กลุ่มชาวบ้านทั้ง 10 ครัวเรือนได้แต่ฮึดฮัดจากไปเมื่อผู้ใหญ่บ้านปิดประตูใส่หน้าพวกเขาเสียดื้อ ๆ ระหว่างทางพวกเขายังคุยกันว่าจะแย่งชิงเสบียงจากคนเหล่านั้นอย่างไรเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ แต่ละคนเห็นว่าผู้มาใหม่มีเพียงคนไม่ถึง 30 คน พวกเขาที่มีกันเกือบ 50 คน ย่อมสามารถนำเสบียงของคนพวกนั้นมาได้ไม่ยาก
บ่าวผู้หนึ่งที่ถูกส่งไปสืบข่าวรีบกลับไปบอกอดีตพ่อบ้านอย่างซู่หยงทันที พอเขารู้เรื่องเข้าก็สั่งการให้พวกผู้ชายที่มีอยู่เกือบ 20 คน จัดเวรยามคอยเฝ้าด้านหน้าทางไปยังบ้านพวกเขาและฮูหยินที่อยู่ด้านหลังในคืนนี้ ถึงแม้พวกเขาจะเป็นเพียงบ่าวไพร่ที่ไร้ฝีมือ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เคยอยู่ดีกินดีมาก่อน เรื่องการใช้กำลังพวกเขาจึงไม่คิดว่าจะสู้แพ้ชาวบ้านร่างผอมบางเหล่านั้นง่าย ๆ
หม่าซูที่ไม่รู้เรื่องอันใดเลยว่ามีคนกำลังปองร้ายพวกนาง นางก่อไฟอยู่นานกว่าที่จะได้ทำข้าวฟ่างต้มหม้อเล็ก ๆ และแบ่งให้ลูก ๆ กินประทังความหิว มือที่ไม่เคยทำงานมาก่อนเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ไช่เหมยฮวาเห็นมือท่านแม่ที่เคยสวยงามมีสภาพเช่นนี้ก็ได้แต่กลั้นน้ำตาเอาไว้ ไม่ต่างจากไช่ซิวก็เช่นกัน เขาก้มหน้าก้มตาดื่มน้ำข้าวฟ่างที่ไร้รสชาติเพื่อไม่ให้ท่านแม่กับพี่ใหญ่เห็นว่าน้ำตาของเขากำลังจะไหลด้วยความสงสารทั้งสองคน
“หลังจากนี้พวกเราคงกินข้าวได้เพียงวันละมื้อเท่านั้น แม่จะทำอาหารเที่ยงเอาไว้จะได้ไม่ต้องหิวมากนักระหว่างวัน ดีหรือไม่” หม่าซูยิ้มบางบอกลูก ๆ นางต้องประหยัดเสบียงอันน้อยนิดจนกว่าจะถึงเดือนหน้า
“ได้เจ้าค่ะ ท่านแม่จัดการตามความเหมาะสมเถิด ข้าจะลองขึ้นเขาหาของป่าดูสักหน่อยว่าพอจะมีสิ่งใดกินได้บ้างในวันพรุ่งนี้” ไช่เหมยฮวากล่าวสิ่งที่นางตั้งใจเอาไว้
“ไม่ได้! เจ้าไม่เคยเข้าป่ามาก่อน หากเกิดอันตรายจะทำอย่างไร”
“นั่นสิพี่ใหญ่ ท่านอย่าไปเลยนะขอรับ พวกเราทนหิวได้ พี่ใหญ่เป็นหญิง อย่างไรก็ไม่เหมาะสมที่ท่านจะขึ้นเขาเพียงลำพังนะขอรับ” ไช่ซิวเงยหน้าบอกพี่สาวอย่างเป็นห่วง เขารู้ดีว่าพี่สาวอยากให้พวกเขากินอิ่ม เพียงแต่มันอันตรายมากจริง ๆ
“ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะไปชวนพี่เสี่ยวหลิวกับคนอื่นไปด้วย”
“เฮ้อ หากมีเสี่ยวหลิวไปด้วยแม่ก็วางใจ แต่เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดี เข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ท่านแม่กับน้องอยู่บ้านพักผ่อนให้ดี โชคดีที่ข้าเคยอ่านตำราของท่านพ่อมามาก ทำให้ข้ารู้ว่าพืชชนิดใดสามารถกินได้บ้าง ไม่แน่ว่าพี่ชายคนอื่นอาจล่าสัตว์ได้สักตัวสองตัวก็ได้นะเจ้าคะ” ไช่เหมยฮวากล่าวอย่างคนมองโลกในแง่ดี
