ท่าทางของเซียวอวี้ชัดเจน “รับสิ เมื่อเป็นการยกให้เปล่า ๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับ” เขาอาจจะไม่แตะต้องอาณาเขตของแคว้นซีหนี่ว์ได้ ทว่าแคว้นเสี่ยวโจวและแคว้นเจิ้งนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า หากไม่มีการต่อสู้นองเลือดของทหารหนานฉีแล้ว แคว้นซีหนี่ว์ก็เอาชนะไม่ได้! เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็รับได้อย่างสบายใจ ถึงแม้จะรู้สึกว่าน้อยเกินไปด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่ห่วงคือ ความคิดของจิ่วเหยียน “เจ้าคิดอย่างไร?” เขาถามนาง เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้า “หม่อมฉันก็คิดว่าควรจะรับไว้เพคะ” ขณะที่เอ่ย นางก็กางแผนที่ออก และวางไว้บนเตียง ซึ่งทั้งสามเมืองได้ถูกทำเครื่องหมายไว้ด้านบนแล้ว ครั้นเซียวอวี้ดูแล้ว ก็พอใจอย่างยิ่ง ทว่า มีเรื่องหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ เขาเงยหน้ามองเฟิ่งจิ่วเหยียน และถามอย่างจริงจัง “เจ้าได้แผนที่มากมายเหล่านี้มาจากที่ใด?” เฟิ่งจิ่วเหยียน : นี่ไม่ใช่ประเด็น! เวลานี้ ลูกชายคนเล็กก็คลานเข้ามาอย่างทุลักทุเล และนั่งทับแผนที่ไว้ใต้บั้นท้าย ก่อนจะปัสสาวะ... “เจ้าเด็กดื้อ!” เซียวอวี้พูดเสียงสูงทันที พร้อมกับอุ้มลูกชายคนเล็กตัวดีขึ้นมา เทียบกับเซี
เยี่ยนอ๋องถูกสังหาร ฆาตกรคืออดีตองค์ชายรองแห่งเป่ยเยี่ยน ฝ่ายหลังได้สะบั้นเยื่อใยกับญาติพี่น้องมานานแล้ว การทำเช่นนี้ ไม่ถือว่าแปลกอันใด เซียวอวี้มีสีหน้าเย็นชา “องครักษ์ข้างกายของเยี่ยนอ๋องอยู่ที่ใด ตายกันหมดแล้วรึ” “ทูลฝ่าบาท ยังมีผู้รอดชีวิตอยู่บ้าง เป็นพวกเขาที่ชี้ตัวองค์ชายรอง และขอร้องให้ฝ่าบาทช่วยตัดสินแทนเยี่ยนอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” นี่เป็นความประสงค์ของเขาเช่นกัน การสร้างความวุ่นวายในเป่ยเยี่ยนบรรลุเป้าหมายแล้ว เดิมเขาก็ตั้งใจที่จะกำจัดหมากตัวนี้ทิ้งเสียแล้ว ดังนั้น เซียวอวี้จึงอ้างเหตุผลนี้ โดยสั่งให้คนไปจับตัวองค์ชายรองแห่งเป่ยเยี่ยน และประหารโดยไม่มีข้อยกเว้น องค์ชายรองเพียงต้องการใช้ประโยชน์จากหนานฉี เพื่อกลับไปที่เป่ยเยี่ยน และครองอำนาจเช่นเดิม คาดไม่ถึงว่าหนานฉีจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ เพียงสองวันเท่านั้น เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ทางการจับกุมตัวได้ “ข้าเป็นขุนนางประจำชายแดนที่ฮ่องเต้ฉีแต่งตั้ง! พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ฆ่าข้า!” ตอนที่เขาถูกจับได้ ยังคงวางอำนาจบาตรใหญ่ เจ้าหน้าที่ทางการได้ตัดสินชี้ขาด “เจ้าสังหารเยี่ยนอ๋อง หากไม่ป
