"ยังไม่พร้อมค่ะ หนูอยากรู้ว่าวันนี้คุณป๋าไปคุยอะไรกับคุณลุงมา "เด็กสาวไม่ได้ห้ามปรามมือที่ลวนลามร่างกายเธออยู่เพราะห้ามไปก็เท่านั้น ตอนนี้อยากรู้เรื่องนั้นมากกว่าจะมานั่งเถียงกับคนชอบลวนลามอย่างคุณป๋าจอมหื่น "รู้แค่ว่าตอนนี้คุณลุงของหนูยกหนูให้คุณป๋าดูแลแล้วเรียบร้อย ทีนี้ก็ไม่มีข้ออ้างอะไรแล้วนะเบบี๋" ลูอิสพลิกร่างเล็กให้นอนลงบนเตียงนุ่ม "ไว้เรากลับกรุงเทพค่อยลงโทษนะคะ หนูว่าที่นี่มันไม่เหมาะ อีกอย่างหนูมาทัศนศึกษานะคะไม่ได้มาเที่ยว เกิดมีใครได้ยินเสียงของเราต้องแตกตื่นกันแน่เลยค่ะ บ้านไม้แบบนี้คงไม่เก็บเสียงแน่ๆ หนูไม่อยากดังนะคะ หนูแค่มานวดให้ตามที่คุณป๋าต้องการ ไม่ได้จะมาทำอย่างอื่นกับคุณป๋านะ” หนูดีเกลี่ยนิ้วที่อกแกร่ง พยายามพูดเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นเงื้อมมือของคนหื่น สายตาก็กวาดมองรอบห้องนอนอย่างหวั่นใจ ลูอิสมองยิ้มๆ "คิดเยอะเกินไปแล้วเบบี๋ คุณป๋าไม่ปล่อยหนูไปง่ายๆ หรอก ไม่ต้องคิดคำพูดมาโน้มน้าวใจคุณป๋าให้ยากหรอกคนสวย อีกอย่างถ้าหนูร้องครางไม่ดังก็ไม่มีใครรู้เรื่องหรอกว่าเราทำอะไรกัน" มือหนาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีสันสดใส แหวกสาบเสื้อให้เปิดออก เผยผิวเนื้อนวลเนียนและอกอวบที่ดุนดัน
ลูอิสมาหยุดยืนดูฟ้าใสที่กำลังปฐมพยาบาลด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่คิดว่าคนที่เป็นพี่น้องกันจะร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้ แม้จะไม่ใช่พี่น้องที่คลานตามกันออกมาจากท้องแม่เดียวกัน แต่ยังไงก็ขึ้นชื่อว่ามีสายเลือดเดียวกัน หากเมียของเขาไม่สู้คนป่านนี้ก็คงจะถูกรังแกด้วยคำพูดต่างๆ นานาให้เจ็บช้ำน้ำใจ ต้องขอขอบคุณคุณบวรที่ขอพบกับเขาไม่อย่างนั้นป่านนี้เขาก็คงบินไปต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว "ทำแผลเสร็จรึยัง" ลูอิสถามครูที่กำลังทำแผลให้ฟ้าใส "ใกล้แล้วค่ะผอ." ครูสาวหันมาตอบคำถามก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาทำให้จนเสร็จเรียบร้อย "คุณออกไปก่อน" ครูสาวพยักหน้าแล้วรีบเดินออกไปทันที ฟ้าใสมองผอ.หนุ่มด้วยสายตาไม่พอใจ ปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ใบหน้าขาวมีรอยนิ้วมือประทับอยู่ มุมปากเริ่มเขียวช้ำ ที่ข้อศออกมีรอยถลอก เมื่อเห็นว่าลูอิสยังไม่ยอมพูดอะไรเอาแต่จ้องอย่างเดียว ฟ้าใสก็อดทนต่อไปไม่ไหวเลยถามออกมา "ผอ.มีอะไรจะพูดก็พูดมาเถอะค่ะ” "หวังว่าพ่อเธอมารับตัวกลับไปแล้วเธอจะคิดได้นะฟ้าใส เธอยังเด็กกลับตัวเป็นคนดีตอนนี้มันยังไม่สาย และหวังว่าเธอจะไม่หาเรื่องใครอีกนะ อ่อ แล้วอีกอย่างคำพูดที่เธอปั้นแต่งขึ้นมาไปพูดกับใครใครเขาก็ไม่เชื่อหร