ทั้งสามพูดคุยกันต่ออีกสักพัก จากนั้นหม่าซูจึงนำถ้วยชามไปล้างที่ข้างบ่อน้ำด้านหลังบ้าน เพียงแต่พอนางเห็นสภาพน้ำภายในบ่อซึ่งมีอยู่น้อยนิด หม่าซูได้แต่คิดว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรเพื่อให้มีน้ำกินประทังหิว นางไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดชาวบ้านหมู่บ้านนี้จึงอดอยากตายไปจำนวนมาก แม้แต่น้ำจะกินจะใช้ก็ยังไม่มี แล้วพวกเขาจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไร
หม่าซูถอนหายใจออกมาอย่างปลดปลง นางพยายามตักน้ำในบ่อและสลัดดินในบ่อออกไปให้ได้มากที่สุด นางได้แต่คิดว่าบุตรสาวต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนจึงได้น้ำมาทำความสะอาดและตักมาไว้ให้นางทำอาหารก่อนหน้านี้
หลังทำความสะอาดเสร็จ หม่าซูนำหม้อและถ้วยชามไปตากเอาไว้ในห้องครัวเล็กข้างบ้าน นางตักน้ำใส่อ่างเอาไว้ให้ลูก ๆ ล้างหน้าล้างตา ถึงแม้น้ำจะไม่ค่อยสะอาดมากนัก แต่อย่างน้อยนางต้มสักหน่อยก็น่าจะใช้ได้แล้ว
กว่าที่หม่าซูจะเข้าห้องนอน เวลาก็ผ่านไปนานพอสมควร ไช่เหมยฮวาที่เหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวันหลับไปก่อนแล้ว หม่าซูมองบุตรสาวด้วยความสงสารจนน้ำตาไหลอาบแก้มอีกครั้ง นางที่ทำเป็นเพียงสี่ศาสตร์ของสตรีได้แต่นึกเสียใจและละอายใจที่ตนเองช่างไร้ประโยชน์ในสถานการณ์ยากลำบากครานี้
คืนนั้นหม่าซูกว่าจะหลับตาลงได้ก็เกือบรุ่งสาง นางพยายามคิดทบทวนว่าตนยังสามารถทำสิ่งใดเพื่อให้ครอบครัวเล็ก ๆ นี้อยู่รอดปลอดภัยจนกว่าพวกเขาจะเติบใหญ่และดูแลตัวเองได้ จนกระทั่งหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
ไช่เหมยฮวาตื่นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง นางไปที่ห้องครัวแล้วหยิบตะกร้าสะพายหลังซึ่งมีสภาพเก่าคร่ำคร่าออกจากบ้านไปถามหาพี่เสี่ยวหลิวซึ่งเคยเป็นบ่าวที่มารดานางส่งมาคอยรับใช้ตอนอยู่ในจวน ซู่หยงพอรู้ว่าคุณหนูมาตามหาเสี่ยวหลิว เขาก็อาสานำทางไปยังบ้านของครอบครัวเสี่ยวหลิว
“คุณหนูจะขึ้นเขาจริงหรือขอรับ” ซู่หยงถามระหว่างพานางไปบ้านเสี่ยวหลิว
“แน่ใจสิท่านลุงซู่ ข้าเคยอ่านตำรามากมายมาก่อน จึงทำให้พอจะรู้ว่าพืชชนิดใดกินได้บ้างน่ะเจ้าค่ะ ท่านลุงให้พวกพี่ชายขึ้นเขาไปด้วยก็ได้นะเจ้าคะ เราจะได้มีของกินเพิ่มขึ้นสักหน่อยก็ยังดี และบนเขาอาจจะมีสัตว์ป่าให้พวกพี่ชายจับมาเป็นเสบียงได้นะเจ้าคะ พวกเราไปกันหลาย ๆ คนก็น่าจะปลอดภัยด้วย” ไช่เหมยฮวายิ้มตอบ
“ได้ขอรับ ข้าจะไปเรียกคนมาเพิ่มอีกสักสี่ห้าคนให้คุณหนูเอง”
“ท่านลุงเรียกข้าฮวาเอ๋อเหมือนท่านแม่เถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าไม่ใช่คุณหนูแล้ว”
“ขออภัยที่ข้าไม่สามารถทำตามที่คุณหนูขอได้ขอรับ ในใจพวกข้ายังคงเคารพฮูหยินและคุณหนู คุณชายเหมือนเดิมนะขอรับ” ซู่หย่งส่ายหัวอย่างไม่ยอมรับ
บ่าวคนอื่น ๆ พอได้ข่าวว่าคุณหนูจะขึ้นเขาก็รีบหาอุปกรณ์ในบ้านของตนและสะพายตะกร้าออกไปรวมตัวกันที่หน้าบ้านเสี่ยวหลิวด้วย
ไช่เหมยฮวาเมื่อเห็นคนเกือบสิบคนมารวมกันเพื่อขึ้นเขาพร้อมนาง นางก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมาอย่างยินดี ไม่ว่าบนเขาจะมีของกินหรือไม่ นางก็จะพยายามหาพืชผักหรือผลไม้ที่กินได้ให้พวกเขาได้เก็บไปไว้เป็นเสบียงให้ได้
“ขอบคุณท่านพี่ทุกท่านที่ขึ้นเขาเป็นเพื่อนข้าเจ้าค่ะ พวกเราไปกันเถอะจะได้รีบกลับมากินอาหารเที่ยง” ไช่เหมยฮวาชวนทุกคนพร้อมรอยยิ้ม
“ขอรับ/เจ้าค่ะ คุณหนู” บ่าวไพร่ทั้งหมดรีบขานรับและเดินตามหลังนางไปยังภูเขาด้านหลังหมู่บ้าน พวกเขาต่างนำมีดพร้ามาไว้ป้องกันตัวด้วยเพื่อความปลอดภัย
ชาวบ้านคนหนึ่งพอรู้ข่าวว่าคนนอกที่เพิ่งมาใหม่กำลังขึ้นเขาเพื่อหาของกิน เขารีบกลับไปเล่าให้ชาวบ้านคนอื่นฟังอย่างออกรส พวกเขาอยู่ที่หมู่บ้านมาหลายปี มีหรือจะไม่รู้ว่าบนเขานั้นไม่มีสิ่งใดพอที่จะกินได้แล้ว พวกเขาจึงไม่คิดจะเหนื่อยแรงขึ้นเขาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน
เสียงนินทาและเสียงหัวเราะเย้ยหยันของชาวบ้านที่ดังออกมาทำให้ผู้ใหญ่บ้านซึ่งกำลังจะเดินทางเข้าเมืองพร้อมครอบครัวได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา วันนี้เขาจะเข้าไปรายงานให้ท่านเจ้าเมืองทราบว่าหมู่บ้านของเขาไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว เขากลัวว่าชาวบ้านจะก่อเรื่องจึงต้องรีบไปขอความช่วยเหลือ
ไช่เหมยฮวาพากลุ่มคนของตนเองเดินขึ้นเขาพร้อมกับสำรวจรอบด้านอย่างระมัดระวัง บนภูเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีเพียงกิ่งก้านแห้งกรอบจำนวนมากยืนต้นตายอยู่ นางได้แต่ทอดถอนใจกับความแห้งแล้งที่เห็นตรงหน้าและนึกในใจว่าวันนี้นางจะได้สิ่งใดกลับไปบ้างหรือไม่
สองเดือนต่อมาหลังจากหม่าซูใช้เวลาปรึกษาเรื่องลูกสะใภ้กับบุตรสาวและตระกูลอิงนานกว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ในที่สุดนางก็เลือกบุตรีแม่ทัพรักษาเมืองที่เก่งการต่อสู้และยังชอบบุตรชายนางตั้งแต่คราแรกที่ได้พบกัน ถึงแม้นางจะดูซุกซนไปสักหน่อย แต่ความจริงใจและใสซื่อของนางหาได้ยากในหมู่บุตรีขุนนางไช่ซิวหลังจากถูกนางก่อกวนอยู่นานนับเดือน ในที่สุดเขาก็ยอมตกลงแต่งงานกับหลูเซี่ยวเอ๋อจนได้ นั่นเพราะไช่ซิวเพิ่งเคยพบคุณหนูใสซื่อเช่นนี้ครั้งแรกเช่นเดียวกัน อีกทั้งความจริงใจของนางที่มีต่อตนเองซึ่งเขารับรู้ได้ ทำให้เขาไว้ใจที่จะแต่งงานกับนางอย่างไม่รังเกียจงานมงคลสมรสของไช่ซิวนับเป็นงานแรกหลังจากเกิดการกบฏ ทำให้ขุนนางมากมายต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ฮ่องเต้ยังประทานของขวัญแต่งงานให้แก่กั๋วกงหนุ่มของราชสำนักจำนวนมาก ทำเอาขุนนางหลายครอบครัวต่างอิจฉาความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมอบให้ไช่ซิวไม่น้อยไท่จื่อและไท่จื่อเฟยยังเสด็จมางานนี้ด้วยพระองค์เอง นับว่างานแต่ง
