รับแรงกระทบของยาปราณคู่ ไม่อาจปล่อยให้อยู่ไกลตัวท่านอ๋องได้" ไป๋อี้เซิงพูดอย่างหนักแน่น "หากมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน เกิดอาการพิษกำเริบ...นางจะต้องอยู่ใกล้พอจะบรรเทาอาการของท่าน เช่นกัน""จ้าวอินหลัวคนนั้นก็แค่เบี้ยบนกระดาน ข้าไม่ได้ห่วงอาการตัวเองถึงเพียงนั้น เจ็บเพียงนี้ข้าทนได้แต่ที่ให้นางแบ่งไปเพราะนางเป็นคนที่เริ่มมันและนางคือคนที่แทงข้า" เจินหรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเย็น"ขออภัย ข้าน้อยในฐานะหมอประจำกองทัพของท่านอ๋องไม่อาจปล่อยให้ท่านอ๋องเสี่ยงกับพิษร้าย จ้าวอินหลัวจะต้องไปด้วย"หลี่เจิน
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังใกล้เข้ามาหน้ากระโจม ก่อนที่ม่านผ้าจะถูกรั้งเปิดออกเผยให้เห็นร่างบางในชุดผ้าหยาบของเชลยศึก สาวใช้หน้าหวานที่ทั้งเหนื่อย ทั้งตื่นเต้นปะปนกัน"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ"จ้าวอินหลัวที่เพิ่งโวยวายเรื่องห้องน้ำอยู่เมื่อครู่ ถึงกับนิ่งไปสองวินาที ก่อนจะเบิกตาโตจนแทบหลุดจากเบ้า"อวิ๋นเอ๋อร์หรือ""เจ้าคะ ข้าเอง" อวิ๋นเอ๋อร์รีบเข้ามาทรุดตัวลงข้างแคร่ไม้ไผ่ "ในที่สุดก็ได้พบคุณหนูอีกครั้ง...ข้าเป็นห่วงท่านจนแทบบ้า เชลยพวกนั้นบอกข้าว่านายหญิงถูกท่านอ๋องโหดให้นำตัวท่านมา"อินหลัวจ้องตานางอย่างไม่อยากเชื่อ แล้วก็พูดขึ้นเสียงใส"เจ้าตัวเล็กเหมือนเดิมเลยอะ ฮ่า ข้ายังนึกว่าเจ้าจะโตขึ้นมามั่งแล้ว"แกล้งโมเมไปก่อนอวิ๋นเอ๋อร์ชะงักเล็กน้อย กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ"คุณหนู...เอ่อ ข้าไม่แน่ใจว่า...ท่านยังจำข้าได้ดีหรือไม่...""แน่นอนสิ" อินหลัวว่าพลางพยายามลุกนั่งให้ถนัด "ข้าแค่... เอ่อ อาจจะความจำเลือนๆ ไปนิดนึงเถอะ เพราะ...ก็รู้ๆ อยู่ว่าข้าถูกจับมานี่นา ฮะฮ่า""นั่นสินะเจ้าคะ..." อวิ๋นเอ๋อร์พยักหน้า แต่สีหน้าเริ่มฉงนมากขึ้นเรื่อยๆ"ท่าน...เคยเป็นคนที่เรียบร้อย ไม่พูดเสียงดัง ไม่เ
อินหลัวหันไปมองเขาแล้วเบ้ปากนิดๆ จะต้องคี๊บคาสินะ จะว่าไปก็ดีนะไม่อยากพูดก็แค่วางท่าสง่างามเหมือนหงส์" ข้านะน่ะที่พูดเหมือนกระจกอย่างไรเล่าสะท้อนสิ่งที่พวกท่านทำกับข้า และท่านก็เพิ่งจะให้ข้ากินยาประหลาดโดยไม่ถามความยินยอม ข้ายังไม่ได้ฟ้องกรมแพทย์สภาเลยนะ แค่บ่นนี่ถือว่ายังน้อยไปกับที่ถูกกระทำ ข้าทำอะไรให้ท่านบอกแล้วว่าไม่ใช่ข้าไม่ใช่ข้าสักหน่อยที่แทงท่าน ข้าแค่มาผิดคิว ดีนะที่ข้ารอดมา ไม่งั้นข้าจะกลายเป็นศพเงียบที่สุดในประวัติศาสตร์ของการข้ามเวลาเพราะห้ามพูดนี่แหละ"พูดได้เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ความโมโหจัดเต็มไป๋อี้เฉิงถอนหายใจยาวอีกรอบ แล้วยกมือขึ้นให้ขันทีเสี่ยวหม่าถอยห่างไปก่อน"ไม่ต้องมัดตอนนี้หรอก ขอให้ข้าดูอาการนางให้ดีก่อน เดี๋ยวนางดิ้นเชือกขาดเอา"หลี่เจินหรงไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ขยับลุกขึ้นเดินไปยืนพิงเสาไม้ไผ่ด้านข้าง สายตาเย็นชานั้นยังจับจ้องมาทางอินหลัวไม่วางตาบรรยากาศในกระโจมที่เพิ่งจะเริ่มสงบลงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหลี่เจินหรงที่ยืนกอดอกพิงเสาอยู่เงียบๆ ก็เลื่อนสายตาคมกริบไปยังขันทีร่างเล็กที่ยืนก้มหน้าอยู่ริมประตู เสี่ยวหม่า หน้าตาไม่ได้ฉลาดนัก แต่ซื่อสัตย์อย่างไร้
