ล่วงเลยเข้าปลายยามห้าย อวี้จิ่นออกจากห้องพักแสร้งเดินเล่น
ไปตามถนนในเมืองเฉียนโจว ในมือข้างซ้ายถือลูกผิงกั่วกัดกินไปด้วย ท่ามกลางความเงียบสงัดอย่างที่คนบังคับรถม้าบอก ทำให้รู้สึกวังเวง อยู่ไม่น้อย แต่นั่นไม่ช่วยให้ความอยากรู้ลดลงแต่อย่างใด ด้านบนหลังคายังมีคนกลุ่มหนึ่งคอยตามอวี้จิ่นไปเงียบ ๆหลังจากเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายมุม จนเริ่มจะเมื่อยขาและอวี้จิ่นคิดว่า คืนนี้ไม่น่ามีเหตุการณ์ในข่าวลือเกิดขึ้น จึงคิดจะเดิน
กลับโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักเอาแรง ยามที่กำลังคิดเรื่องกลับห้องพัก ก็มีเสียงหัวเราะแทรกเข้ามา ด้วยบรรยากาศที่เงียบเชียบ พอมีเสียงหัวเราะกลับกลายเป็นความรู้สึกน่ากลัว สำหรับคนในเมืองเฉียนโจวยิ่งนัก แต่อวี้จิ่นทำเพียงหยุดเดินและรอคอยอย่างตั้งใจ ว่าผีสาวตนนี้จะทำอะไรกับนาง ถ้าหากนางถามคำถามออกไป มันจะตอบคำถามของนาง ได้หรือไม่“ฮิ ๆ ๆ อาหารของข้า”
“โอ๊ะ!! ในที่สุดก็ออกมาจนได้ ขอดูหน้าหน่อยก็แล้วกัน ว่าจะเป็น
ผีสาวใบหน้างดงามหรือน่าขยะแขยง”“ฮ่า ๆ ๆ มาเป็นอาหารให้ข้าเสียเถิดเด็กน้อย แผล่บ ๆ”
“ขวับ!! สวัสดีตอนดึกเจ้าค่ะ เป็นผีทำไมถึงรู้สึกหิวได้ล่ะ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะว่า วิญญาณคนตายจะรู้สึกหิวเหมือนคนปกติ”
“...?...”
“อ๋า เมื่อกี้ยังพูดอยู่เลยทำไมเงียบไปไม่ตอบคำถามข้าล่ะ หรือว่าจะหิวจนพูดไม่ออก เอานี่ไปกินรองท้องก่อนไหม ผลไม้นี้เรียกว่าผิงกั่ว
มันอร่อยมากเลยนะ ลองชิมดูแล้วเจ้าจะติดใจ” อวี้จิ่นหันไปถามกับผี ชุดขาวผมเผ้ารุงรังไม่เห็นใบหน้า และยังมีน้ำใจยื่นผลผิงกั่วให้ผีได้ชิมอีก‘อึก...!? นางเด็กนี่มีผลไม้ราคาแพงได้อย่างไร จากเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ ดูก็รู้ว่าฐานะยากจน แต่กลับมีผลผิงกั่วกินอย่างเอร็ดอร่อย ข้าทำงาน ให้ใต้เท้าอวี่มาตั้งนานยังไม่กล้าซื้อมากิน ฮึ่ม นี่นางกล้าหยามข้าซึ่งหน้าเช่นนี้เชียวรึคงต้องสั่งสอนเสียหน่อยแล้ว’
เจียนฉือลูกน้องอีกคนของเจ้าเมืองเฉียนโจว คิดอย่างดูถูกฐานะของอวี้จิ่นจากเสื้อผ้าที่นางใส่อยู่ เขาทำหน้าที่แต่งตัวเป็นผีสาวออกมาอาละวาดหลายเดือน เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้าน ทั้งในเมือง
และนอกเมือง สำหรับเปิดทางให้เจ้าเมืองเฉียนโจวและคนใต้บัญชา ขององค์ชายหก ลักลอบนำเกลือเถื่อนเข้ามาก่อนจะกระจายออกไปขาย และวิธีนี้ช่วยให้องค์ชายหก ได้เงินจากการค้าเกลือเถื่อนแต่ละครั้ง หลายหมื่นตำลึงทอง ซึ่งจะนำไปเลี้ยงดูกองกำลังที่แอบซ่องสุมไว้“พี่สาวอย่าได้เกรงใจ มีของดีก็แบ่งกันกินคนละนิดคนละหน่อย กินคนเดียวมันจะไปอร่อยได้อย่างไรกัน อ่ะ ท่านถือไว้แล้วค่อยกัดทีละนิดจะได้รู้ว่ามันอร่อยมากแค่ไหน” อวี้จิ่นฉวยโอกาสที่เจียนฉือยืนนิ่งจ้องมา
ที่นางเดินเข้าไปใกล้และจับมือของเขาขึ้นมาแต่สิ่งที่อวี้จิ่นคาดไม่ถึงคือ ภาพที่ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้สัมผัสมือของเจียนฉือและนางเอาแต่ยืนนิ่ง เพราะกำลังปะติดปะต่อเรื่องราวจากภาพที่เห็น ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างที่นางคิด ข่าวลือที่เกิดขึ้นคือฝีมือของคนและยังเป็นขุนนางอีกด้วยขณะนั้นเองกลุ่มคนที่คอยตามอวี้จิ่นมา เห็นว่านางยืนนิ่ง
ไม่ยอมขยับ ฟู่หลงเหยียนกำลังคิดว่านางคงถูกทำร้าย จึงกระโดดลงไปด้านล่างทันที เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เจียนฉือ ใช้มือทั้งสองข้างผลัก ร่างของอวี้จิ่น เนื่องจากนางไม่ทันระวังตัว เมื่อถูกผลักออกอย่างแรง ร่างของอวี้จิ่นจึงหงายหลัง เกือบจะบาดเจ็บเพราะความไม่รอบคอบ ของตน แต่เป็นฟู่หลงเหยียนที่กระโดดเข้ามารับร่างของนางเอาไว้เสียก่อน“ปึก อ๊ะ!!”
