งานเลี้ยงไหว้พระจันทร์
รถม้าจวนตระกูลอิงไปถึงหน้าวังหลวงก่อนเวลาหนึ่งชั่วยาม พวกเรารู้ดีว่าการมาสายจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเหล่าขุนนางอย่างไร หม่านเซียงที่ไม่ค่อยออกงานสักเท่าไหร่และยังมีเพื่อนเพียงไม่กี่คนกังวลไม่น้อย ครั้งนี้นางต้องคอยดูแลบุตรสาวอย่างอิงฮวาที่วันนี้แต่งกายเรียบง่ายเกินไป ทั้งที่นางอยากให้อิงฮวาสวมชุดหรูหรากว่านี้ น่าเสียดายที่บุตรสาวนางบอกว่างานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ไม่จำเป็นต้องสวมชุดเช่นนั้น
ขุนนางที่มาในงานต่างมองครอบครัวขุนนางอิงเป็นตาเดียวกัน โดยเฉพาะบุตรีที่พวกเขาทราบข่าวมาสักพักแล้วว่าเพิ่งรับกลับมาจากชนบท บุตรีขุนนางคนอื่นต่างมองอิงฮวาอย่างเหยียดหยามที่เห็นนางสวมชุดขาวและปักปิ่นเพียงชิ้นเดียว ทุกคนต่างคิดว่าไม่น่าแปลกใจที่เหตุใดนางจึงมาจากชนบท งานของชนชั้นสูงเช่นนี้ไม่เหมาะกับคนชั้นต่ำเช่นนางสักนิดเดียว เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าพูดเสียงดังนักด้วยกลัวว่าจะมีเรื่องก่อนงานเริ่มจึงได้แต่ซุบซิบกันเบา ๆ
“ฮวาเอ๋อ เจ้าอย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาเลยนะ ในเมื่อลูกอยากแต่งชุดเช่นนี้พ่อกับแม่ก็จะสนับสนุนเจ้า” อิงเต๋อเป็นห่วงความรู้สึกบุตรีจึงเอ่ยขึ้น
“ลูกสวมชุดธรรมดาเช่นนี้ก็ดูสวยบริสุทธิ์ไปอีกแบบ ท่านพี่อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณท่านพ่อ ท่านแม่ที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นไร”
“อีกนานกว่างานจะเริ่ม เจ้าไปเดินเล่นก่อนก็ได้นะ พ่อกับแม่จะไปทักทายสหายในงานสักหน่อย หรือเจ้าจะให้แม่เจ้าไปเป็นเพื่อน” อิงเต๋อถามลูกสาว
“ข้าไปเองได้เจ้าค่ะ ท่านพ่อกับท่านแม่ไปพบสหายตามสบาย สักพักข้าจะมาหาพวกท่านในงานเองเจ้าค่ะ” อิงฮวายิ้มบางตอบ
“ลูกระวังตัวด้วยนะฮวาเอ๋อ อย่าไปนานนักเล่า แม่เป็นห่วง”
“เจ้าค่ะท่านแม่ ลูกขอตัวก่อน” อิงฮวาย่อกายคารวะทั้งสองก่อนเดินจากไป
ท่ามกลางค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง สายลมพัดเอื่อย ๆ ทำให้ต้นไม้ในสวนไหวเอนไปตามแรงลมเบา ๆ อิงฮวายืนพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในมุมมืดของสวนและเหม่อมองไปบนท้องฟ้าอย่างคิดถึงบิดาของนาง บุตรีขุนนางหลายคนที่จับกลุ่มสนทนากันอยู่ไม่ไกลต่างชี้ชวนกันมองอิงฮวาที่ดูสง่างามและสูงส่งโดยไม่ต้องใช้เสื้อผ้าหรูหราหรือเครื่องประดับล้ำค่าบนตัวเลยแม้แต่น้อย สายตาเย็นชาของนางที่ไม่ต้องการคบหาใครทำให้คนกลุ่มนั้นไม่กล้าเข้าไปทักทาย
“องค์หญิงใหญ่เสด็จ!!!” เสียงขันทีขานขึ้นก่อนที่องค์หญิงเซียงจู่จิวจะเดินมาพร้อมจูเค่อหลิงสหายสนิทเข้ามาทักทายสหายภายในสวนดอกไม้ด้านข้าง
