เซียวจั๋วไม่ได้หมายปองฮองเฮาจริง ๆ เพียงแค่อยากเอาคืนที่เซียวอวี้เร่งให้แต่งงานเท่านั้นยิ่งเซียวอวี้โกรธมากเท่าไร เขายิ่งสะใจมากเท่านั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็ดูออก เซียวจั๋วผู้นี้ไม่ต่างอะไรกับรุ่ยอ๋อง เป็นพวกเสือหน้ายิ้มเหมือน ๆ กันคนนิสัยตรงไปตรงมาอย่างเซียวอวี้ ไม่มีทางเอาชนะได้“ฝ่าบาทแค่เป็นห่วงเจ้า คุณชายเซียวไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ส่วนเรื่องชิงบัลลังก์ ล้วนเป็นการกุเรื่องขึ้นมาโดยไร้มูลความจริง ถึงจะแค่ล้อเล่น ก็ไม่ควรนำเรื่องนี้มาพูด” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยเตือนอีกฝ่ายอย่างปกป้องสามีล้อเล่นก็ส่วนล้อเล่น เรื่องสำคัญไม่ควรมองข้ามเพลิงโกรธของเซียวอวี้พลันได้รับการปลดปล่อย กอบกุมมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้เซียวจั๋วประสานมือคารวะ“กระหม่อมกล่าววาจาล่วงเกินแล้ว”เซียวอวี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ใช่แค่เรื่องบัลลังก์ เจ้าต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ว่าคนที่อดีตฮ่องเต้เลือกไว้ให้เจ้าคือเฟิ่งเวยเฉียง มาบอกว่าเราแย่งภรรยาของเจ้าได้อย่างไรกัน?”เซียวจั๋วพูดด้วยรอยยิ้มประดับหน้า “ฝ่าบาททรงพูดถูก”……อีกด้านณ เมืองหลวงจากการค้นหาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ในที่สุดเหล่าทหารก็ตามหาเจี
เซียวอวี้อาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนใส่เสื้อคลุมตัวใหม่สะอาดเอี่ยมกลับมาดูลูกทั้งสองคนอีกครั้ง ก็เห็นสาวใช้กำลังป้อนอาหารพวกเขาเขานั่งลงข้างกายเฟิ่งจิ่วเหยียน ถามเสียงเบา“คนเล็กร้องไห้ตลอด ดูอ่อนแอเกินไปหรือไม่?”มุมปากของเฟิ่งจิ่วเหยียนยกขึ้น“ได้ยินไทเฮาบอกว่า ตอนท่านยังเด็กก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันนะ”สายตาของเซียวอวี้นิ่งค้างเล็กน้อย “ใช่ที่ไหนเล่า ลูกคนโตต่างหากที่เหมือนเรา”เฟิ่งจิ่วเหยียนยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา ดื่มชาเสร็จ ก็เอ่ยอย่างช้า ๆ“ไทเฮาบอกว่า คนเล็กเหมือนท่าน”เซียวอวี้ไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด เขาคิดตลอดว่า ตอนที่ตนยังเด็กไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอนอย่างน้อยก็ไม่เป็น “น้ำไหลเชี่ยวกราก” ไปทุกที่ข้างนอกเสียงฟ้าคำรามดังกระหึ่ม เนื่องจากมีเสด็จพ่อกับเสด็จแม่อยู่ข้างกาย เด็กทั้งสองคนจึงไม่แสดงอาการหวาดกลัวออกมาทว่า ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะได้รับพรจากสวรรค์เช่นนี้ในอุทกภัยครั้งนี้ มีเด็กหลายคนพลัดหลงกับพ่อแม่โชคดี ที่เซียวอวี้เตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้า ให้ที่ว่าการเตรียมการช่วยเหลือตั้งแต่แรกเริ่มสองวันต่อมา ตงฟางซื่อก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงทันทีที่เขามาถึงก็จัดวาง “ใยแ