พรึ่บ! หมับ! ตุบ
“พวกเจ้าสามคนช่วยกันจับตัวมันไว้ อย่าปล่อยให้หนีรอดไปได้”
ฟู่หลงเหยียนเมื่อรับร่างบางไว้แล้ว จึงออกคำสั่งกับคนสนิททั้งสามทันที“ขอรับ/ขอรับ/ขอรับ”
“บาดเจ็บที่ใดหรือไม่” เมื่อร่างบางยืนได้มั่นคง ฟู่หลงเหยียน
จึงถามถึงอาการบาดเจ็บกับร่างบางในอ้อมแขนอวี้จิ่นที่ยังหลับตาอยู่ เพราะคิดว่าตนเองต้องเจ็บตัวแน่ ๆ
แต่พอได้ยินเสียงทุ้มติดไปทางดุเล็กน้อยถามกับตนเอง จึงตอบกลับไป ทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่เช่นเดิม“มะ มะ ไม่เจ้าค่ะ ดีที่ท่านมารับข้าไว้ทันจึงไม่บาดเจ็บ
ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้าเอาไว้เจ้าค่ะ”“หึ ควรมองหน้าผู้มีพระคุณยามต้องพูดคำว่าขอบคุณมิใช่หรือ”
“อ่อ ขอบคุณคุณชายมากที่ช่วยรับข้าเอาไว้จะ จะ เจ้าค่ะ” อวี้จิ่น
พูดจบและเงยหน้ามองผู้มีพระคุณก่อนจะอึกอัก เมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างทั้งยินดีและเกรงกลัวในคราวเดียวกัน“หึ ๆ ๆ ไม่เป็นอะไรก็ดี เจ้าหลบอยู่ด้านหลังข้าจะปลอดภัยกว่านะ และหวังว่าต่อไปจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้กับเจ้าอีก”
“เชอะ! ครั้งนี้ข้าแค่ไม่ทันระวังตัวเท่านั้นแหละ เจ้าผีบ้านั่นถึงมีโอกาสทำร้ายข้าได้ เป็นคนดี ๆ ไม่ชอบกลับชอบทำตัวปลอมเป็นผีสาว
มาทำร้ายคน เจ้านายสารเลวของเจ้าถือว่าฉลาดมากที่ใช้วิธีนี้ แต่แผนการทั้งหมดมันจบลง เมื่อเจ้าต้องมาพบเจอคนอย่างอวี้จิ่น ฮึ” อวี้จินไม่ชอบใจที่ถูกบุรุษตรงหน้าดูถูกความสามารถ จึงลืมตัวพูดถึงแผนการของเจียนฉือที่รับคำสั่งจากเจ้าเมืองเฉียนโจวออกไปไม่รู้ตัว“เจ้านายสารเลว? แผนการร้าย? ที่เจ้าพูดมาหมายความว่าอย่างไร เรื่องข่าวลือมีคนบงการอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่!” ฟู่หลงเหยียน
ได้ยินเต็มสองรูหูและคิดว่าเขาฟังไม่ผิดแน่“ใช่น่ะสิพวกขุนนางชั่วเห็นแก่เงินสมควรถูกทำโทษ อุ๊บ!!”