“ถวายบังคมองค์หญิงใหญ่พะย่ะค่ะ/เพคะ” ทุกคนที่จับกลุ่มกันต่างย่อกายคารวะ
อิงฮวาที่หลบอยู่ในมุมมืดก็ย่อกายคารวะตามธรรมเนียมเช่นกัน นางมองจูเค่อหลิงอย่างเกลียดชังแว่บหนึ่ง ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่าเรื่องที่เกิดกับจวนตระกูลไช่ใครเป็นต้นเหตุทำให้เกิดขึ้น เพียงแต่นางยังไม่มีหลักฐานเอาผิดมหาเสนาบดีเท่านั้น
องค์หญิงใหญ่ทักทายสหายที่คุ้นหน้าคุ้นตาไม่นาน ก่อนที่จูเค่อหลิงจะกระซิบบอกองค์หญิงถึงการมีอยู่ของอิงฮวา นางนึกหมั่นไส้อิงฮวาที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้คนเดียวโดยไม่สนใจใครจึงอยากแสดงอำนาจให้ทุกคนเห็นว่าสตรีอันดับหนึ่งอย่างนางไม่ต้องการสหายบ้านนอกอย่างอิงฮวา
“เจ้าเป็นใคร?” เซียงจู่จิวหันไปตะโกนถามอิงฮวาที่ยืนเหม่อมองท้องฟ้าอยู่
“ถวายบังคมองค์หญิงใหญ่ หม่อมฉันอิงฮวา บุตรีของขุนนางอิงเต๋อเพคะ” อิงฮวาย่อกายคารวะเต็มพิธีการ นางแปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ องค์หญิงใหญ่ก็ตรัสถาม
“อ้อ ได้ข่าวมาสักพักแล้วว่าขุนนางอิงไปรับบุตรีจากชนบทมาอยู่เมืองหลวง”
อิงฮวาไม่ได้ตอบกลับ นางเพียงแต่ยืดตัวขึ้นและพยักหน้ารับคำองค์หญิงที่กำลังมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเหยียดหยาม
“ไม่คิดว่าขุนนางอิงจะมีบุตรีที่ไม่รู้ความเช่นนี้ งานเลี้ยงในวังแต่บุตรีกลับแต่งกายไม่เหมาะสม องค์หญิงคิดเห็นเช่นไรเพคะ” จูเค่อหลิงกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าอิงฮวา
“เจ้าเหตุใดจึงได้แต่งกายเช่นนี้? หรือเจ้าดูถูกว่างานเลี้ยงในวังเป็นเพียงงานรื่นเริงเหมือนในชนบทเท่านั้น” เซียงจู่จิวตรัสขึ้นอย่างต้องการหาเรื่องหญิงสาวตรงหน้าที่ดูอย่างไรก็ไม่สบอารมณ์ของพระองค์
“กราบทูลองค์หญิง วันนี้เป็นเพียงงานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ หม่อมฉันแต่งกายเรียบง่ายเพื่อเฉลิมฉลองตามราชประเพณี และไม่คิดว่างานเลี้ยงวันนี้จะห้ามมิให้แต่งกายเช่นนี้เพื่อเข้าร่วมเพคะ อีกทั้งราชสำนักไม่ได้ต้องการให้ทุกคนอวยพรให้แคว้นและราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ไม่ฟุ่มเฟือยหรอกหรือเพคะ” อิงฮวาตอบกลับด้วยใบหน้าเฉยชา
“บังอาจ!!! นี่เจ้ากล้าต่อว่าองค์หญิงใหญ่หรือ?” จูเค่อหลิงอาศัยโอกาสเพื่อจะให้อิงฮวาถูกองค์หญิงลงโทษให้ได้
“หม่อมฉันมิกล้า ขอองค์หญิงใหญ่โปรดพิจารณาเพคะ” อิงฮวาย่อกายลงอีกครั้ง
“ฮึ! ข้าว่าเจ้ากล้ามากนะอิงฮวา ข้าเป็นถึงองค์หญิงใหญ่จึงต้องแต่งกายให้เหมาะสมกับตำแหน่ง แต่เจ้ากลับหาว่าข้าฟุ่มเฟือยเช่นนั้นหรือ?”