ระหว่างที่การต่อสู้ด้านในกำลังดุเดือดเลือดพล่าน แม่ทัพหลัวก็พาทหารฝีมือดีเข้ามาถึงลานจัดงานเลี้ยงและลงมือฆ่าแม่ทัพซัวเถากับพวกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา คนของจูเค่ออี้หมิงเริ่มล้มตายราวใบไม้ร่วง ด้วยความสามารถอันสูงส่งของกองกำลังแม่ทัพหลัว ทำให้พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็สังหารกบฏทั้งหมดในลานจัดเลี้ยงสำเร็จ ส่วนจูเค่ออี้หมิงถึงแม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ยังมีลมหายใจอยู่“กราบทูลฝ่าบาท กบฏทั้งหมดถูกสังหารสิ้นแล้วพะย่ะค่ะ” แม่ทัพหลัวคุกเข่ารายงานเสียงดังหลังจากจัดการศัตรูจนไม่สามารถต่อสู้ได้อีก“ขอบใจเจ้ามากแม่ทัพหลัว ความดีความชอบของเจ้ากับกองทัพตะวันออกในครานี้ ข้าจะมอบเสบียงและเงินเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พวกเจ้าทำหน้าที่ปกป้องชายแดนต่อไป สำหรับกบฏที่ยังไม่ตาย ให้จับกุมเข้าคุกหลวงรอวันประหาร ตระกูลจูเค่อซึ่งเป็นผู้นำในการก่อกบฏ ลงโทษประหารเก้าชั่วโคตร ริบทรัพย์ทั้งหมดเข้าคลังหลวง” ฮ่องเต้ตรัสหลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ สงบลง“ฝ่าบาทโปรดพิจารณา กระหม่อมไม่ทราบเรื่อ
“ฮ่า ฮ่า ไม่คิดว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเซียงจะโง่เขลาถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าแคว้นอู่ของเราพาคนมาน้อยหรืออย่างไร กองทัพเล็ก ๆ ของเจ้ามีหรือจะต้านทานคนของพวกเราได้”แม่ทัพซัวเถาชักดาบที่ซ่อนไว้ออกมาทันที รองแม่ทัพอีกสองคนก็เดินตามหลังเขาไปยังหน้าพระที่นั่งของเซียงเหวินเช่นกัน“ฮึ! เราก็นึกว่าใครที่กล้าพูดจาไร้มารยาท ที่แท้ก็แม่ทัพแคว้นอู่ ซัวเถานี่เอง” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรศัตรูทั้งสามอย่างเหยียดหยาม“คุ้มกันฝ่าบาท!!!” ทหารองครักษ์รีบลุกมายืนบังด้านหน้าพระแท่นของฮ่องเต้“ไร้ประโยชน์! คนของข้ากำลังจะเข้ามาที่นี่แล้ว พวกเจ้าหากไม่อยากตายก็รีบหลบไปเสียแต่โดยดี” แม่ทัพซัวเถาเอ่ยอย่างถือดี ด้วยฝีมือของพวกเขาแล้ว องครักษ์หลวงเหล่านี้แทบจะไม่ใช่คู่มือของพวกเขาเลย“หุบปาก! เป็นเพียงแม่ทัพเฒ่าผู้หนึ่ง กลับกล้ามาโอหังถึงแคว้นต้าเซียง” รัชทายาทตรัสอย่างไม่พอพระทัย พระองค์ทอดพระเนตรท่าทางของ