อวี้จิ่นมัวแต่โมโหจึงลืมตัวบ่นเรื่องขุนนางกังฉินออกไป“เจ้าจะปิดปากตนเองไปทำไมกัน พูดมาเสียขนาดนี้แล้วอย่าคิดจะแก้ตัวว่า เจ้าแค่พูดออกมาตามสถานการณ์เพราะมันไม่ทันแล้วล่ะ”
ยังไม่ทันจะโต้ตอบคนรู้ทัน เสียงเอะอะจากคนที่ถูกจับตัวได้
เรียกสายตาคนทั้งสองให้หันไปมอง เมื่อภายใต้ผมเผ้าที่บดบังใบหน้าไว้ แท้จริงแล้วเป็นบุรุษรูปร่างคล้ายสตรีมิใช่สตรีจริง ๆ“เจ้าจะดิ้นไปทำไมให้เหนื่อยถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นอยู่ดี”
อู่จิ้งเริ่มรำคาญเจียนฉือที่ไม่ยอมหยุดดิ้น“ปล่อยข้า!! หากพวกเจ้าไม่อยากเดือดร้อน จงรีบปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้ ถ้านายท่านของข้ารู้ว่าพวกเจ้าสอดมือเข้ามายุ่ง รับรองว่าพวกเจ้าต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่เมืองเฉียนโจวแห่งนี้แน่นอน” เจียนฉือแอบอ้างบารมีเจ้าเมืองมาข่มขู่กลุ่มคนที่จับตัวเขาไว้
“ไอหยา ข้ากลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้วเจ้านายของเจ้าต้องมีอำนาจมากใช่ไหม ถึงได้กล้าให้ลูกน้องอย่างเจ้ามาสร้างข่าวลือเช่นนี้” ตงลู่ทำทีว่าเกรงกลัวอำนาจของอีกฝ่ายเหลือเกิน
“นายน้อยจับตัวคนผู้นี้ได้แล้วจะให้พาไปที่ใดดีขอรับ” เฉินอิ่น
สอบถามถึงสถานที่สำหรับการไต่สวนหาความจริง“ปิดปากให้เงียบแล้วพาไปยังตรอกร้างทิศตะวันตก ข้าต้องการรู้ความจริงทั้งหมดในคืนนี้ก่อนจะวางแผนขั้นต่อไป” แต่นั่นต้องขึ้นอยู่กับสตรีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาด้วย
“รับทราบขอรับ รีบเอาตัวมันไปที่นั่น ก่อนจะมีชาวบ้านมาเห็น
เข้าเสียก่อน” เฉินอิ่นหันไปกำชับกับสหายอีกสองคน ก่อนจะฉีกชายเสื้อของเจียนฉือออกมาอุดปากของเจ้าตัวไว้“อื้อ ๆ ๆ”
อวี้จิ่นที่ยืนมองคนแปลกหน้าพาตัวเจียนฉือไป นางคิดว่าคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตนแล้วจึงจะกลับโรงเตี๊ยม แต่กลับมีมือหนาจับเข้า
ที่ข้อมือของนางเอาไว้ พร้อมกับแรงดึงให้เดินตามคนกลุ่มนั้นไป หมับ!!“เฮ้ย!! ดะ ดะ เดี๋ยวก่อน ๆ ๆ ท่านจะจับมือข้าไว้ทำไมกันเจ้าคะ
แล้วจะพาไปที่ใดข้าจะกลับโรงเตี๊ยมของข้านะเจ้าคะ”“หืม ใครบอกว่าจะให้เจ้ากลับไปโรงเตี๊ยมในยามนี้ เจ้าต้องตามข้าไปและเรื่องในคืนนี้ เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก เพราะเจ้ารู้ในสิ่ง
ที่ข้าไม่รู้ดังนั้นเดินตามไปเสียดี ๆ หากเจ้ายังดื้อดึง ข้าจะอุ้มเจ้าแทนการจับมือว่าอย่างไรจะเลือกอย่างไหนรึ” ฟู่หลงเหยียนข่มขู่อวี้จิ่น เมื่อนางบอกว่าจะกลับโรงเตี๊ยม“ข้าเดินเองได้ท่านแค่เดินนำทางไปก็พอเจ้าค่ะ” จะเลือกได้ยังไง
ที่เขาพูดมานางเสียเปรียบทั้งสองทาง“เอาตามที่ข้าตัดสินใจจับมือเจ้าไว้น่ะดีแล้วจะได้ไม่หลงทางเพราะตรอกร้างที่จะไปมันมืดมาก รีบตามพวกนั้นไปเถิดได้เบาะแสทั้งหมดเมื่อไหร่ ข้าจะไปส่งเจ้าที่โรงเตี๊ยมด้วยตัวเอง” ฟู่หลงเหยียน
ได้จับมือบางที่เขาสามารถกำได้รอบ ก็ได้แต่คิดว่าที่ผ่านมานางได้กิน อิ่มท้องบ้างหรือไม่เหตุใดถึงผอมเหลือเกิน“ข้าจะโต้แย้งไปทำไมในเมื่อท่านตัดสินใจแล้วนี่”
พอเห็นอวี้จิ่นทำหน้าไม่พอใจด้วยการทำแก้มป่องนั่น ทำเอา
คนเย็นชาถึงกับแอบยกยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว เขามองว่าท่าทาง ของอวี้จิ่นยามนี้ช่างน่ารักมากเสียจริง และอยากจะแกล้งนางบ่อย ๆ ทั้งที่เขาไม่ใช่คนนิสัยขี้แกล้งเลยสักนิดเมื่อมาถึงตรอกร้าง การเค้นเอาความจริงจากเจียนฉือก็เริ่มขึ้น