“เจ้าคงคิดว่าเป็นบุตรีขุนนางแล้วจะสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงของชนชั้นสูงเช่นนี้ได้ง่าย ๆ สินะอิงฮวา ข้าจะทำให้เจ้าดูว่าการอยู่ในสังคมของชนชั้นสูงเป็นอย่างไร”
จูเค่อหลิงเดินไปหยิบถ้วยชาจากนางกำนัลที่รอถวายให้องค์หญิง จากนั้นจึงเดินไปทางที่อิงฮวากำลังยืนมองนางอย่างเย็นชา แต่ก่อนที่จูเค่อหลิงจะสาดชาใส่อิงฮวา เสียงชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เจ้าจะทำอะไรคุณหนูจูเค่อ!!!” เซียงเซียวที่ยืนดูเหตุการณ์ไกล ๆ ร่วมกับสหายอย่างไป๋จิ่นหลินรีบเข้ามาปกป้องอิงฮวาที่พระองค์รู้สึกคุ้นเคยแปลก ๆ
“ถวายบังคมองค์ชายรอง/เสด็จพี่รอง เพคะ/พะย่ะค่ะ” ทุกคนในบริเวณนั้นรีบย่อกายทำความเคารพเซียงเซียวด้วยความหวาดกลัว ใครไม่รู้บ้างว่าองค์ชายรองเกลียดความอยุติธรรมมากแค่ไหน หากใครกล้าก่อเรื่องต่อหน้าพระพักตร์ องค์ชายรองไม่เคยปล่อยไปสักครั้งเดียว ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นบุตรหลานของใคร
“พวกเจ้าตามสบาย เราถามว่าเจ้าจะทำอะไรคุณหนูจูเค่อ!!!” เซียงเซียวตวาดว่า
“หม่อม… หม่อมฉันเปล่าเพคะองค์ชายรอง” จูเค่อหลิงที่แอบชอบองค์ชายรองได้แต่ก้มหน้าลงอย่างไม่กล้าสบสายพระเนตร นางเจ็บใจที่ไม่ได้สร้างความอับอายให้อิงฮวาที่ยังคงยืนมองนางด้วยสายตานิ่งเรียบ
“ฮึ! อย่าให้เรารู้ว่าพวกเจ้ารังแกคนก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นเราไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่”
“พวกกระหม่อมทราบแล้วเพคะ/พะย่ะค่ะ” ทุกคนรีบตอบรับคำองค์ชายรอง
“แม่นางเป็นอะไรหรือไม่?” เซียงเซียวหันไปถามอิงฮวา
“หม่อมฉันสบายดีเพคะ ขอบพระทัยองค์ชายที่ช่วยเหลือ”
“น้องสาว เจ้าชื่ออะไร?” ไป๋จิ่นหลินยิ้มบางพร้อมเอ่ยถามขึ้น เขาเป็นสหายสนิทขององค์ชายรองจึงได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย
“ข้าชื่ออิงฮวาเจ้าค่ะ ไม่ทราบคุณชายมีนามว่าอะไร?” อิงฮวาตอบกลับอย่างมีมารยาท
“เรียกข้าพี่ชายไป๋ก็ได้ ข้าไป๋จิ่นหลิน สหายสนิทขององค์ชายรอง”
“ฮึ! พวกเจ้าจะคุยกันอีกนานหรือไม่ รีบเข้าไปในงานได้แล้ว” องค์ชายรองที่ถูกอิงฮวาเมินเฉยได้แต่ฮึดฮัดและเรียกสหายเข้าไปในงานอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“โอ้ พระองค์จะรีบร้อนไปใย กระหม่อมอยากคุยกับน้องสาวอิงต่อ” ไป๋จิ่นหลินชอบกลั่นแกล้งองค์ชายรอง เขาเห็นแต่แรกว่าองค์ชายรองสนใจสตรีนางนี้ ไม่เช่นนั้นพระองค์คงไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยนางเป็นแน่ ถึงแม้ไป๋จิ่นหลินจะรู้ดีว่าอิงฮวาเป็นใครจากสายข่าวที่เขาให้คอยติดตามนางมาตลอดตั้งแต่นางเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ในยามที่เดินทางไปค้าขายเมื่อหลายปีก่อน ไป๋จิ่นหลินรู้ว่านางคงจำเขาไม่ได้แล้ว