เหลียนซวงเป็นห่วงเซียวจั๋ว จึงขอเข้าเฝ้ามาในวังยามรู้ว่าฝ่าบาทส่งคนไปช่วยแล้ว ถึงได้เบาใจลงบ้างการที่ฝนตกหนักในครั้งนี้ ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงถูกน้ำฝนโอบล้อม ท้องฟ้ามืดครึ้ม ชวนให้รู้สึกไร้ชีวิตชีวาราวกับว่าโลกใบนี้กำลังจะสิ้นสุดลงนางยืนถือร่มอย่างไหวเอนท่ามกลางพายุฝน พลอยทำให้นางทรงตัวไม่อยู่คนที่มีสีหน้ากลุ้มใจไม่ต่างจากนาง ยังมีผู้ติดตามนามเจียงหลินเหลียนซวงรู้จักคุณชายเจียงผู้นั้น ได้ยินมาว่าเป็นสหายคนสนิทของฮองเฮานางถามไถ่อย่างหวังดีผู้ติดตามมีสีหน้าอมทุกข์ ราวกับเจอคนที่สามารถระบายความรู้สึกได้ในที่สุด พูดทุกอย่างในหัวออกมาหมดเปลือก“คุณชายของข้า ได้ยินว่าฮองเฮาทรงประสูติลูกแฝด จึงตั้งใจจะมาส่งของขวัญแสดงความยินดีที่เมืองหลวง ไม่คิดเลยว่าจะโชคร้ายถึงเพียงนี้ มาถึงก็ประสบภัยน้ำท่วม “คุณชายลื่น จนตกลงไปในน้ำ“ข้าอยากช่วย ทว่าพริบตาเดียวก็ไม่เห็นคุณชายแล้ว…ข้าจึงทำได้เพียงมาขอความช่วยเหลือ”เหลียนซวงคิดในใจ คุณชายเจียงผู้นี้ช่างโชคร้ายจริง ๆไม่เหมือนคุณชายเซียวคุณชายเซียวกระโดดลงน้ำไปเอง เพื่อช่วยคนอื่นตอนนั้นนางเค้นเสียงตระโกนอยู่บนฝั่ง ก็ไม่สามารถห้ามเขา
ฝนตกหนักเช่นนี้ ทำให้เซียวอวี้เริ่มเป็นห่วงประชาชนขึ้นมาล้วนกล่าวว่าควรเตรียมการล่วงหน้า นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ฝนตกลงมาแล้วเขาออกคำสั่งด่วนกับองครักษ์กลางดึก ให้ไปสังเกตการณ์แต่ละพื้นที่เพื่อป้องกันข้าราชการท้องถิ่นรายงานสถานการณ์เท็จ จนก่อให้เกิดภัยพิบัติไม่ทันตั้งตัวหากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม อันดับแรกต้องจัดการช่วยเหลือผู้ประสบภัยยามที่เซียวอวี้กลับเข้ามาในห้องบรรทม ฟ้าก็สางแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนนอนไม่หลับ หลังจากเขาขึ้นมาบนเตียง ก็เข้าไปจับมือเขาไว้ก่อน“จัดการเรียบร้อยหมดแล้วหรือ?”เซียวอวี้พยักหน้า ดูเลื่อนลอยเล็กน้อย“สิ่งที่พอทำได้ก็ทำหมดแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อทำดีแล้ว ย่อมสุดแต่ชะตาฟ้าจะลิขิต”เซียวอวี้เอื้อมมือไปกอดนาง พูดกลั้วยิ้มบางเบา“เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลย ว่าเจ้าจะมีด้านที่อบอุ่นอ่อนโยนดุจสายน้ำเช่นนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบกลับไปทันที“หม่อมฉันก็เช่นเดียวกัน”ยามที่นางรู้จักเขาในคราแรก เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำว่าอ่อนโยนเลยถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าเลือดร้อนอำมหิตเซียวอวี้ยิ้มร่า“นั่นสินะ“แต่ว่า ยังแตกต่างอยู่ดี“ตั้งแต่ที่เ