ฟู่หลงเหยียนหาที่นั่งให้อวี้จิ่น ในระยะที่ห่างจากคนร้ายพอสมควร เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายฉวยโอกาสใช้นางเป็นข้อต่อรอง“บอกความจริงเกี่ยวกับนายของเจ้ามาทั้งหมด สิ่งที่ทำอยู่
โดยใช้ข่าวลือเรื่องผีสาวฆ่าคนเพื่ออะไร หากสารภาพโทษหนักจะได้ กลายเป็นเบา แต่หากไม่ยอมสารภาพเจ้าย่อมรู้ดีว่าจะได้รับโทษเยี่ยงไร” ฟู่หลงเหยียนยืนอยู่ด้านหน้าเจียนฉือเพื่อสอบถามความจริง“เพ้ย!! คิดว่าข้าโง่มากไม่รู้ความคิดของพวกเจ้ารึ ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูดก็ต้องรับโทษตายอยู่ดี แล้วข้าจะพูดให้เปลืองน้ำลายทำไม
ฮ่า ๆ ๆ” เจียนฉือรู้ดีว่าการทำงานอันตรายเช่นนี้ หากถูกจับได้ขึ้นมา ย่อมถูกไต่สวนอย่างทรมาน สุดท้ายก็รับโทษตามกฎหมายของแคว้น“อ่อ ถามดี ๆ ไม่ชอบต้องเจ็บตัวก่อนกระมังถึงจะยอมพูด ตงลู่
เจ้าช่วยถามแบบเจ็บ ๆ กับคนร้ายทีสิข้าอยากรู้ว่าจะปากแข็งได้นาน แค่ไหน” ฟู่หลงเหยียนไม่อยากเสียเวลา จึงสั่งตงลู่ออกแรงสั่งสอนเล็กน้อย แต่คำว่าเล็กน้อยของเขามันไม่เหมือนผู้อื่นนี่สิ“ขอรับนายน้อย”
ผัวะ! อ่ะ ผัวะ! อั่ก แค่ก ๆ ๆ
ฟู่หลงเหยียนเห็นตงลู่ลงมือ เขาจึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีอวี้จิ่นนั่งดูอยู่ จึงรีบเดินไปขวางหน้าของนางไว้ เพราะไม่อยากให้เห็นความรุนแรงนี้
“อ้าว นี่คุณชายท่านจะมายืนบังไว้ทำไมกันเจ้าคะ หรือท่านคิดว่าข้าจะหวาดกลัวกับเรื่องเช่นนี้ ท่านสบายใจเถิดข้าไม่ได้อ่อนแอ
ถึงเพียงนั้น” เพราะเรื่องต่อยตีไม่ว่ากับบุรุษหรือสตรี ในโลกก่อนอวี้จิ่นล้วนผ่านมาแล้วทั้งสิ้น“งั้นหรือ?” ฟู่หลงเหยียนหันไปมองหน้าอวี้จิ่น ที่กำลังบอกว่าเขาบดบังเรื่องสนุก อย่างการให้ผู้ติดตามของตน ทำการสั่งสอนเพื่อให้คนร้ายยอมสารภาพ
“อืม ข้าขึ้นเขาต้องพบเจอสัตวดุร้ายเป็นประจำ แค่เรื่องลงมือ
เพื่อเค้นเอาความจริงกับคนร้ายถือว่าเรื่องเล็กเจ้าค่ะ แต่ข้าว่าถึงท่าน จะสั่งสอนไปก็เท่านั้น บุรุษผู้นี้ไม่มีทางยอมสารภาพแน่ เอาเป็นว่า ครั้งนี้ข้าจะช่วยเหลือให้ท่านจับคนชั่วมาลงโทษก็แล้วกัน ท่านรับปาก ได้หรือไม่ว่าจะไม่บอกใครว่ารู้มาจากข้าน่ะ” อวี้จิ่นอยากให้ชาวบ้าน ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ต้องคอยระแวงเกี่ยวกับเรื่องภูตผีอีก อย่างไรเสียความสามารถของนางก็มีไว้ช่วยเหลือคนดี“ได้ข้ารับปากเจ้าจะไม่บอกใครเด็ดขาด ว่ารู้เรื่องทั้งหมด
มาจากเจ้า และยินดีช่วยเหลือหากเจ้าต้องการให้ข้าช่วย ทีนี้บอกมา ได้หรือยังว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง เกี่ยวกับเรื่องข่าวลือของเมืองเฉียนโจว”ฟู่หลงเหยียนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้ในใจจะเกิดความสงสัยว่าสตรีร่างบางที่เขายังไม่รู้จักชื่อแซ่ รู้รายละเอียดเบื้องหลังการปลอม
เป็นภูตผีได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่เขากับนางเข้าเมืองเฉียนโจวในวันเดียวกัน“อืม ข้ารู้ว่าข่าวลือที่สร้างขึ้นบังหน้านี้ เพราะต้องการให้ชาวบ้านหวาดกลัว ไม่กล้าออกจากบ้านยามค่ำคืน เนื่องจากเจ้าเมืองเฉียนโจว ต้องการเปิดทางให้พรรคพวก ลักลอบขนเกลือเถื่อนเข้ามาขายทุก ๆ
สามเดือน ส่วนคนที่เป็นขุนนางตำแหน่งสูงกว่านั้น ข้าได้ยินเจ้าเมืองเรียกว่าใต้เท้าจินและมีอีกคนที่เป็นองค์ชายด้วยเจ้าค่ะ”“นี่เจ้า!! เจ้าเป็นสายลับของใคร เหตุใดถึงรู้ความลับเรื่องนี้ได้?”