ข่าวลือฝาแฝดสร้างหายนะให้แคว้นนับวันยิ่งหนาหูขึ้นเรื่อย ๆแม้นเซียวอวี้จะส่งคนไปสยบข่าว ก็ปิดปากประชาชนได้ยากในวังหลวงเหล่าขุนนางเก่าแก่ร่วมกันลงนามส่งคำร้อง ต้องการให้ฮ่องเต้และฮองเฮาปฏิบัติตามระบอบเดิม ด้วยการส่งองค์ชายรองออกไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข่าวโคมลอยจากภายนอกมีมากเกินไป จำต้องสกัดไว้ก่อน เพื่อให้ประชาชนสงบลงภายในห้องทรงพระอักษรฮ่องเต้พิโรธคำรามเขาโยนสาส์นฉบับนั้นลงบนพื้น ไม่เสียเวลาอ่านทว่า ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด อัดอั้นในอกจนลนลาน ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้นหลิวซื่อเหลียงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทสงบลง พลางส่งสายตาให้บุตรบุญธรรมของตนเองไม่นาน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มานางออกคำสั่งให้คนอื่นออกไป แล้วก้มลงเก็บสาส์นร้องทุกข์บนพื้นขึ้นมาเมื่อเซียวอวี้เห็นนาง คิ้วที่ขมวดมุ่นก็คลายออก ทว่ากลับยิ้มอย่างฝืน ๆ ไม่อยากให้นางกังวล“จิ่วเหยียน เจ้ามาทำไมหรือ?”เขารีบซ่อนสาส์นร้องทุกข์ฉบับอื่นทันที เฟิ่งจิ่วเหยียนก้มลงกวาดสายตาอ่านสาส์นร้องทุกข์ในมือ น้ำเสียงสบาย ๆ“ลงนามส่งคำร้องงั้นหรือ? ตัวอักษรของใต้เท้าเหล่านี้ ช่างเขียนไม่ได้เรื่อง”เซียวอวี้กล่าวเสริม “เห็นด้วย อ่
เฉินจี๋ใส่เสื้อกันฝน สวมหมวกสาน รีบถอดหมวกออก แล้วประสานมือคารวะฮ่องเต้และฮองเฮา“ถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮา! กระหม่อมกลับมาในครานี้ เพื่อมารับโทษ!”ก่อนหน้านี้เขาคุ้มกันฝ่าบาทได้ไม่ดี เป็นเหตุให้ฝ่าบาทถูกคนเป่ยเยี่ยนจับตัวไป ตนเองยังได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาเพิ่งฟื้นคืนสติกลับมา เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้าไม่รอให้บาดแผลหายดี เขาก็รีบกลับมารู้ตัวว่ากระทำผิดครั้งใหญ่ ไม่คู่ควรแก่การเป็นราชองครักษ์เซียวอวี้มองไปทางเฉินจี๋ อย่างไรเสียก็เคยติดตามตนเองมาหลายปี ย่อมรู้สึกผูกพัน“กลับมาก็ดีแล้ว” ในฐานะฮ่องเต้ จึงไม่มีคำพูดชวนซึ้งแต่อย่างใดเฉินจี๋คำนับ รีบมายืนคุ้มกันข้างหลังฝ่าบาทอู๋ไป๋ยืนอยู่ด้านหลังเฟิ่งจิ่วเหยียน ใช้ศอกกระทุ้งเฉินจี๋เบา ๆ ยักคิ้วหลิ่วตาให้เขา ถามเสียงเบา“เจ้าคงเจ็บหนักไม่เบาล่ะสิท่า? ยังสามารถยกดาบขึ้นหรือไม่?”เฉินจี๋มีสีหน้ามั่นคง“แน่นอน”ในคืนนั้น คนกลุ่มหนึ่งเข้าพักในโรงพักแรมเมื่ออู๋ไป๋พูดเรื่องเป่ยเยี่ยนกับเฉินจี๋ เฉินจี๋ถึงได้รู้ที่มาที่ไปที่แท้ ต้องสำหรับกลุ่มคนภายนอกต้องพูดให้ตรงกัน ว่าฝ่าบาทไปทำภารกิจราชทูตที่เป่ยเยี่ยนอย่างลับ ๆฮองเฮาทรงคิดอย่างรอ
เซียวจั๋วไม่ได้หมายปองฮองเฮาจริง ๆ เพียงแค่อยากเอาคืนที่เซียวอวี้เร่งให้แต่งงานเท่านั้นยิ่งเซียวอวี้โกรธมากเท่าไร เขายิ่งสะใจมากเท่านั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็ดูออก เซียวจั๋วผู้นี้ไม่ต่างอะไรกับรุ่ยอ๋อง เป็นพวกเสือหน้ายิ้มเหมือน ๆ กันคนนิสัยตรงไปตรงมาอย่างเซียวอวี้ ไม่มีทางเอาชนะได้“ฝ่าบาทแค่เป็นห่วงเจ้า คุณชายเซียวไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ส่วนเรื่องชิงบัลลังก์ ล้วนเป็นการกุเรื่องขึ้นมาโดยไร้มูลความจริง ถึงจะแค่ล้อเล่น ก็ไม่ควรนำเรื่องนี้มาพูด” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยเตือนอีกฝ่ายอย่างปกป้องสามีล้อเล่นก็ส่วนล้อเล่น