เด็กทั้งสองต่างเบิกดวงตากลมโต มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าเอือมระอา ซักถามเซียวอวี้โดยตรง“พูดมาให้ชัด ข้าทิ้งลูกทิ้งสามีอย่างไร”นางนั่งลงข้างกายเขา เอื้อมมือไปอุ้มลูกอีกคนขึ้นมา เซียวออวี้กล่าวอย่างสำรวจ “หากไม่อยากให้คนรู้ก็อย่าทำเช่นนั้น“เรื่องที่ฮองเฮาเลือกสนมชายในค่ายทหาร ถูกนำไปเล่าต่อเป็นตุเป็นตะ”แม้นจะพูดเช่นนี้ ทว่าเขารู้ดีว่าเป็นเพียงข่าวลือเพียงอยากฟังว่านางจะอธิบายเช่นไรเฟิ่งจิ่วเหยียนเคยรับปากองค์หญิงใหญ่ว่า ก่อนเรื่องจะสำเร็จ จะไม่นำเรื่องดูตัวราชบุตรเขยไปบอกผู้ใดด้วยเหตุนี้นางจึงเพียงยิ้มให้เซียวอวี้“เอาเป็นว่าไม่ได้เลือกให้ตัวเองแล้วกัน“คงมิใช่ว่าเจ้าขาดความมั่นใจเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอกนะ?”องค์ชายใหญ่ซบไหล่ของนาง ดูอาลัยอาวรณ์อย่างยิ่งเด็กย่อมไม่รู้ว่าผู้ใหญ่กำลังพูดเรื่องอะไร รู้เพียงว่าอ้อมกอดของเสด็จแม่ช่างอบอุ่นเหลือเกินขณะที่เซียวอวี้อยากจะถามเพิ่มอะไรบางอย่าง เด็กน้อยในอ้อมแขนก็อยู่ไม่นิ่ง บิดร่างกาย อยากมุดเข้าอ้อมกอดของเฟิ่งจิ่วเหยียนคงเพราะเห็นพี่ชายถูกเสด็จแม่โอบอุ้ม ตนจึงอยากให้อุ้มบ้างเฟิ่งจิ่วเหยียนม
หนิงเฟยมององค์ชายทั้งสองดุจบุตรของตน หากไม่ใช่เพราะกลัวใบหน้าเย็นชาของฝ่าบาท นางก็อยากจะมาที่ตำหนักหย่งเหอทุกวันเมื่อมองใบหน้าขององค์ชายทั้งสองพระองค์แล้ว นางก็รู้สึกว่าวังหลังนี้ไม่ได้น่าเบื่อ ทุกข์ทรมานเพียงนั้นแล้วระหว่างที่นางกำลังหยอกพวกเขาอยู่นั่นเอง ญาติผู้พี่อย่างองค์หญิงใหญ่ก็เข้ามาหนิงเฟยพลันทำตัวไม่ถูก“ญาติผู้พี่?”องค์หญิงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านางนี้ เปลี่ยนไปมากจนหนิงเฟยแทบจำไม่ได้องค์หญิงใหญ่หรี่ตาพิจารณาหนิงเฟย จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ“ฮองเฮาเล่า?”ในตำหนัก นอกจากองค์ชายสองพระองค์แล้ว ก็มีเพียงหนิงเฟยกับสาวใช้ของนางเท่านั้นสถานการณ์ไม่ถูกต้องนัก...หนิงเฟยไม่ได้คิดอะไรมากนัก นางอธิบาย“เมื่อครู่องค์ชายคว่ำแท่นฝนหมึกจนฮองเฮาทรงเลอะไปทั้งตัว ฮองเฮาจึงเข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว”องค์หญิงใหญ่พลันเดินก้าวใหญ่มาข้างหน้า แล้วจับข้อมือของหนิงเฟยไว้ ถามนางเสียงต่ำ“เช่นนั้นเจ้าอยู่ที่นี่ทำอะไรกัน?“ซิ่วหว่าน ข้อขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้าทำร้ายองค์ชายทั้งสองล่ะก็ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”หนิงเฟย: !??นางชี้ไปที่ตัวเอง ถามกลับอย่างตกตะลึง“ญาติผู้พี่ ท่านพูดอะไรน่ะ? ข้าจะมี
ไทฮองไทเฮาสวรรคต มิได้เห็นหน้าลูกหลานเป็นครั้งสุดท้ายในห้องฌานภูเขาอวี้หยาง เหล่าสาวใช้คุกเข่าอยู่บนพื้น ส่งเสียงร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าณ วังหลวงในตำหนักฉือหนิง หลังไทเฮาได้ยินข่าวร้ายนี้ ยืนอยู่ข้างเตียง เหม่อลอยอยู่นานยามที่ไทฮองไทเฮายังมีพระชนม์ชีพ โหดร้ายกับผู้อื่นนัก ถึงขนาดเรียกได้ว่าใจดำยามนี้ไทฮองไทเฮาตายแล้ว ตัวนางกลับรู้สึกเสียใจอยู่บ้างไทเฮาทรงถอนหายใจ ลำคอตีบตัน“ฝ่าบาทเล่า? ทรงทราบเรื่องนี้หรือยัง?”กุ้ยหมัวมัวรีบตอบ “ไทเฮา ฝ่าบาททรงส่งคนไปที่ภูเขาอวี้หยางรับไทฮองไทเฮาแล้วเพคะ!”วันถัดมา โลงพระศพของไทฮองไทเฮาก็ถูกยกเข้ามาในวังในวังจัดงานศพให้การสวรรคตของนาง ลูกหลานในราชวงศ์ทั้งหมดมาเฝ้าพระศพสนมในวังเปลี่ยนมาสวมชุดไว้ทุกข์ ส่งพระศพไทฮองไทเฮาที่โถงเซ่นไหว้ เสียงร้องไห้ดังขึ้นเป็นระยะเฟิ่งจิ่วเหยียนสวมชุดกงจวงสีขาวทั้งร่าง ยืนอยู่ข้างเซียวอวี้นางมองไปที่โลงศพนั้นด้วยแววตาสงบนิ่งไทฮองไทเฮาประชวรหนักมานานแล้ว ก่อนหน้านี้หลังจากเซียวอวี้หายตัวไป ท่านอ๋องพวกนั้นก็ไปพานางออกมาจากภูเขาอวี้หยาง หาวิธีทรมานนางที่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่นี่เป็นเพราะลูกหลานไม่กตัญ