เจียนฉือตกใจกับความจริงที่อวี้จิ่นพูดออกมา เรื่องนี้เป็นความลับที่น้อยคนจะรู้ ไม่มีทางที่คนอย่างอวี้จิ่นจะรู้ลึกถึงเพียงนี้แน่
“ห๊ะ!! แค่รู้ความลับชั่ว ๆ ของพวกเจ้า ข้าต้องเป็นสายลับด้วยรึ
แต่ข้าเพิ่งจะมาถึงเมืองเฉียนโจวเมื่อกลางวันนี้เองนะ จะมีความสามารถปลอมตัวเป็นสายลับเข้าจวนเจ้าเมืองทันได้อย่างไร” อวี้จิ่นงุนงงที่คนร้ายกล่าวหาว่านางเป็นสายลับของฝ่ายตรงข้าม“ใต้เท้าจินและองค์ชายงั้นหรือ ที่แท้คนพวกนี้ก็มีแผนการร้าย
ต่อราชบัลลังก์จริง ๆ อู๋จิ้งเจ้าไปหาเช่าจวนหลังเล็กแล้วนำตัวมันไปขังไว้ ที่นั่น อย่าให้หลบหนีออกมาได้ตงลู่เจ้าไปช่วยอู๋จิ้ง ส่วนข้าและเฉินอิ่น จะตามหาหลักฐานที่ซ่อนไว้ทั้งหมดเอง เมื่อได้หลักฐานค่อยนำตัวนักโทษกลับเมืองหลวง” ฟู่หลงเหยียนคิดไว้แล้วว่าขุนนางในราชสำนักต้องมีส่วน“รับทราบขอรับนายน้อย”
อวี้จิ่นพอได้ยินคำว่าเมืองหลวงจากปากของฟู่หลงเหยียน
จึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้และต้องการทำข้อแลกเปลี่ยน เพื่อจะขอติดตามเดินทางไปเมืองหลวงกับฟู่หลงเหยียน“เอ่อ คุณชายพวกท่านมาจากเมืองหลวงหรือเจ้าคะ หากข้า
มีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง อยากเสนอกับท่านจะได้ไหมเจ้าค่ะ”“หืม เจ้ามีข้อแลกเปลี่ยนกับข้า แล้วสิ่งที่เจ้าต้องการแลกเปลี่ยนคือสิ่งใดหรือ” เขาแปลกใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ นางก็บอกว่ามีข้อแลกเปลี่ยน
"ข้าแค่จะขอติดตาม ขบวนเดินทางของพวกท่านไปเมืองหลวงเท่านั้นเจ้าค่ะ” ขอเพียงได้ติดตามขบวนของขุนนาง การเดินทางของตนย่อมปลอดภัย อวี้จิ่นคิดเพียงเท่านี้จริง ๆ
“แค่นี้หรือที่เจ้าต้องการทำการแลกเปลี่ยนกับข้า?”