สองเดือนต่อมาหลังจากหม่าซูใช้เวลาปรึกษาเรื่องลูกสะใภ้กับบุตรสาวและตระกูลอิงนานกว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ในที่สุดนางก็เลือกบุตรีแม่ทัพรักษาเมืองที่เก่งการต่อสู้และยังชอบบุตรชายนางตั้งแต่คราแรกที่ได้พบกัน ถึงแม้นางจะดูซุกซนไปสักหน่อย แต่ความจริงใจและใสซื่อของนางหาได้ยากในหมู่บุตรีขุนนางไช่ซิวหลังจากถูกนางก่อกวนอยู่นานนับเดือน ในที่สุดเขาก็ยอมตกลงแต่งงานกับหลูเซี่ยวเอ๋อจนได้ นั่นเพราะไช่ซิวเพิ่งเคยพบคุณหนูใสซื่อเช่นนี้ครั้งแรกเช่นเดียวกัน อีกทั้งความจริงใจของนางที่มีต่อตนเองซึ่งเขารับรู้ได้ ทำให้เขาไว้ใจที่จะแต่งงานกับนางอย่างไม่รังเกียจงานมงคลสมรสของไช่ซิวนับเป็นงานแรกหลังจากเกิดการกบฏ ทำให้ขุนนางมากมายต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ฮ่องเต้ยังประทานของขวัญแต่งงานให้แก่กั๋วกงหนุ่มของราชสำนักจำนวนมาก ทำเอาขุนนางหลายครอบครัวต่างอิจฉาความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมอบให้ไช่ซิวไม่น้อยไท่จื่อและไท่จื่อเฟยยังเสด็จมางานนี้ด้วยพระองค์เอง นับว่างานแต่ง
ระหว่างที่การต่อสู้ด้านในกำลังดุเดือดเลือดพล่าน แม่ทัพหลัวก็พาทหารฝีมือดีเข้ามาถึงลานจัดงานเลี้ยงและลงมือฆ่าแม่ทัพซัวเถากับพวกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา คนของจูเค่ออี้หมิงเริ่มล้มตายราวใบไม้ร่วง ด้วยความสามารถอันสูงส่งของกองกำลังแม่ทัพหลัว ทำให้พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็สังหารกบฏทั้งหมดในลานจัดเลี้ยงสำเร็จ ส่วนจูเค่ออี้หมิงถึงแม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ยังมีลมหายใจอยู่“กราบทูลฝ่าบาท กบฏทั้งหมดถูกสังหารสิ้นแล้วพะย่ะค่ะ” แม่ทัพหลัวคุกเข่ารายงานเสียงดังหลังจากจัดการศัตรูจนไม่สามารถต่อสู้ได้อีก“ขอบใจเจ้ามากแม่ทัพหลัว ความดีความชอบของเจ้ากับกองทัพตะวันออกในครานี้ ข้าจะมอบเสบียงและเงินเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พวกเจ้าทำหน้าที่ปกป้องชายแดนต่อไป สำหรับกบฏที่ยังไม่ตาย ให้จับกุมเข้าคุกหลวงรอวันประหาร ตระกูลจูเค่อซึ่งเป็นผู้นำในการก่อกบฏ ลงโทษประหารเก้าชั่วโคตร ริบทรัพย์ทั้งหมดเข้าคลังหลวง” ฮ่องเต้ตรัสหลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ สงบลง“ฝ่าบาทโปรดพิจารณา กระหม่อมไม่ทราบเรื่อ
“ฮ่า ฮ่า ไม่คิดว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเซียงจะโง่เขลาถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าแคว้นอู่ของเราพาคนมาน้อยหรืออย่างไร กองทัพเล็ก ๆ ของเจ้ามีหรือจะต้านทานคนของพวกเราได้”แม่ทัพซัวเถาชักดาบที่ซ่อนไว้ออกมาทันที รองแม่ทัพอีกสองคนก็เดินตามหลังเขาไปยังหน้าพระที่นั่งของเซียงเหวินเช่นกัน“ฮึ! เราก็นึกว่าใครที่กล้าพูดจาไร้มารยาท ที่แท้ก็แม่ทัพแคว้นอู่ ซัวเถานี่เอง” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรศัตรูทั้งสามอย่างเหยียดหยาม“คุ้มกันฝ่าบาท!!!” ทหารองครักษ์รีบลุกมายืนบังด้านหน้าพระแท่นของฮ่องเต้“ไร้ประโยชน์! คนของข้ากำลังจะเข้ามาที่นี่แล้ว พวกเจ้าหากไม่อยากตายก็รีบหลบไปเสียแต่โดยดี” แม่ทัพซัวเถาเอ่ยอย่างถือดี ด้วยฝีมือของพวกเขาแล้ว องครักษ์หลวงเหล่านี้แทบจะไม่ใช่คู่มือของพวกเขาเลย“หุบปาก! เป็นเพียงแม่ทัพเฒ่าผู้หนึ่ง กลับกล้ามาโอหังถึงแคว้นต้าเซียง” รัชทายาทตรัสอย่างไม่พอพระทัย พระองค์ทอดพระเนตรท่าทางของ