เรื่องสำคัญไม่ควรมองข้ามเพลิงโกรธของเซียวอวี้พลันได้รับการปลดปล่อย กอบกุมมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้เซียวจั๋วประสานมือคารวะ“กระหม่อมกล่าววาจาล่วงเกินแล้ว”เซียวอวี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ใช่แค่เรื่องบัลลังก์ เจ้าต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ว่าคนที่อดีตฮ่องเต้เลือกไว้ให้เจ้าคือเฟิ่งเวยเฉียง มาบอกว่าเราแย่งภรรยาของเจ้าได้อย่างไรกัน?”เซียวจั๋วพูดด้วยรอยยิ้มประดับหน้า “ฝ่าบาททรงพูดถูก”……อีกด้านณ เมืองหลวงจากการค้นหาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ในที่สุดเหล่าทหารก็ตามหาเจี
เซียวอวี้อาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนใส่เสื้อคลุมตัวใหม่สะอาดเอี่ยมกลับมาดูลูกทั้งสองคนอีกครั้ง ก็เห็นสาวใช้กำลังป้อนอาหารพวกเขาเขานั่งลงข้างกายเฟิ่งจิ่วเหยียน ถามเสียงเบา“คนเล็กร้องไห้ตลอด ดูอ่อนแอเกินไปหรือไม่?”มุมปากของเฟิ่งจิ่วเหยียนยกขึ้น“ได้ยินไทเฮาบอกว่า ตอนท่านยังเด็กก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันนะ”สายตาของเซียวอวี้นิ่งค้างเล็กน้อย “ใช่ที่ไหนเล่า ลูกคนโตต่างหากที่เหมือนเรา”เฟิ่งจิ่วเหยียนยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา ดื่มชาเสร็จ ก็เอ่ยอย่างช้า ๆ“ไทเฮาบอกว่า คนเล็กเหมือนท่าน”เซียวอวี้ไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด เขาคิดตลอดว่า ตอนที่ตนยังเด็กไม่มีทางเป็นแบบนั้นแน่นอนอย่างน้อยก็ไม่เป็น “น้ำไหลเชี่ยวกราก” ไปทุกที่ข้างนอกเสียงฟ้าคำรามดังกระหึ่ม เนื่องจากมีเสด็จพ่อกับเสด็จแม่อยู่ข้างกาย เด็กทั้งสองคนจึงไม่แสดงอาการหวาดกลัวออกมาทว่า ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะได้รับพรจากสวรรค์เช่นนี้ในอุทกภัยครั้งนี้ มีเด็กหลายคนพลัดหลงกับพ่อแม่โชคดี ที่เซียวอวี้เตรียมการป้องกันไว้ล่วงหน้า ให้ที่ว่าการเตรียมการช่วยเหลือตั้งแต่แรกเริ่มสองวันต่อมา ตงฟางซื่อก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงทันทีที่เขามาถึงก็จัดวาง “ใยแ
เหลียนซวงเป็นห่วงเซียวจั๋ว จึงขอเข้าเฝ้ามาในวังยามรู้ว่าฝ่าบาทส่งคนไปช่วยแล้ว ถึงได้เบาใจลงบ้างการที่ฝนตกหนักในครั้งนี้ ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงถูกน้ำฝนโอบล้อม ท้องฟ้ามืดครึ้ม ชวนให้รู้สึกไร้ชีวิตชีวาราวกับว่าโลกใบนี้กำลังจะสิ้นสุดลงนางยืนถือร่มอย่างไหวเอนท่ามกลางพายุฝน พลอยทำให้นางทรงตัวไม่อยู่คนที่มีสีหน้ากลุ้มใจไม่ต่างจากนาง ยังมีผู้ติดตามนามเจียงหลินเหลียนซวงรู้จักคุณชายเจียงผู้นั้น ได้ยินมาว่าเป็นสหายคนสนิทของฮองเฮานางถามไถ่อย่างหวังดีผู้ติดตามมีสีหน้าอมทุกข์ ราวกับเจอคนที่สามารถระบายความรู้สึกได้ในที่สุด พูดทุกอย่างในหัวออกมาหมดเปลือก“คุณชายของข้า ได้ยินว่าฮองเฮาทรงประสูติลูกแฝด จึงตั้งใจจะมาส่งของขวัญแสดงความยินดีที่เมืองหลวง ไม่คิดเลยว่าจะโชคร้ายถึงเพียงนี้ มาถึงก็ประสบภัยน้ำท่วม “คุณชายลื่น จนตกลงไปในน้ำ“ข้าอยากช่วย ทว่าพริบตาเดียวก็ไม่เห็นคุณชายแล้ว…ข้าจึงทำได้เพียงมาขอความช่วยเหลือ”เหลียนซวงคิดในใจ คุณชายเจียงผู้นี้ช่างโชคร้ายจริง ๆไม่เหมือนคุณชายเซียวคุณชายเซียวกระโดดลงน้ำไปเอง เพื่อช่วยคนอื่นตอนนั้นนางเค้นเสียงตระโกนอยู่บนฝั่ง ก็ไม่สามารถห้ามเขา
