“ข้าต้องขอบใจเจ้ามากนะลี่มี่ หากมิได้เจ้าเอ่ยเตือนในวันนั้น ข้าคงต้องตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว” กวนอู๋ท่งเอ่ยขอบใจลี่มี่ยาวเหยียด ด้วยเพราะเมื่อวานที่อู๋ท่งขึ้นเขาไปเก็บเผือกมัน มีงูพิษตัวใหญ่เท่าแขน พุ่งเข้ามากัดน่องของเขา ดีที่เขาพันผ้าไว้ที่น่องตามที่ลี่มี่บอก จึงช่วยให้รอดพ้นมาได้
“ขอบใจเจ้ามาก นี่เป็นของฝากจากครอบครัวข้า เจ้ารับไว้เถิด” ท่านลุงกวนผู้ใหญ่บ้าน ยกตะกร้าที่เต็มไปด้วยเนื้อหมู เนื้อไก่ กุ้ง และปลามาวางตรงหน้าสามยายหลาน
“หากข้าช่วยได้ ข้าก็ยินดี แต่ข้ามิรับของหรอกเจ้าค่ะ”
“รับไว้เถิดมี่เอ๋อร์ พวกข้าเต็มใจยิ่งนัก หากเจ้ามิรับไว้ข้าคงรู้สึกติดค้างในใจไปชั่วชีวิต” ท่านป้ากวนเอ่ยเสริมพลางหยิบขนมที่นางทำเองมายื่นให้ลี่หมิง เด็กชายเหลือบมองไปทางท่านยายและพี่สาวราวกับต้องการขออนุญาต เมื่อเห็นว่าทั้งสองมิได้เอ่ยห้าม จึงส่งมือเล็กๆ ไปถือขนมไว้
“ขอบพระคุณขอยับ”
“เช่นนั้น ข้าก็ขอรับไว้ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” อยู่พูดคุยกันได้ไม่นาน ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวกลับเรือนไป จึงเหลือเพียงสามคนยายหลานที่นั่งอยู่ที่เดิม
“ยสดียิ่ง อื้มมม” ลี่หมิงนำขนมเข้าปากคำแล้วคำเล่า ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เรือนสกุลเหมา เด็กน้อยก็ทานอาหารได้มากขึ้น ทั้งยังหิวบ่อย จนบัดนี้ร่างผอมบางเริ่มดูมีน้ำมีนวลขึ้น แก้มขาวกลมโตขึ้นมาก จนผู้เป็นพี่สาวอดไม่ได้ที่จะกดจุมพิตลงไปบนแก้มเนียนทั้งสอง
“อย่ากินให้มากนักเล่า ประเดี๋ยวจะมิหิวข้าว” เหมาไป่เอ่ยเตือนเด็กชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอยับ หากพี่มี่เอ๋อร์ช่วยคนได้มากคงจะดี น้องจะได้กินขนมอีก คิกๆ” คำพูดเรื่อยเปื่อยของเด็กชายทำให้หญิงชราและเด็กสาวหันมองหน้ากัน โดยมิได้นัดหมาย
“นั่นสิเจ้าคะ หากว่าข้ารู้นิมิตกาลข้างหน้าเช่นนี้ ก็สามารถนำไปช่วยคนได้ ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เงินจากพวกเขาด้วยนะเจ้าคะ” ลี่มี่ยกยิ้มขึ้นเต็มใบหน้า เหมาไป่เมื่อลองคิดตามสิ่งที่หลานว่าก็พยักหน้าเห็นด้วย หากว่าลี่มี่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้ เช่นเดียวกับที่ช่วยกวนอู๋ท่งคงจะดีไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงเรื่องเงินทอง หญิงชรากลับต้องนิ่งคิดชั่วขณะ
“แล้วคนอื่น เขาจะมิกล่าวว่าเราหลอกลวงชาวบ้านหรือ”
“หากเราช่วยพวกเขาได้ ก็มิถือเป็นเรื่องหลอกลวงนะเจ้าคะ อย่างพี่อู๋ท่ง หากว่าเขามิได้ทำตามที่ข้าบอก ไม่แน่ว่าอาจจะถูกพิษงู จนถึงแก่ชีวิตได้ ใช้เงินเพียงเล็กน้อยแลกกับชีวิตก็ถือว่าคุ้มค่านะเจ้าคะ” ลี่มี่คิดตามหลักเหตุและผล ความสามารถที่นางมีบัดนี้ สามารถนำไปช่วยเหลือผู้คนได้ แต่ทว่าจะให้นางทำโดยมิหวังผลตอบแทน แล้วนางกับครอบครัวจะกินอยู่กันอย่างไร ในเมื่อนางใช้ความสามารถแลกกับเงินทอง เช่นนี้จะว่านางหลอกลวงมิได้