"พวกแกนี่มันยังไงกัน ฉันพูดอะไรก็หาข้อแก้ต่างมาให้มันได้หมดเลย มันปิดปากพวกแกเอาไว้รึไงกัน" ฟ้าใสเริ่มเกรี้ยวกราดเพราะพูดมาตั้งนานไม่มีใครยอมคล้อยตามเธอสักคน "ฉันจะเอาอะไรไปปิดปากเพื่อนได้" เสียงหนูดีดังแหวกอากาศเข้ามา ทำให้คนที่กำลังดูฟ้าใสทำหน้าบึ้งตึงหันมามองเธอเป็นตาเดียวกัน "คนที่นิสัยไม่ดีอย่างเธอก็ดีแต่คอยว่าร้ายคนอื่น เคยมองย้อนกลับไปดูตัวเองไหมว่ามีดีเลิศเลอแค่ไหนกัน ฉันจะไปเป็นเมียเก็บใครมันหนักหัวเธอรึไง หรือว่าจริงๆแล้วอิจฉาอยากมีคนเลี้ยงดูบ้าง" หนูดีกอดอกเอียงคอถาม ไม่ได้อยากจะมีเรื่องกับฟ้าใสเท่าไหร่หรอก เพราะถึงยังไงก็มีสายเลือดเดียวกัน ถึงจะคนละพ่อแม่ก็ตาม "ทำไมฉันจะต้องอิจฉาเด็กกำพร้าที่พ่อแม่ตายอย่างแกด้วย นังหนูผี นังเด็กกำพร้า!” ฟ้าใสตวาดเสียงดัง มันเหมือนมีมีดกรีดลงกลางใจของหนูดี เมื่อถูกตอกย้ำถึงเหตุการณ์การศูนย์เสียพ่อและแม่ของเธอ เสียงคนอื่นๆ ลุกฮือเมื่อรู้สึกว่าฟ้าใสพูดจาร้ายกาจ "มันจะมากไปแล้วนะ ฉันจะไม่ทนกับพฤติกรรมต่ำๆ ของแกอีกแล้ว" หนูดียกมือขึ้นฟาดลงบนซีกแก้มข้างขวาของฟ้าใสอย่างแรงไม่มีออมมือ มือข้างที่ว่างก็จิกทึ้งลงบนผมยาวที่ปล่อยสยายเอาไว้เต็มอุ้งม
"คุณกับหลานสาวผมไปถึงขั้นไหนกันแล้ว ผมอยากฟังความจริงเท่านั้นนะครับคุณลูอิส หวังว่าคุณจะไม่โกหกผม" คุณบวรไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป เพราะอยากจะรู้ความจริงจากปากของคนตรงหน้า หากเขาไม่กลับมาจากดูงานก่อนกำหนด ก็คงจะไม่รู้ว่าตอนนี้หลานสาวของเขาไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้ว ต้องคาดคั้นจากภรรยาอยู่นานถึงรู้ว่าหนูดีอยู่ในความดูแลของ ผอ.โรงเรียน ซึ่งก็คือชายหนุ่มตรงหน้าหรือว่านักธุรกิจหนุ่มมากความสามารถอย่าง ลูอิส วาเลนส์ "ผมกับหนูดีเราเป็นสามีภรรยากัน" ลูอิสพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาก็ฉายชัดถึงความจริงใจ "คุณจะโทษหนูดีไม่ได้เพราะทุกอย่างผมเป็นคนเริ่มเองทั้งหมด ผมรักและจริงจังกับเธอมาก แม้ว่าอายุเราจะห่างกันมากก็ตาม