สามวันต่อมา
วันนี้มีรถม้าคันหนึ่งมาที่บ้านตระกูลไช่ในหมู่บ้าน ภายในเป็นอิงเต๋อและฮูหยินของเขาอย่างหม่านเซียงเดินทางมาด้วย พวกเขาพอได้รับจดหมายจากไช่เหมยฮวาเมื่อสามวันก่อนต่างดีใจมาก ยิ่งรู้ว่าพวกนางยังอยู่ดีมีสุข พวกเขาก็อยากรีบรับนางกลับจวนและทำตามแผนการในจดหมายที่ไช่เหมยฮวาบอกเอาไว้ ไม่ว่าวันหน้าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับตระกูลของพวกเขา ทั้งสองที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อไช่ไท่ฟู่อย่างลับ ๆ มาตลอดตั้งแต่อยู่ในราชสำนักก็คิดจะช่วยไช่เหมยฮวาอย่างเต็มกำลัง
“คารวะท่านอาอิงทั้งสองเจ้าค่ะ/ขอรับ” ไช่เหมยฮวาและไช่ซิวค้อมกายคำนับ
“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี ไม่เจอกันไม่กี่ปี พวกเจ้าต่างเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว” อิงเต๋อตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“น้องอิงเต๋อกับน้องหม่านเซียงรีบนั่งลงก่อนเถอะ” หม่าซูเรียกทั้งสองให้นั่งคุยกันก่อนที่พวกเขาจะรับบุตรสาวของนางเข้าไปในเมืองหลวง
“ขอรับ/เจ้าค่ะ พี่หญิงหม่า” ทั้งสองนั่งลงที่เก้าอี้ว่างตามคำเชิญ
พวกเขาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่นานเกือบสองชั่วยาม กว่าที่อิงเต๋อจะเอ่ยเรื่องสำคัญขึ้นมาให้ทุกคนฟัง
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อำนาจของมหาเสนาบดีจูเค่อหยั่งรากลึกในราชสำนักและยังมีขุนนางเกินกว่าครึ่งที่สนับสนุนเขา ข้าเกรงว่าคงไม่ง่ายถ้าเราต้องการสืบเรื่องเมื่อสิบปีก่อน เจ้าคิดจะทำอย่างไรฮวาเอ๋อ”
“ท่านอาอย่าได้กังวลเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงข้าได้เข้าร่วมงานเลี้ยงบ่อย ๆ ในฐานะบุตรสาวบุญธรรมของท่านอา ข้าคิดว่าคงมีคนพลั้งเผลอกล่าวถึงเรื่องเก่าก่อนออกมาสักวันหนึ่งเป็นแน่ อย่างไรเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่ ข้าคิดว่าคงไม่มีใครลืมได้ง่าย ๆ แม้จะผ่านกาลเวลามาหลายสิบปี” ไช่เหมยฮวากล่าวอย่างมั่นใจ
“อาเองก็ส่งคนไปหาเบาะแสมาตลอด เพียงแต่ไม่มีขุนนางคนใดกล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้สักคน พวกเขาล้วนเกรงกลัวอำนาจของมหาเสนาบดีจูเค่อ บุตรชายของเขาอย่างจู่เค่ออี้หมิงยังเป็นถึงขุนนางขั้นสามในวัยเพียง 25 ปีเท่านั้น นับว่าพวกเขาพ่อลูกต่างกุมอำนาจในราชสำนักมาอย่างมั่นคงเลยทีเดียว อายังได้ข่าวอีกว่าพวกเขาสองพ่อลูกต่างอยู่ข้างองค์ชายใหญ่เซียงหุยอย่างออกหน้าออกตาและคิดจะผลักดันให้พระองค์ขึ้นเป็นไท่จื่อในอนาคต เพียงแต่องค์ชายรองเซียงเซียวเป็นบุตรชายคนเดียวของฮองเฮา เรื่องที่พวกเขาคิดจะทำจึงไม่ง่ายดายนัก ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันในที่ลับและที่แจ้งมาตลอดหลายปี แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่อาจหยุดยั้งการต่อสู้ของพวกเขาได้เลย”