“ท่านมหาเสนาบดีกล่าวผิดแล้ว ข้าแซ่ฟู่ นามหยาง ไม่ใช่คนตระกูลจูเค่อของท่าน”“เจ้าลูกสารเลว!! เจ้ากลับลืมว่าเติบโตมาจากจวนมหาเสนาบดีของข้า” จูเค่อหรงเจี้ยนโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมาเมื่อได้ยิน“ขออภัย ตั้งแต่ข้าแต่งเข้าตระกูลฟู่ พ่อของข้าในตอนนี้คือนายท่านฟู่โจวคนเดียว”ก่อนที่จูเค่อหรงเจี้ยนจะเข้าไปทำร้ายร่างกายฟู่หยาง หัวหน้าของเขาก็ก้าวเข้ามาดักทางเอาไว้เสียก่อน“หลีกไป! ข้าจะสั่งสอนลูกของข้า!!” มหาเสนาบดีตวาดว่า“เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำร้ายลูกน้องข้า เขาก็บอกแล้วว่าแซ่ฟู่ นามหยาง เจ้ายังคิดอ้างสิทธิ์ความเป็นพ่อได้อย่างไรกัน ช่างหน้าไม่อายนัก”จูเค่อหรงเจี้ยนถูกความจริงทำให้โมโหหนักขึ้นไปอีก ขุนนางหลายคนรีบเข้ามาห้ามมหาเสนาบดี อย่างไรพวกเขาก็ยังอยากเข้าร่วมงานเลี้ยงหลังพิธีแต่งตั้งอยู่จึงไม่อยากทะเลาะกับทหารองครักษ์เหล่านี้
ห้าวันต่อมาจูเค่ออี้หมิงเข้าเมืองหลวงพร้อมทหารแคว้นอู่จำนวนหนึ่ง ส่วนทหารที่เหลืออีกเกือบหนึ่งหมื่นคนซึ่งปลอมตัวเป็นผู้ลี้ภัยถูกกักเอาไว้ภายนอกเมืองหลวงตามรับสั่งของฮ่องเต้ พระองค์ออกราชโองการให้ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ภายนอกเท่านั้น เพราะเมืองหลวงไม่สามารถรองรับผู้ลี้ภัยสงครามจำนวนมากได้เขากลับไปถึงจวนก็ถูกผู้เป็นพ่อเรียกพบด่วน จูเค่ออี้หมิงสั่งให้เตียหย่งพาแม่ทัพซัวเถากับรองแม่ทัพหลายคนไปพักผ่อนที่เรือนรับรองก่อน ส่วนตัวเขาเองก็ไปยังห้องหนังสือที่จูเค่อหรงเจี้ยนนั่งรออยู่“เจ้ารู้ข่าวที่องค์ชายรองกำลังจะเข้ารับตำแหน่งรัชทายาทในอีกสองวันข้างหน้าหรือยังอี้หมิง” จูเค่อหรงเจี้ยนไม่รอให้ลูกชายนั่งดี ๆ แต่กลับรีบถามขึ้นมา“ลูกทราบแล้วขอรับ ท่านพ่อมีสิ่งใดจะสั่งหรือไม่” จูเค่ออี้หมิงไม่คิดจะบอกแผนการของตนเอง เพราะพ่อของเขาจะต้องไม่ยอมให้เขาดำเนินการตามแผนแน่“ข้าวางคนเอาไว้ในงานพิธีแล้ว ร
สองสัปดาห์ต่อมาฮ่องเต้ตรวจสอบหลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับมหาเสนาบดีและบุตรชาย พระองค์มีรับสั่งให้องค์ชายรองกับไป๋จิ่นหลินเข้าเฝ้าทันที หลังทำความเคารพฮ่องเต้แล้ว ทั้งสองก็นั่งลงที่เก้าอี้ตามรับสั่งของฝ่าบาท“หลักฐานเหล่านี้เราเกรงว่าจะยังไม่เพียงพอ มหาเสนาบดีจะต้องอ้างว่ามีผู้ปลอมแปลงหลักฐานเพื่อใส่ร้ายเขาแน่ อีกทั้งขุนนางเกินครึ่งในราชสำนักยังเข้าข้างเขา”“เช่นนั้นเราก็ไม่สามารถโค่นตระกูลจูเค่อได้หรือพะย่ะค่ะ” องค์ชายรองขมวดคิ้วมุ่น“ลูกใจเย็นก่อน พ่อคิดว่ามหาเสนาบดีจะต้องเผยตัวออกมาเองแน่หากพ่อมีราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาท แต่เจ้าต้องสั่งองครักษ์ให้ดูแลอิงฮวาให้ดีนะ”“แผนการของฝ่าบาทเป็นไปได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะส่งคนไปคอยดูแลตำหนักองค์ชายรองอย่างลับ ๆ เพิ่มเอง” ไป๋จิ่นหลินเห็นด้วยกับความคิดของฮ่องเต้“ขอบใจเจ้ามากนะจิ่นหลิน