ผมไม่คิดว่าเรื่องอายุจะเป็นอุปสรรค หวังว่าคุณบวรจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดนะครับ ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่เราจะพบกันคุณได้ฟังเรื่องราวจากปากของใคร แต่ผมขอยืนยันได้ว่าไม่ได้คิดจะหลอกหลานสาวของคุณแน่ๆ หนูดีเธอเป็นเด็กดีไม่ได้ทำสิ่งใดผิดแม้แต่น้อย" คุณบวรฟังจนกระทั่งลูอิสพูดจบ และคิดตามในสิ่งที่ผู้อำนวยการหนุ่มได้พูดทุกประโยค "คุณมั่นใจแค่ไหนว่าจะดูแลหลานสาวของผมได้เป็นอย่างดี ผมไม่อยากให้แกต้อง
"ยัยฟ้าหมองมันได้มาด้วยเหรอเนี่ย" วีต้าพยักเพยิดไปทางฟ้าใส ที่กำลังยืนคุยอยู่กับเพื่อนในอีกแถวหนึ่งอย่างออกรส "ถูกพักการเรียนไปตั้งเดือนนึง ไม่รู้นิสัยนางจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี หรือว่าแย่ลงกว่าเดิมคงต้องรอดูกันต่อไป” หวานมองฟ้าใสอย่างที่วีต้ากำลังมอง "แต่ดูแล้วฉันว่ายัยนี่เปลี่ยนนิสัยยากวะ แกว่าไหมหนูดี" วีต้าหันมาถามเพื่อนรักซึ่งเป็นญาติกับยัยฟ้าหมอง แต่ดูแล้วหนูดีจะไม่ได้ฟังในสิ่งที่เธอพูดแม้แต่น้อย เพราะมัวแต่หน้านิ่วคิ้วขมวดกับโทรศัพท์อยู่ "หนูดี!” วีต้ากรอกเสียงลงในในหูของเพื่อนเสียงดังจนหนูดีสะดุ้งโหยง "อะไรของแกวีต้า ทำไมต้องเสียงดังใส่หูฉันด้วยเนี่ย พูดดีๆ ก็ได้ยินแล้ว หูไม่ได้ตึงสักหน่อย” หนูดีลูบหูตัวเองป้อยๆ "นี่ขนาดหูไม่ได้ตึงนะ เรียกแล้วแกไม่ได้ยินก็ต้องเรียกอย่างนี้แหละ” วีต้าค่อนขอด "แล้วแกเป็นอะไรกับโทรศัพท์นักหนาทะเลาะกับมันหรือไง หน้าถึงได้มุ่ยซะขนาดนั้น” วีต้าบุ้ยบ้ายโทรศัพท์เครื่องใหญ่ในมือเพื่อนอย่างสงสัย "นั่นดิ” หวานเองก็สงสัยไม่ต่างกัน "ก็คุณป๋า เอ่อ เขาคนนั้นอ่ะไลน์มาสั่งโน่นสั่งนี่ไม่หยุด ฉันก็ต้องคอยตอบน่ะสิ นี่ก็ขี้เกียจพิมพ์แล้วด้วย เฮ้อ” หนูดีถอนหายใ
"พ่อกับแม่ก็ไม่อยู่เราจะลงไปลำพังอย่างงี้หรอ คนงานก็หลับกันหมดแล้ว จะไปตามก็ต้องเปิดประตูออกไป ฉันว่าเราแจ้งตำรวจก่อนดีกว่า พอตำรวจมาค่อยออกไปทีเดียว” วีต้าพูดเสียงเครียดหวานกับหนูดีจึงพยักหน้าเห็นด้วย "แต่ระหว่างที่แกโทรฉันขอไปชะโงกหน้าดูหน่อยนะว่ามันมากันกี่คน" หนูดีเดินไปที่หน้าต่างที่มีม่านกั้นไว้อยู่ มือบางค่อยๆแหวกม่านออกเล็กน้อย เพ่งมองลงไปยังด้านล่างก็ต้องตาโตเท่าไข่ห่าน โจรที่พวกเธอต่างคิดไปต่างๆ นานากลับเป็นคนใกล้ตัวของเธอเสียเอง "ไม่ต้องโทรแล้วแก" เสียงขุ่นหลุดออกจากเรียวปากบาง มือที่กำผ้าม่านเอาไว้คลายออกพร้อมกับเดินดุ่มๆ ไปที่ประตู "แกจะไปไหนหนูดี” วีต้าถามเสียงร้อนรน "ไปจัดการกับโจรยังไงล่ะ งานนี้ไม่ต้องถึงมือตำรวจหรอก” พูดจบมือบางก็กระชากประตูเปิดออกไป ไม่สนใจที่จะฟังเสียงเรียกของหวานกับวีต้า ผลั๊วะ เสียงเปิดประตูบ้านเสียงดังทำให้ลูอิสชะงักมือที่จะปาหินลง พร้อมกับหน้าบึ้งๆ ของเมียตัวน้อยที่เดินออกมาหาเขาอย่างเอาเรื่องเต็มที่ "ริอ่านจะเป็นหัวขโมยหรือคะ" คนตัวเล็กยืนประจันหน้ากับสามีทางพฤตินัยอย่างโมโห มีอย่างที่ไหนเที่ยวมาปาหินใส่บ้านคนอื่นเขากลางดึกแบบนี้ "ก็เมี
"ผู้หญิงแบบนี้น่ารำคาญชะมัด” ลูอิสพูดด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญ พอลับร่างครูคนดังกล่าวไปแล้ว ก็เปิดดูสถานที่ที่นักเรียนชั้นมอหกจะไปทัศนศึกษา เพื่อพิจารณาว่าจะอนุมัติหรือไม่ เมื่อเปิดอ่านก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีก ไม่เข้าใจว่าที่ที่ไปมีตั้งเยอะแยะทำไมถึงไม่ไปกัน คิดยังไงถึงจะไปป่า ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดแผนบ้าๆ แบบนี้ขึ้นมา ตอนนี้อะไรก็ไม่ดีในสายตาคนพาลไปหมด ใครเข้ามาก็โดนไปตามๆ กันไม่มีไว้หน้าใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะผมขาวหรือผมดำ "วันนี้มันวันเฮงซวยอะไรวะเนี่ย มีเมียเมียก็ไม่สนใจ คิดว่าจะทำอะไรกับผัวแก่ๆ อย่างนี้ก็ได้เหรอ โว้ย!” เสียงโวยวายของคนขี้โมโหดังออกมาราวกับคนบ้าคลั่ง มือก็กดโทรศัพท์เป็นระวิง พอไม่ได้ดั่งใจก็กระแทกตัวกับพนักเก้าอี้แรงๆ เพื่อเป็นการระบายความหงุดหงิดงุ่นง่านของตัวเองตกเย็นหนูดีก็ส่งข้อความมาบอกว่าจะไปทำรายงานที่บ้านเพื่อน ให้ลูอิสกลับบ้านไปได้เลย สร้างความหงุดหงิดให้กับยักษ์ตัวโตเป็นอย่างมาก หากว่าพ่นไฟได้เขาคงพ่นไปแล้ว พอโทรไปเมียตัวน้อยของเขาก็ปิดเครื่อง เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ต้องกลับบ้านอย่างไม่เต็มใจ แล้วก็กลับไปพาลคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ที่บ้านอีกทีจนใครๆ ก็ไม่อยากจะเ