“แล้วท่านอาอยู่ฝ่ายไหนหรือเจ้าคะ?” ไช่เหมยฮวาถามอย่างสงสัย
“อาไม่ได้อยู่ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ มีขุนนางไม่กี่คนที่เป็นอย่างอา ไม่ว่าจะเลือกฝ่ายไหนต่างก็ต้องเกิดความสูญเสียไม่ต่างกัน อาเลยเลือกที่จะเป็นกลางมาตลอด ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีใครมากดดันอาที่เป็นเพียงขุนนางฝ่ายอาลักษณ์ที่ไม่สำคัญ ทำให้อากับอาหญิงเจ้าอยู่รอดมาได้จนกระทั่งเจ้ากลับมา” อิงเต๋อยิ้มบางตอบ
“เหตุใดมหาเสนาบดีจูเค่อจึงได้สนับสนุนองค์ชายใหญ่ที่เป็นเพียงบุตรพระสนมเล่าเจ้าคะ น่าแปลกยิ่งนัก”
“ฮึ! เรื่องนี้เป็นแผนการขององค์ชายใหญ่เมื่อห้าปีก่อนน่ะสิ พระองค์สร้างเรื่องจนทำให้บุตรอนุซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของมหาเสนาบดีเสียชื่อเสียง ด้วยกลัวเสียหน้า จู่เค่อหรงเจี้ยนจึงขอพระราชทานสมรสให้บุตรสาวตนเป็นพระชายาเอกและยังให้นางใช้ชื่อภายใต้การเป็นบุตรีของฮูหยินใหญ่จูเค่อด้วย”
“ไม่คิดเลยว่าองค์ชายใหญ่จะกล้าทำเพื่ออำนาจถึงเพียงนี้” ไช่เหมยฮวาส่ายหน้าอย่างคิดไม่ถึงว่าคนเป็นหนึ่งในราชวงศ์จะใช้แผนการร้ายกาจเพื่อทำลายสตรีผู้หนึ่ง
“ยังดีที่องค์ชายรองยังไม่เลือกพระชายา อาได้ข่าวว่าบุตรสาวคนรองของจูเค่อหรงเจี้ยนแอบชอบองค์ชายรองมาหลายปี เพียงแต่สายตาขององค์ชายรองไม่คิดจะแลนางเลยแม้แต่น้อย หลายครั้งในงานเลี้ยง พระองค์ยังทำให้นางเสียหน้าด้วยนะ”
“ถ้าข้าจำไม่ผิด องค์ชายรองเคยเป็นลูกศิษย์ของท่านพ่อเมื่อครั้งยังเยาว์หรือเปล่าเจ้าคะท่านอา” ไช่เหมยฮวาจำไม่ได้แล้วว่าเขาหน้าตาอย่างไร
“ใช่ องค์ชายรองในปีนั้นยังขอฝ่าบาทเก็บรักษาตำราทั้งหมดในจวนไช่ไท่ฟู่เอาไว้มาตลอดด้วยนะ มีเพียงพระองค์ที่ไม่เชื่อหลักฐานเหล่านั้น น่าเสียดายที่ตอนนั้นองค์ชายรองเองก็ยังเยาว์นัก”
“ยังดีที่ข้าในตอนนี้หน้าตาเปลี่ยนไปมาก พวกเขาคงจำข้าไม่ได้หากเข้าร่วมงานเลี้ยงกับพวกท่านอาในภายภาคหน้า”
“เจ้าอย่ากังวลไปเลยฮวาเอ๋อ เรื่องชื่อใหม่ของเจ้า อากับอาหญิงไปขึ้นทะเบียนบุตรบุญธรรมเมื่อวันก่อนให้แล้ว หลังจากนี้เจ้าจะชื่อว่าอิงฮวา บุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลอิงของอา” อิงเต๋อบอกอีกเรื่องที่เขาจัดการให้นาง
“ขอบคุณพวกท่านมากเจ้าค่ะที่ช่วยเหลือข้า” ไช่เหมยฮวายิ้มกว้างตอบ
“ฮวาเอ๋อ เจ้ายังไม่เรียกท่านพ่อ ท่านแม่อีกหรือ” หม่านเซียงกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง
“จริงอย่างที่อาหญิงของเจ้าว่า ฮวาเอ๋อเรียกท่านพ่อ ท่านแม่เถิด” หม่าซูเอ่ยขึ้น
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านพ่อ ท่านแม่ที่เมตตาข้า” ไช่เหมยฮวาย่อกายคำนับทั้งสอง