ท่านหมอไป๋อี้เฉิงไม่ทันฟังจนจบก็รีบทรุดตัวลงข้างจ้าวอินหลัว มือเขาคลำชีพจร กดเบาๆแล้วขมวดคิ้ว"ยังเต้นอยู่...แต่แรงไม่เท่าเดิม"อี้เฉิงควักยาถุงเล็กออกมา ชงยาสีคล้ำอีกถ้วย ปล่อยให้เย็นพอดี จากนั้นจึงใช้แขนข้างหนึ่งรองศีรษะอินหลัวขึ้นพิงอก ก้มลงป้อนยาทีละนิดอย่างระมัดระวังแต่เพราะจ้าวอินหลัวยังสลบเขาจึงต้องใช้ช้อนเขี่ยริมฝีปากให้อ้าเบาๆแล้วหยอดยาเข้าไป เช็ดคราบยาตามมุมปากด้วยผ้าขาว ละเมียดละไมไม่ต่างจากคนดูแลน้องสาวที่ป่วยหนักกระบวนการกินยาของจ้าวอินหลัว ใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็นนัก หลี่เจินหรงมองภาพนั้นจากบนแท่นอนและเขาไม่พูดอะไร แต่สีหน้าดู...สงบขึ้นเล็กน้อย ไม่แน่ว่าเพราะยา หรือความโกรธลดลง เมื่อยาทั้งหมดถูกกลืนลงไปแล้ว อี้เฉิงถอนหายใจเสียงยาว เหมือนปล่อยลมที่กักไว้นาน"โชคดีที่ยาปราณคู่นี้มีอีกสรรพคุณหนึ่ง..."อี้เฉิงพูดกับหลี่เจินหรง พลางเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ"นอกจากจะแบ่งความเจ็บแล้ว...มันยังแบ่งผลของยาให้ด้วย ยาชาบรรเทาอาการบาดเจ็บของท่าน...เพราะผูกปราณกันไว้ ตอนที่นางกลืนยาเข้าไป ผลจึงส่งถึงท่านเช่นกัน""หมายความว่า..."หลี่เจินหรงขมวดคิ้วช้าๆ"หมายความว่า...ข้ากำลังเสี่ยง
"เป็นไปไม่ได้... ข้าไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำว่ามันมีพิษ ข้านึกว่าข้าแทงท่านเฉย…สักจึก" อินหลัวเบิกตากว้าง ข้าจะรู้ได้ไงก็ข้าไม่ใช่จ้าวอินหลัว ไอ้ที่พูดไปก็เพื่อเอาตัวรอดทั้งนั้น แต่หมอนี้เหมือนจะเชื่อคนยาก จ้าวอินหลัวเอ๊ย จ้าวอินหลัว ไปทำเขาทำไมเนี้ยะ "แน่นอนว่าเจ้าไม่รู้" เขากระซิบเสียงเบาแต่หนักแน่น "เพราะสามีของเจ้า อ๋องชั่วตระกูลซ่งนั่นต่างหาก ที่เล่นไม่ซื่อ เขาอาบพิษไว้ในมีดสั้นเล่มนั้น เพื่อให้เจ้ากลายเป็นมือลอบสังหารโดยไม่รู้ตัว...และข้า... ต้องรับพิษนั้นไปทั้งร่าง"จ้าวอินหลัวพูดอะไรไม่ออก ลมหายใจสะดุด ร่างกายสั่นเล็กน้อย หลี่เจินหรงยิ้มเย็น เหยียดมุมปากอย่างผู้ควบคุมเกมทุกอย่างไว้แล้ว"เจ้าว่า เจ้าสมควรถูกลงโทษหรือไม่...เพราะเจ้าคือผู้ลงมือ เจ้าคือภรรยาของคนที่วางแผนและเจ้าจะต้องชดใช้มัน... ด้วยความทรมาน เจ็บแทนข้า…ครึ่งหนึ่ง...แต่อย่าได้ตายไป" หลี่เจินหรง กระซิบชิดใบหูอินหลัว"ข้าจะไม่มีทางให้เจ้าตายง่ายดายจะต้องอยู่ทรมานกับข้าก่อนเพื่อชดใช้สิ่งที่อ๋องชั่วสามีเจ้าและเจ้าทำกับข้า"อินหลัวใจเต้นแรงจนแทบแตกเป็นเสี่ยง หายใจไม่ทัน มือสั่น สัญชาตญาณเดียวที่สั่งนางในยามนี้คือ หนี แต่