สองร่างยังคงนอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียงกว้างที่ยับย่น เสียงนาฬิกาปลุกร้องเตือนอยู่หลายครั้งก็ไม่มีใครลืมตาตื่นขึ้นมา เพราะกว่าคนทั้งคู่จะได้หลับได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบเช้า เวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วโมง หนูดีก็เป็นฝ่ายที่รู้สึกตัวขึ้นมาก่อนด้วยเคยชิน มือบางยกขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ ด้วยความงัวเงีย ยกศีรษะหนักๆ ขึ้นมาดูนาฬิกาที่หัวเตียงก็ต้องย่นคิ้ว เพราะมันปาไปเจ็ดโมงครึ่งแล้ว ทั้งเธอและลูอิสจะต้องไปโรงเรียน จะขยับตัวลุกขึ้นก็ยากลำบากเพราะขายาวของลูอิสกอดก่ายเอาไว้ ท่อนแขนแข็งแรงก็กอดรัดเอวเอาไว้เสียแน่น ใบหน้าหนวดเคราก็ซุกซบอยู่กับอกอวบของเธอ ทั้งดันทั้งทุบคนที่หลับเป็นตายก็ไม่รู้สึกตัวสักที ไม่รู้ว่าแกล้งหรือหลับจริง “อื้อ คุณป๋าตื่นได้แล้วนะคะ จะแปดโมงแล้ว หนูต้องไปโรงเรียนนะ ปล่อยสิคะ ฮื่อ” มือบางเขย่าท่อนแขนใหญ่แรงๆ เพื่อปลุกให้ตื่นขึ้นมา "คุณป๋ายังง่วงอยู่เลย ไปสายหน่อยก็ได้" นอกจะไม่ยอมลืมตาขึ้นมาแล้ว ยังเพิ่มแรงกอดรัด อัดใบหน้าลงกับอกนุ่มคลุกเคล้าอย่างอ้อนๆ "คุณป๋าเป็นผู้บริหารไปกี่โมงก็ได้ แต่หนูเป็นนักเรียนจะไปสายอย่างคุณป๋าไม่ได้นะคะ” เด็กสาวพูดอย่างอ่อนใจ "เป็นเมียเจ้าของโรงเรียนจะ
“ไม่มีใครเข้ามาในนี้ได้หรอกคนสวย คุณป๋าล็อกประตูเรียบร้อยแล้ว” ลูอิสพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างเล็ก ปลดตะขอบราด้านหน้าออกอย่างง่ายดาย อกอวบขาวผ่องดีดเด้งออกมาราวกับมีสปริงติดอยู่ ยอดอกสีสวยชูชันล่อตาล่อใจ ปากร้อนอ้างับลงบนเม็ดเชอร์รี่สีหวานเข้าไปในอุ้งปาก ดูดเม้มจนแก้มตอบ มือข้างที่ว่างก็นวดเฟ้นฐานอกจนแดงเป็นปื้น “คุณป๋าขาแต่หนูว่าที่นี่มันไม่เหมาะนะคะ อื้อ” หนูดีดึงทึ้งผมสั้นให้เงยหน้าขึ้นมา แต่คนที่ตั้งหน้าตั้งตากินนมไม่ยอมง่ายๆ “อื้ม อื้ม อื้ม” “อ๊ะ อย่ากัดจุกนมของหนูสิ อื้อ เจ็บ” หลังกว้างถูกระดมทุบไม่ยั้ง เมื่อเผลอใช้ฟันขบยอดอกแรงจนทำให้ร่างบางสะดุ้งเฮือก “อร่อยลิ้นไปหน่อย คุณป๋าขอโทษนะ เดี๋ยวเลียให้หายเจ็บนะคะเบบี๋” ลูอิสก้มลงไปเลียตรงปลายยอดใหม่ ตาก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าพริ้มเพราที่เชิดแหงนขึ้นเป็นระยะอย่างถูกใจ “เลิกเลียได้แล้วหนู อื้อ ทรมาน” ปากบอกให้เลิกเลีย แต่มือบางกลับรั้งศีรษะหนาให้แนบชิดกับเต้าสวยแนบแน่น จนทั้งหน้าของลูอิสเกลือกกลั้วอยู่ที่กลางทรวงสาว หนวดเคราครูดจนเป็นรอยแดงเถือก ณ เวลานี้เด็กสาวไม่มีความเจ็บใดๆ แล้ว มีแต่เพียงความหวาบหวามและซ่านสยิวเท่านั้น ลูอิสดึงใบหน