ฝนตกหนักเช่นนี้ ทำให้เซียวอวี้เริ่มเป็นห่วงประชาชนขึ้นมาล้วนกล่าวว่าควรเตรียมการล่วงหน้า นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่ฝนตกลงมาแล้วเขาออกคำสั่งด่วนกับองครักษ์กลางดึก ให้ไปสังเกตการณ์แต่ละพื้นที่เพื่อป้องกันข้าราชการท้องถิ่นรายงานสถานการณ์เท็จ จนก่อให้เกิดภัยพิบัติไม่ทันตั้งตัวหากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม อันดับแรกต้องจัดการช่วยเหลือผู้ประสบภัยยามที่เซียวอวี้กลับเข้ามาในห้องบรรทม ฟ้าก็สางแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนนอนไม่หลับ หลังจากเขาขึ้นมาบนเตียง ก็เข้าไปจับมือเขาไว้ก่อน“จัดการเรียบร้อยหมดแล้วหรือ?”เซียวอวี้พยักหน้า ดูเลื่อนลอยเล็กน้อย“สิ่งที่พอทำได้ก็ทำหมดแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อทำดีแล้ว ย่อมสุดแต่ชะตาฟ้าจะลิขิต”เซียวอวี้เอื้อมมือไปกอดนาง พูดกลั้วยิ้มบางเบา“เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลย ว่าเจ้าจะมีด้านที่อบอุ่นอ่อนโยนดุจสายน้ำเช่นนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบกลับไปทันที“หม่อมฉันก็เช่นเดียวกัน”ยามที่นางรู้จักเขาในคราแรก เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำว่าอ่อนโยนเลยถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าเลือดร้อนอำมหิตเซียวอวี้ยิ้มร่า“นั่นสินะ“แต่ว่า ยังแตกต่างอยู่ดี“ตั้งแต่ที่เ
เด็กทั้งสองต่างเบิกดวงตากลมโต มองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าเอือมระอา ซักถามเซียวอวี้โดยตรง“พูดมาให้ชัด ข้าทิ้งลูกทิ้งสามีอย่างไร”นางนั่งลงข้างกายเขา เอื้อมมือไปอุ้มลูกอีกคนขึ้นมา เซียวออวี้กล่าวอย่างสำรวจ “หากไม่อยากให้คนรู้ก็อย่าทำเช่นนั้น“เรื่องที่ฮองเฮาเลือกสนมชายในค่ายทหาร ถูกนำไปเล่าต่อเป็นตุเป็นตะ”แม้นจะพูดเช่นนี้ ทว่าเขารู้ดีว่าเป็นเพียงข่าวลือเพียงอยากฟังว่านางจะอธิบายเช่นไรเฟิ่งจิ่วเหยียนเคยรับปากองค์หญิงใหญ่ว่า ก่อนเรื่องจะสำเร็จ จะไม่นำเรื่องดูตัวราชบุตรเขยไปบอกผู้ใดด้วยเหตุนี้นางจึงเพียงยิ้มให้เซียวอวี้“เอาเป็นว่าไม่ได้เลือกให้ตัวเองแล้วกัน“คงมิใช่ว่าเจ้าขาดความมั่นใจเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอกนะ?”องค์ชายใหญ่ซบไหล่ของนาง ดูอาลัยอาวรณ์อย่างยิ่งเด็กย่อมไม่รู้ว่าผู้ใหญ่กำลังพูดเรื่องอะไร รู้เพียงว่าอ้อมกอดของเสด็จแม่ช่างอบอุ่นเหลือเกินขณะที่เซียวอวี้อยากจะถามเพิ่มอะไรบางอย่าง เด็กน้อยในอ้อมแขนก็อยู่ไม่นิ่ง บิดร่างกาย อยากมุดเข้าอ้อมกอดของเฟิ่งจิ่วเหยียนคงเพราะเห็นพี่ชายถูกเสด็จแม่โอบอุ้ม ตนจึงอยากให้อุ้มบ้างเฟิ่งจิ่วเหยียนม