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับท่าน และคนติดตามแต่อย่างใด” พวกเขาเก่งกาจถึงเพียงนี้ แค่สตรีร่างเล็กอย่างนาง
คงไม่มีปัญหากระมัง“ตกลง ข้ายินดีให้เจ้าติดตามขบวนเดินทางไปด้วย ว่าแต่สิ่งที่เจ้าจะใช้แลกเปลี่ยนในครั้งนี้คืออะไร”
“ข้ารู้ว่าหลักฐานที่คุณชายต้องการนั้นซ่อนอยู่ที่ไหน และสามารถพาท่านไปเก็บหลักฐานทั้งหมด เพื่อลงโทษขุนนางชั่วได้เจ้าค่ะ” อวี้จิ่น
พูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังมาก แต่มันกลับดูน่ามองสำหรับบุรุษร่างสูงอย่างฟู่หลงเหยียนเสียเหลือเกิน“อืม เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะส่งเจ้ากลับโรงเตี๊ยม นอนพักผ่อนให้มาก แล้วพรุ่งนี้ยามเฉินข้ากับเฉินอิ่น จะไปรอเจ้าอยู่ตรงหน้าโรงเตี๊ยม
เพื่อไปค้นหาหลักฐานจากที่ซ่อนตามที่เจ้าได้บอกเอาไว้” ฟู่หลงเหยียนพยายามสังเกตอวี้จิ่นว่านางโกหกหรือไม่ แต่แววตาของนางกลับไม่เหมือนคนโกหกแม้แต่น้อย“เจ้าค่ะ”
อวี้จิ่นรู้สึกโล่งอก เมื่อไม่ต้องเดินทางเพียงลำพังอีก แต่เรื่องนี้
กลับทำให้ฟู่หลงเหยียนชอบใจมากกว่า ตลอดการเดินทางกลับเมืองหลวงเขาจะได้ทำความรู้จักกับอวี้จิ่นให้มากกว่านี้ เพราะฟู่หลงเหยียนแน่ใจ แล้วว่า นางคือคนที่ทำให้หัวใจที่ไม่เคยเต้นแรงกับสตรีใดอีก กลับมา มีชีวิตชีวาอีกครั้งด้วยการกระทำที่เป็นธรรมชาติของนาง ซึ่งมันแตกต่างกับอดีตคนรักของเขา ที่เป็นสตรีมีใบหน้างดงาม กิริยามารยาทอ่อนหวานได้รับคำชื่นชมอยู่เสมอ แต่แท้จริงแล้วเขาไม่เคยรู้จักตัวตนจริง ๆ ของนางเลยแม้แต่น้อยฟู่หลงเหยียนและเจียงหยวนยังคงซ่อนตัวอยู่ พวกเขาอยากรู้ว่าสองพี่น้องจะรับมือคนพวกนี้ เพื่อหาทางเอาตัวรอดอย่างไร “พวกเจ้าเอาตัวเด็กสองคนนั่นลงมา อย่ามัวชักช้ายืดยาด หากงานไม่สำเร็จละก็ จะกลายเป็นพวกเราที่ต้องตายแทน” ซานถูลงไปยืนรอยังจุดที่เลือกไว้ สำหรับการขุดหลุมฝังเจียงข่ายเหวินและฟู่เจียฉี“ถุ้ย!! อย่าเอามือสกปรกของเจ้ามาถูกตัวน้องสาวข้า” เจียงข่ายเหวินตะคอกลูกน้องซานถูทันที เมื่อมือหยาบนั้นกำลังจะดึงตัวฟู่เจียฉี ออกไปจากอ้อมกอดของตน“เหวินเกอไม่ต้องกลัวนะ ฉีเอ๋อร์จะปกป้องท่านเองเจ้าค่ะ” ฟู่เจียฉีมิใช่เด็กหญิงตัวน้อยขี้แย เพราะมีบิดาคอยสอนให้เข้มแข็งมีสติ ถึงจะเป็นเด็กแต่เมื่อมีสติก็สามารถเอาตัวรอดได้“ฮ่า ๆ ๆ ลูกพี่ดูเจ้าเด็กสองคนนี่สิ ช่างเป็นญาติพี่น้องที่รักกันดีเสียเหลือเกิน” เกาจิ่งหัวเราะกับท่าทางของฟู่เจียฉี“เหอะ ก็คงเห็นตัวอย่างจากบิดมารดากระมัง เร็ว ๆ ๆ พาตัวลงจากรถม้าได้แล้ว ยังต้องขุดหลุมอีกพวกเจ้าอย่าลืมสิ” ซานถูเร่งลูกน้องของตนให้ทำตามคำสั่งขณะที่เกาจิ่งหันไปพูดคุยกับซานถู ฟู่เจียเฟยได้หยิบห่อยาพิษที่บิดาเพิ่งมอบให้ ก่อนจะแบ่งให้เจียงข่ายเหวินอีกสองห่อ เด็กชายมองหน้า