“ท่านมหาเสนาบดีกล่าวผิดแล้ว ข้าแซ่ฟู่ นามหยาง ไม่ใช่คนตระกูลจูเค่อของท่าน”“เจ้าลูกสารเลว!! เจ้ากลับลืมว่าเติบโตมาจากจวนมหาเสนาบดีของข้า” จูเค่อหรงเจี้ยนโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมาเมื่อได้ยิน“ขออภัย ตั้งแต่ข้าแต่งเข้าตระกูลฟู่ พ่อของข้าในตอนนี้คือนายท่านฟู่โจวคนเดียว”ก่อนที่จูเค่อหรงเจี้ยนจะเข้าไปทำร้ายร่างกายฟู่หยาง หัวหน้าของเขาก็ก้าวเข้ามาดักทางเอาไว้เสียก่อน“หลีกไป! ข้าจะสั่งสอนลูกของข้า!!” มหาเสนาบดีตวาดว่า“เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำร้ายลูกน้องข้า เขาก็บอกแล้วว่าแซ่ฟู่ นามหยาง เจ้ายังคิดอ้างสิทธิ์ความเป็นพ่อได้อย่างไรกัน ช่างหน้าไม่อายนัก”จูเค่อหรงเจี้ยนถูกความจริงทำให้โมโหหนักขึ้นไปอีก ขุนนางหลายคนรีบเข้ามาห้ามมหาเสนาบดี อย่างไรพวกเขาก็ยังอยากเข้าร่วมงานเลี้ยงหลังพิธีแต่งตั้งอยู่จึงไม่อยากทะเลาะกับทหารองครักษ์เหล่านี้
ห้าวันต่อมาจูเค่ออี้หมิงเข้าเมืองหลวงพร้อมทหารแคว้นอู่จำนวนหนึ่ง ส่วนทหารที่เหลืออีกเกือบหนึ่งหมื่นคนซึ่งปลอมตัวเป็นผู้ลี้ภัยถูกกักเอาไว้ภายนอกเมืองหลวงตามรับสั่งของฮ่องเต้ พระองค์ออกราชโองการให้ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ภายนอกเท่านั้น เพราะเมืองหลวงไม่สามารถรองรับผู้ลี้ภัยสงครามจำนวนมากได้เขากลับไปถึงจวนก็ถูกผู้เป็นพ่อเรียกพบด่วน จูเค่ออี้หมิงสั่งให้เตียหย่งพาแม่ทัพซัวเถากับรองแม่ทัพหลายคนไปพักผ่อนที่เรือนรับรองก่อน ส่วนตัวเขาเองก็ไปยังห้องหนังสือที่จูเค่อหรงเจี้ยนนั่งรออยู่“เจ้ารู้ข่าวที่องค์ชายรองกำลังจะเข้ารับตำแหน่งรัชทายาทในอีกสองวันข้างหน้าหรือยังอี้หมิง” จูเค่อหรงเจี้ยนไม่รอให้ลูกชายนั่งดี ๆ แต่กลับรีบถามขึ้นมา“ลูกทราบแล้วขอรับ ท่านพ่อมีสิ่งใดจะสั่งหรือไม่” จูเค่ออี้หมิงไม่คิดจะบอกแผนการของตนเอง เพราะพ่อของเขาจะต้องไม่ยอมให้เขาดำเนินการตามแผนแน่“ข้าวางคนเอาไว้ในงานพิธีแล้ว ร
สองสัปดาห์ต่อมาฮ่องเต้ตรวจสอบหลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับมหาเสนาบดีและบุตรชาย พระองค์มีรับสั่งให้องค์ชายรองกับไป๋จิ่นหลินเข้าเฝ้าทันที หลังทำความเคารพฮ่องเต้แล้ว ทั้งสองก็นั่งลงที่เก้าอี้ตามรับสั่งของฝ่าบาท“หลักฐานเหล่านี้เราเกรงว่าจะยังไม่เพียงพอ มหาเสนาบดีจะต้องอ้างว่ามีผู้ปลอมแปลงหลักฐานเพื่อใส่ร้ายเขาแน่ อีกทั้งขุนนางเกินครึ่งในราชสำนักยังเข้าข้างเขา”“เช่นนั้นเราก็ไม่สามารถโค่นตระกูลจูเค่อได้หรือพะย่ะค่ะ” องค์ชายรองขมวดคิ้วมุ่น“ลูกใจเย็นก่อน พ่อคิดว่ามหาเสนาบดีจะต้องเผยตัวออกมาเองแน่หากพ่อมีราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาท แต่เจ้าต้องสั่งองครักษ์ให้ดูแลอิงฮวาให้ดีนะ”“แผนการของฝ่าบาทเป็นไปได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะส่งคนไปคอยดูแลตำหนักองค์ชายรองอย่างลับ ๆ เพิ่มเอง” ไป๋จิ่นหลินเห็นด้วยกับความคิดของฮ่องเต้“ขอบใจเจ้ามากนะจิ่นหลิน