“พี่ใหญ่ต้องระวังตัวด้วยนะขอรับ อาวุธลับที่ข้าประดิษฐ์ให้ ท่านอย่าลืมนำมันไปด้วยนะขอรับ” ไช่ซิวกำชับพี่สาวถึงสิ่งของหลายอย่างที่เขาเคยทำออกมา
“พี่เก็บใส่ห่อผ้าหมดแล้ว เจ้าอย่าได้กังวลนักเลย”
“ตอนนี้ก็เลยเวลาเที่ยงวันมานานแล้ว เรากินข้าวกันก่อนค่อยส่งฮวาเอ๋อออกเดินทางก็แล้วกันนะ พวกเจ้ารอสักครู่ ข้าไปยกอาหารมาก่อน” หม่าซูลุกขึ้นบอกทุกคน
“ข้าไปช่วยพี่หญิงนะเจ้าคะ” หม่านเซียงลุกขึ้นเดินตามไป
ทั้งห้าคนร่วมทานมื้อเที่ยงเสร็จ ไช่เหมยฮวาก็เข้าห้องไปนำห่อผ้าออกมาและติดตามท่านอาทั้งสองขึ้นรถม้าจากไปในเวลาต่อมา
หม่าซูและไช่ซิวมองส่งจนรถม้าจากไปไกลแล้วจึงพากันเดินกลับเข้าบ้านอย่างเหงาหงอย เมื่อไม่มีบุตรสาวอยู่ บ้านหลังนี้ดูเงียบลงไปมากจริง ๆ ไช่ซิวที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เงียบขรึมมาตลอด เขาพูดไม่เก่งจึงไม่รู้จะปลอบใจท่านแม่อย่างไร
หม่านเซียงสั่งคนขับรถม้าให้แวะร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับก่อนกลับจวนเพราะนางต้องการประกาศให้ทุกคนรู้ว่านางมีลูกสาวที่เพิ่งรับกลับมาจากบ้านเดิมแล้ว หม่านเซียงรู้ดีว่าหลังจากนี้พวกนางแม่ลูกจะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อสืบเรื่องราวแต่หนหลัง
อิงเต๋อไม่ได้ขัดใจภรรยา เขาเห็นเสื้อผ้าของไช่เหมยฮวาแต่แรกก็นึกอยากให้นางแต่งกายอย่างเหมาะสมกับการเป็นบุตรีขุนนางขั้นสี่กรมอาลักษณ์อย่างเขา
กว่าครอบครัวอิงจะเดินทางกลับถึงจวนก็เป็นเวลาก่อนมื้อเย็นพอดี บ่าวไพร่ในเรือนรู้กันมาสักพักแล้วว่านายท่านกับฮูหยินวันนี้จะไปรับบุตรสาวที่ฝากเลี้ยงเอาไว้ยังบ้านเดิม พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอดูว่าคุณหนูของพวกเขาจะหน้าตาเป็นอย่างไรมาสองวันแล้ว
อิงเต๋อ หม่านเซียงและอิงฮวาลงจากรถม้าพร้อมรอยยิ้มบาง พ่อบ้านใหญ่ที่เห็นคุณหนูหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมบาง กิริยามารยาทไม่ต่างจากคุณหนูสูงศักดิ์ก็ยิ้มกว้างพร้อมกล่าวต้อนรับเสียงดัง
สองเดือนต่อมาหลังจากหม่าซูใช้เวลาปรึกษาเรื่องลูกสะใภ้กับบุตรสาวและตระกูลอิงนานกว่าหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ในที่สุดนางก็เลือกบุตรีแม่ทัพรักษาเมืองที่เก่งการต่อสู้และยังชอบบุตรชายนางตั้งแต่คราแรกที่ได้พบกัน ถึงแม้นางจะดูซุกซนไปสักหน่อย แต่ความจริงใจและใสซื่อของนางหาได้ยากในหมู่บุตรีขุนนางไช่ซิวหลังจากถูกนางก่อกวนอยู่นานนับเดือน ในที่สุดเขาก็ยอมตกลงแต่งงานกับหลูเซี่ยวเอ๋อจนได้ นั่นเพราะไช่ซิวเพิ่งเคยพบคุณหนูใสซื่อเช่นนี้ครั้งแรกเช่นเดียวกัน อีกทั้งความจริงใจของนางที่มีต่อตนเองซึ่งเขารับรู้ได้ ทำให้เขาไว้ใจที่จะแต่งงานกับนางอย่างไม่รังเกียจงานมงคลสมรสของไช่ซิวนับเป็นงานแรกหลังจากเกิดการกบฏ ทำให้ขุนนางมากมายต่างพากันเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ฮ่องเต้ยังประทานของขวัญแต่งงานให้แก่กั๋วกงหนุ่มของราชสำนักจำนวนมาก ทำเอาขุนนางหลายครอบครัวต่างอิจฉาความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมอบให้ไช่ซิวไม่น้อยไท่จื่อและไท่จื่อเฟยยังเสด็จมางานนี้ด้วยพระองค์เอง นับว่างานแต่ง
ระหว่างที่การต่อสู้ด้านในกำลังดุเดือดเลือดพล่าน แม่ทัพหลัวก็พาทหารฝีมือดีเข้ามาถึงลานจัดงานเลี้ยงและลงมือฆ่าแม่ทัพซัวเถากับพวกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา คนของจูเค่ออี้หมิงเริ่มล้มตายราวใบไม้ร่วง ด้วยความสามารถอันสูงส่งของกองกำลังแม่ทัพหลัว ทำให้พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็สังหารกบฏทั้งหมดในลานจัดเลี้ยงสำเร็จ ส่วนจูเค่ออี้หมิงถึงแม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ยังมีลมหายใจอยู่“กราบทูลฝ่าบาท กบฏทั้งหมดถูกสังหารสิ้นแล้วพะย่ะค่ะ” แม่ทัพหลัวคุกเข่ารายงานเสียงดังหลังจากจัดการศัตรูจนไม่สามารถต่อสู้ได้อีก“ขอบใจเจ้ามากแม่ทัพหลัว ความดีความชอบของเจ้ากับกองทัพตะวันออกในครานี้ ข้าจะมอบเสบียงและเงินเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พวกเจ้าทำหน้าที่ปกป้องชายแดนต่อไป สำหรับกบฏที่ยังไม่ตาย ให้จับกุมเข้าคุกหลวงรอวันประหาร ตระกูลจูเค่อซึ่งเป็นผู้นำในการก่อกบฏ ลงโทษประหารเก้าชั่วโคตร ริบทรัพย์ทั้งหมดเข้าคลังหลวง” ฮ่องเต้ตรัสหลังจากเหตุการณ์ต่าง ๆ สงบลง“ฝ่าบาทโปรดพิจารณา กระหม่อมไม่ทราบเรื่อ
“ฮ่า ฮ่า ไม่คิดว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเซียงจะโง่เขลาถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าแคว้นอู่ของเราพาคนมาน้อยหรืออย่างไร กองทัพเล็ก ๆ ของเจ้ามีหรือจะต้านทานคนของพวกเราได้”แม่ทัพซัวเถาชักดาบที่ซ่อนไว้ออกมาทันที รองแม่ทัพอีกสองคนก็เดินตามหลังเขาไปยังหน้าพระที่นั่งของเซียงเหวินเช่นกัน“ฮึ! เราก็นึกว่าใครที่กล้าพูดจาไร้มารยาท ที่แท้ก็แม่ทัพแคว้นอู่ ซัวเถานี่เอง” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรศัตรูทั้งสามอย่างเหยียดหยาม“คุ้มกันฝ่าบาท!!!” ทหารองครักษ์รีบลุกมายืนบังด้านหน้าพระแท่นของฮ่องเต้“ไร้ประโยชน์! คนของข้ากำลังจะเข้ามาที่นี่แล้ว พวกเจ้าหากไม่อยากตายก็รีบหลบไปเสียแต่โดยดี” แม่ทัพซัวเถาเอ่ยอย่างถือดี ด้วยฝีมือของพวกเขาแล้ว องครักษ์หลวงเหล่านี้แทบจะไม่ใช่คู่มือของพวกเขาเลย“หุบปาก! เป็นเพียงแม่ทัพเฒ่าผู้หนึ่ง กลับกล้ามาโอหังถึงแคว้นต้าเซียง” รัชทายาทตรัสอย่างไม่พอพระทัย พระองค์ทอดพระเนตรท่าทางของ