ณ จวนตระกูลเจียงหลังจากอวี้จิ่นออกเรือนแต่งเข้าตระกูลฟู่ ลูกสะใภ้ของตระกูลเจียงอย่างจ้าวเจียเฟย ก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย ซึ่งในอนาคตเขาขคือผู้สืบทอดตระกูลเจียงต่อจากบิดา ชื่อของหลานชายฮ่องเต้ผู้เป็นเสด็จตา ประทานนามให้ว่า ‘ข่ายเหวิน’ หมายถึง ผู้ชนะและมีความรู้ และชื่อนี้ก็เข้ากับลักษณะนิสัยของเจ้าตัวน้อยได้เป็นอย่างดีนอกจากมารดาจะเป็นที่โปรดปรานแล้ว เมื่อให้กำเนิดหลานชายย่อมได้รับความโปรดปราน ไม่ต่างจากผู้เป็นมารดาเช่นกัน สร้างความอิจฉาริษยาให้กับองค์ชายองค์หญิงที่มีหลานให้กับฮ่องเต้ องค์ชายองค์หญิงที่รู้จักประมาณตน จะอบรมสั่งสอนบุตรของตนให้รักญาติพี่น้อง แต่สำหรับคนที่จิตใจดำมืดเกินเยียวยา ย่อมสั่งสอนและปลูกฝังความริษยาลงในจิตใจของบุตร ตระกูลเจียงมีทายาทแล้ว ทางด้านตระกูลฟู่จะไม่มีได้อย่างไร หลังจากเจียงข่ายเหวินอายุได้สองหนาว อวี้จิ่นแต่งเข้าจวนฟู่ได้ครึ่งปีก็ตั้งครรค์ และให้กำเนิดบุตรสาวนามว่าฟู่เจียฉี หากจะกล่าวว่าญาติผู้พี่เจียงข่ายเหวินหล่อเหลาตั้งแต่เยาว์วัย ญาติผู้น้องอย่างฟู่เจียฉีจะน้อยหน้าได้หรือ เด็กหญิงเกิดมาพร้อมกับดวงหน้ารูปหยดน้ำ จมูกโด่งได้รูปรับกับใบหน้า ริ
หลังจากตระกูลฟู่และตระกูลเจียง ได้แลกหนังสือหมั้นหมายของบุตรชายบุตรสาว ข่าวลือเรื่องทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกัน ก็แพร่กระจายไปตามร้านรวงต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว คนที่อวยพรให้ทั้งสองสุขสมก็มีอยู่มาก คนที่อิจฉาริษยาก็มีไม่น้อย ล้วนเป็นสตรีที่ยังไม่ออกแต่แล้วอย่างไรในเมื่อฟู่หลงเหยียนมิได้สนใจ พวกนางก็เป็นได้แค่เศษฝุ่นที่ลอยไปกับสายลมเท่านั้น เพราะในสายตาของฟู่หลงเหยียน ไม่เคยละไปจากคู่หมั้นที่เริ่มจะเปล่งประกายความงามหลังจากนั้นอีกสามเดือนต่อมา ปรากฏว่าองค์หญิงใหญ่ตั้งครรภ์ อย่างที่อวี้จิ่นเคยบอกพวกเขาเอาไว้จริง ๆ เจียงหยวนแอบไปพบน้องสาว เพราะเขาอยากรู้ว่าเด็กในครรภ์องค์หญิงใหญ่ เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง เขาจะได้เตรียมรับมือบุตรคนได้ถูก พอได้รู้ว่าตนเองจะได้บุตรชาย การวางแผนเลี้ยงดูจึงถูกคิดขึ้นทันทีตั้งแต่อวี้จิ่นกลายเป็นคู่หมั้นของหัวสำนักตรวจการ หากไม่มีภารกิจลับและออกเดินทางไปต่างเมือง ข้างกายของอวี้จิ่นย่อมมีบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำ นามว่าฟู่หลงเหยียนอยู่กับนางเสมอ จนเหล่าบุรุษที่มั่นใจว่าตนเองหน้าตาหล่อเหลา ต้องวิ่งหาที่หลบแทบไม่ทัน แค่ฟู่หลงเหยียนจ้องมองพวกเขาก็หายไม่ออกกันแล้วทุก
ฟู่หลงเหยียนพาอวี้จิ่นกลับมาส่งที่จวน ภายหลังที่พลุถูกจุดจนหมดเรียบร้อยแล้ว ด้วยตอนมาร่วมงานเขานั่งรถม้า ยามนี้จำเป็นต้องยืมเจ้าเสี่ยวหงกลับจวนไปก่อน และค่อยนำมันมาคืนอวี้จิ่นทีหลังอวี้จิ่นยืนส่งฟู่หลงเหยียนขี่เจ้าเสี่ยวหง จนแผ่นหลังของเขาหายลับไปจากสายตา ถึงได้เดินเข้าจวนอย่างอารมณ์ดี ทำให้คนเดินตามหลังอย่างตงลู่กับเฟยอิน เอ็นดูกับท่าทางที่เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวเขินอาย อยากจะหัวเราะแต่ต้องอดกลั้นเอาไว้แต่พอมาถึงเรือนของตนอวี้จิ่นพบว่า เป่าจูสาวใช้ของพี่สะใภ้ กำลังเดินไปมาชะเง้อมองหาใครอยู่ “หืม นั่นใช่พี่เป่าจูสาวใช้ของพี่สะใภ้ใช่ไหมพี่เฟยอิน”“ใช่จริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะคุณหนู ว่าแต่นางมาทำอะไรที่เรือนของท่าน ยามนี้มิใช่ต้องอยู่รอรับใช้องค์หญิงใหญ่หรอกรึ?”