วันถัดมาในห้องทรงพระอักษรเฟิ่งจิ่วเหยียนเสนอให้แต่ละค่ายทหารกำหนดเวลาแข่งขันแลกเปลี่ยนความรู้กัน จัดให้มีรางวัลสำหรับผู้ชนะ เพื่อกระตุ้นความมุ่งมั่นในการต่อสู้ของเหล่าทหารแม่ทัพชราหลี่เห็นด้วยเป็นคนแรก“กระหม่อมคิดว่าดีพ่ะย่ะค่ะ หลายปีมานี้แคว้นหนานฉีเจริญรุ่งเรื่องมากขึ้น เลี่ยงไม่ได้ที่เหล่าทหารจะเกียจคร้าน เราควรจะเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนอันตรายจะเกิดพ่ะย่ะค่ะ!”แม่ทัพท่านอื่น ๆ ส่วนมากก็เห็นด้วยทว่าก็ยังมีผู้คัดค้าน“ฮองเฮา กระหม่อมคิดว่าเรื่องทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย“หากตอนนั้นชนะ แน่นอนว่าต้องดีใจ ทว่าท่านได้คิดถึงผู้แพ้บ้างหรือไม่?”สีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา ดูแล้วไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย“ข้ารู้เพียงว่าเมื่อสู้กับพวกเดียวกัน หากแพ้ก็คือแพ้ ครั้งหน้าค่อยชนะก็ได้แล้ว“ทว่าเมื่อสู้กับศัตรู แพ้ ก็คือตาย”ผู้ต่อต้านคนนั้นถามอีกครั้ง“กระหม่อมคิดว่าแคว้นเป่ยเยี่ยนได้ยอมแพ้แล้ว ชายแดนสี่ทิศของแคว้นหนานฉีไม่มีสงครามอีก เหล่าทหารตึงเครียดกันมาหลายปีเพียงนี้ ถึงเวลาที่จะกลับมาฟื้นฟูแคว้นแล้ว“ยามนี้ควรจะปลดทหาร ให้เหล่าทหารกลับไปไถนา“อีกอย่างภายในชายแดนขอ
ช่วงกลางถึงปลายของเดือนห้า แคว้นเป่ยเยี่ยนส่งราชทูตมาที่แคว้นหนานฉี ถวายหนังสือยอมแพ้เวลานั้นเซียวอวี้และเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ให้ราชทูตเข้าเฝ้า ด้วยท่าทีองอาจราชทูตเป่ยเยี่ยนก้มศีรษะลงต่ำ สองมือประคองหนังสือยอมแพ้ขึ้นเหนือศีรษะ“ขอฮ่องเต้ฉีโปรดเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”น้ำเสียงของราชทูตสั่นเครือกลัวแต่ว่าฮ่องเต้ฉีจะไม่ยอมปล่อยแคว้นเป่ยเยี่ยนไป ทำให้เหล่าราษฎรต้องกลายเป็นทาสจากแคว้นที่ล่มสลายแววตาของฮ่องเต้บนบัลลังก์มังกรเย็นชาและเข้มงวด“มีแค่หนังสือยอมแพ้รึ”ราชทูตเงียบไปครู่หนึ่ง“ขอเพียงแคว้นท่านยกทัพกลับ ท่านอ๋องของกระหม่อมย่อมซาบซึ้งในพระเมตตาของฮ่องเต้หนานฉีพ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องของกระหม่อม ไม่ใช่ฮ่องเต้ของกระหม่อมเท่านี้ก็เพียงพอที่จะเห็นเจตนาในการลดสถานะตนเองของแคว้นเป่ยเยี่ยนแล้วเซียวอวี้หัวเราะอย่างอารมณ์ดี เสียงหัวเราะนี้ทำเอาราชทูตหวาดกลัวจากนั้นเซียวอวี้ก็หันไปมองข้ารับใช้หลิวซื่อเหลียงขันทีใหญ่หยิบสาส์นตราตั้งฉบับหนึ่งออกมาส่งให้ราชทูตเป่ยเยี่ยนเซียวอวี้พูดอย่างผู้เหนือกว่า“นำกลับไปให้เยี่ยนอ๋องของพวกเจ้าดูให้ดี ๆ เรารอคอยที่จะได้พบเขา”ราชทูตตกตะลึงไปครู่