“ท่านมหาเสนาบดีกล่าวผิดแล้ว ข้าแซ่ฟู่ นามหยาง ไม่ใช่คนตระกูลจูเค่อของท่าน”“เจ้าลูกสารเลว!! เจ้ากลับลืมว่าเติบโตมาจากจวนมหาเสนาบดีของข้า” จูเค่อหรงเจี้ยนโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมาเมื่อได้ยิน“ขออภัย ตั้งแต่ข้าแต่งเข้าตระกูลฟู่ พ่อของข้าในตอนนี้คือนายท่านฟู่โจวคนเดียว”ก่อนที่จูเค่อหรงเจี้ยนจะเข้าไปทำร้ายร่างกายฟู่หยาง หัวหน้าของเขาก็ก้าวเข้ามาดักทางเอาไว้เสียก่อน“หลีกไป! ข้าจะสั่งสอนลูกของข้า!!” มหาเสนาบดีตวาดว่า“เจ้าไม่มีสิทธิ์ทำร้ายลูกน้องข้า เขาก็บอกแล้วว่าแซ่ฟู่ นามหยาง เจ้ายังคิดอ้างสิทธิ์ความเป็นพ่อได้อย่างไรกัน ช่างหน้าไม่อายนัก”จูเค่อหรงเจี้ยนถูกความจริงทำให้โมโหหนักขึ้นไปอีก ขุนนางหลายคนรีบเข้ามาห้ามมหาเสนาบดี อย่างไรพวกเขาก็ยังอยากเข้าร่วมงานเลี้ยงหลังพิธีแต่งตั้งอยู่จึงไม่อยากทะเลาะกับทหารองครักษ์เหล่านี้
ห้าวันต่อมาจูเค่ออี้หมิงเข้าเมืองหลวงพร้อมทหารแคว้นอู่จำนวนหนึ่ง ส่วนทหารที่เหลืออีกเกือบหนึ่งหมื่นคนซึ่งปลอมตัวเป็นผู้ลี้ภัยถูกกักเอาไว้ภายนอกเมืองหลวงตามรับสั่งของฮ่องเต้ พระองค์ออกราชโองการให้ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่ภายนอกเท่านั้น เพราะเมืองหลวงไม่สามารถรองรับผู้ลี้ภัยสงครามจำนวนมากได้เขากลับไปถึงจวนก็ถูกผู้เป็นพ่อเรียกพบด่วน จูเค่ออี้หมิงสั่งให้เตียหย่งพาแม่ทัพซัวเถากับรองแม่ทัพหลายคนไปพักผ่อนที่เรือนรับรองก่อน ส่วนตัวเขาเองก็ไปยังห้องหนังสือที่จูเค่อหรงเจี้ยนนั่งรออยู่“เจ้ารู้ข่าวที่องค์ชายรองกำลังจะเข้ารับตำแหน่งรัชทายาทในอีกสองวันข้างหน้าหรือยังอี้หมิง” จูเค่อหรงเจี้ยนไม่รอให้ลูกชายนั่งดี ๆ แต่กลับรีบถามขึ้นมา“ลูกทราบแล้วขอรับ ท่านพ่อมีสิ่งใดจะสั่งหรือไม่” จูเค่ออี้หมิงไม่คิดจะบอกแผนการของตนเอง เพราะพ่อของเขาจะต้องไม่ยอมให้เขาดำเนินการตามแผนแน่“ข้าวางคนเอาไว้ในงานพิธีแล้ว ร
สองสัปดาห์ต่อมาฮ่องเต้ตรวจสอบหลักฐานทุกอย่างเกี่ยวกับมหาเสนาบดีและบุตรชาย พระองค์มีรับสั่งให้องค์ชายรองกับไป๋จิ่นหลินเข้าเฝ้าทันที หลังทำความเคารพฮ่องเต้แล้ว ทั้งสองก็นั่งลงที่เก้าอี้ตามรับสั่งของฝ่าบาท“หลักฐานเหล่านี้เราเกรงว่าจะยังไม่เพียงพอ มหาเสนาบดีจะต้องอ้างว่ามีผู้ปลอมแปลงหลักฐานเพื่อใส่ร้ายเขาแน่ อีกทั้งขุนนางเกินครึ่งในราชสำนักยังเข้าข้างเขา”“เช่นนั้นเราก็ไม่สามารถโค่นตระกูลจูเค่อได้หรือพะย่ะค่ะ” องค์ชายรองขมวดคิ้วมุ่น“ลูกใจเย็นก่อน พ่อคิดว่ามหาเสนาบดีจะต้องเผยตัวออกมาเองแน่หากพ่อมีราชโองการแต่งตั้งเจ้าเป็นรัชทายาท แต่เจ้าต้องสั่งองครักษ์ให้ดูแลอิงฮวาให้ดีนะ”“แผนการของฝ่าบาทเป็นไปได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะส่งคนไปคอยดูแลตำหนักองค์ชายรองอย่างลับ ๆ เพิ่มเอง” ไป๋จิ่นหลินเห็นด้วยกับความคิดของฮ่องเต้“ขอบใจเจ้ามากนะจิ่นหลิน