เป่าจูเมื่อเห็นอวี้จิ่นกลับมาที่เรือน จึงสาวเท้าไปหานางดั่งพายุ สร้างความงุนงงจนอดคิดไม่ได้ว่า จะเกิดเรื่องอันใดที่เรือนของพี่ชายตนหรือไม่“คุณหนูเจียงในที่สุดท่านก็กลับมาเสียทีเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของเป่าจูดูร้อนรนแปลก ๆ“พี่เป่าจูท่านมารอพบข้ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่เจ้าคะ”“คือบ่าวมารอพบคุณหนูที่นี่ เพราะมีเรื่องจะรบกวนท่านจริง ๆ เจ้าค่ะ”“พี่เ
ซีอ๋องอยู่ร่วมงานเลี้ยงชนะสงครามเท่านั้น อีกสองวันต่อมาจึงออกเดินทางพร้อมหีบยาจำนวนมาก ยังมีเมล็ดพันธุ์ผักที่อวี้จิ่นใจดีมอบให้อีกหนึ่งหีบ ที่สำคัญทรงอยากกลับไปชำระความ กับสตรีชั่วที่ปองร้ายบุตรชายเพียงคนเดียวของตน ซึ่งตอนนี้นางกำลังตั้งตนเป็นเจ้าของตำหนักอ๋อง จนลืมไปว่านางเป็นแค่ชายารองเท่านั้นข่าวลือที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เรื่องฤกษ์มหามงคลที่มีขึ้น ในอีกสามสัปดาห์ต่อจากนี้ ทำเอาวังหลวงวุ่นวายจนเวียนหัว เพื่อเตรียมงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงใหญ่ พระธิดาคนโปรดของฮ่องเต้ให้ออกมาดีที่สุด ห้ามขาดตกบกพร่องแม้แต่นิดเดียวส่วนตระกูลเจียงถือว่าโชคดีมาก ที่อวี้จิ่นได้บอกมารดาไว้ก่อนหน้านี้ ทุกอย่างในจวนจึงพร้อมต้อนรับสะใภ้ใหญ่ หลังจบงานเลี้ยงวันถัดมายามปลายยามเฉิน ขบวนสินสอดนับร้อยหีบผูกด้วยผ้าสีแดง พร้อมสามหนังสือหกพิธีการนำไปส่งมอบให้กับฮองเฮา ก็ทยอยออกจากจวนตระกูลเจียงมุ่งหน้าไปยังวังหลวงทันทีชาวบ้านสองข้างทางต่างหยุดมอง และเริ่มพูดถึงเรื่องสมรสพระราชทานอีกครั้ง ตระกูลใดที่รอจัดงานพร้อมแม่ทัพเจียง ต่างเร่งจัดเตรียมข้าวของเรือนหอ อาหารการกินที่ต้องใช้เลี้ยงแขกในงาน เผื่อว่าการแต่งงานในฤก
หลังจากหวาอานส่งจดหมายกลับไปยังเหอหยาง เมื่อแม่ทัพเสียนมู่ได้อ่านเนื้อหาในจดหมาย จึงนำกำลังทหารบางส่วนมุ่งหน้าไปยังจวนซีอ๋อง เพื่อรับตัวซื่อจื่อมาดูแลเป็นการชั่วคราว คราแรกพระชายารองไม่ยินยอม แต่พอได้เห็นป้ายผู้แทนของซีอ๋อง ที่อยู่ในมือของแม่ทัพเสียนมู่แล้ว ถึงได้ยอมปล่อยซื่อจื่อให้แม่ทัพเสียนมู่พาตัวกลับจวนส่วนเจ้าของคำสั่งที่พักอาศัยในจวนแม่ทัพใหญ่ ได้เห็นแปลงผักที่หลากหลายก็เกิดความสนใจ ซีอ๋องคิดว่าหากกองทัพหรือราษฎรที่เหอหยาง สามารถปลูกพืชผักได้เช่นจวนแม่ทัพใหญ่ ย่อมมีเสบียงสำรองมากพอยามฤดูเหมันต์มาเยือน ทุกคนต้องผ่านความอดอยากได้แน่เมื่อซีอ๋องถามกับบ่าวไพร่เรื่องการปลูกผัก คำตอบที่ได้ก็เกี่ยวกับบุตรสาวแม่ทัพใหญ่อีกแล้ว จนกระทั่งได้มานั่งพูดคุยเรื่องการค้า ซีอ๋องจึงถือโอกาสสอบถามอวี้จิ่นเรื่องผักที่ปลูกด้วยเสียเลย“คุณหนูเจียงเรื่องสัญญาการค้ายาสมุนไพร เปิ่นหวางยินดีทำตามข้อเสนอของเจ้า เพียงแต่ว่ามีอีกเรื่องที่เปิ่นหวางอยากรู้”“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ยอมทำการค้า กับร้านยาเล็ก ๆ ของหม่อมฉันเพคะ ว่าแต่ท่านอ๋องทรงอยากทราบเรื่องอันใดหรือเพคะ”“เปิ่นหวางอยากถามเกี่ยวกับวิธีปลูกผัก ให้ไ