“ก็จริงดังที่เจ้าว่า แต่เรื่องภาพนิมิตที่เจ้าเห็น ยังไม่แน่ชัดว่าจะทำอย่างไรให้รับรู้ได้ เรื่องนี้เราคงต้องดูกันไปเรื่อยๆ ก่อน”
“เจ้าค่ะ แต่ที่แน่ชัดคือ การไปที่สระมรกตแห่งนั้น ทำให้ข้าเห็นภาพนิมิตในกาลข้างหน้าได้ ข้าคิดว่าจะต้องเป็นเพราะดอกบัวและสระมรกตนั้นเป็นแน่”
“อืม ยายเองก็คิดเช่นนั้น”
“น้องเองก็คิดเช่นนั้นขอยับ”
“ฮ่าๆ รู้เรื่องกับเขาด้วยหรือ หืม หืม” ลี่มี่มันเขี้ยวน้องชายจนต้องลงโทษ โดยการแย่งกัดขนมในมือน้องชายกิน เรือนสกุลเหมาจึงเริ่มเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้น
“ระวังตัวด้วยนะมี่เอ๋อร์ ดูแลน้องให้ดีเล่า”
“เจ้าค่ะท่านยาย” วันนี้ลี่มี่ตั้งใจจะไปซื้ออาภรณ์มาใส่ในช่วงฤดูหนาว ทั้งยังจะออกไปทดลองว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเห็นภาพนิมิต หากว่านางจะทำเป็นอาชีพ อย่างไรก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดภาพนิมิตนั้นมีอันใดบ้าง
“ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่ทำให้ข้ามีนิมิต ขอช่วยให้ข้ารับรู้ทีเถิดว่าทำอย่างไรจึงจะเห็นภาพนิมิตเหล่านั้น” ลี่มี่หลับตาตั้งจิตภาวนาอยู่หน้าเรือน สองมือประสานกันไว้กลางอก จิตใจตั้งมั่นจนน้องชายที่มองอยู่ถึงกลับต้องรีบทำตาม หากมีผู้ใดมาพบเห็นภาพของสองพี่น้องยืนภาวนาอยู่หน้าเรือนจะต้องกลั้นขำมิได้เป็นแน่
“ไปกันเถิดอาหมิง วันนี้พี่จะพาเจ้าไปซื้อถังหูลู่ดีหรือไม่”
“ดีขอยับ น้องขอสามไม้” ลี่มี่มองน้องชายด้วยสายตาขบขัน มือบางจับจูงมือน้องชาย แต่ทันใดนั้น…
เฮือก!
“พี่มี่เอ๋อร์”
“คิๆ พี่เห็นเจ้าทำถังหูลู่ตกพื้น ฮ่าๆ”
“ห๊า!!! น้อง น้องจะถือดีๆ ถือแน่นๆ ขอยับ ไม่ตกแน่นอน”
ท่าทางระมัดระวังของน้องชายทำให้ลี่มี่หัวเราะออกมาเสียงดัง มือเล็กกำก้านไม้ถังหูลู่แน่น สองขาค่อยๆ ก้าวเดิน เพราะกลัวว่าขนมของตนเองจะตก แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง เพราะยังไม่ทันที่สองพี่น้องจะได้เดินออกห่างร้านถังหูลู่ กลับมีเด็กชายร่างสมส่วนวัยประมาณ 5 หนาว วิ่งมาชนลี่หมิงจนถังหูลู่ที่อยู่ในมือน้อยตกเกลื่อนเต็มพื้น
ลี่หมิงมองไปที่ถังหูลู่บนพื้นดินอย่างเศร้าสร้อย นัยน์ตาสั่นระริก น้ำสีใสเริ่มไหลมาคลอที่หน่วยตา มิเพียงเท่านั้นปากแดงยังเริ่มเบะคว่ำอย่างน่าสงสาร
“เดินไม่ดูทาง ชนข้าแล้วเห็นหรือไม่” เด็กชายร่างสมส่วนเอ่ยขึ้นราวกับว่าเป็นลี่หมิงที่กระทำผิด
“เจ้าเด็กน้อยผู้นี้! เป็นเจ้าที่มาชนน้องชายข้าจนขนมของเขาตก ยังมิเอ่ยปากขออภัยอีก” ลี่มี่เอ่ยตักเตือนเด็กชายตรงหน้า ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกายแล้ว คงจะเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ มิแปลกที่จะหยิ่งผยองเช่นนี้
“นี่เจ้า! มิรู้หรือว่าข้าเป็นผู้ใด” เด็กชายยกมือขึ้นเท้าสะเอวด้วยสีหน้ามิพอใจ
“มิรู้ แล้วก็มิอยากรู้ด้วย” ลี่มี่เองก็มิคิดจะยอมยกมือเท้าสะเอว เลียนแบบเด็กตรงหน้า
“ข้าจะบอกทหารมาลากเจ้าออกจากตลาด คอยดู”
“ฮ่าๆ เจ้าเป็นเจ้าเมืองหรือไร”
“ก็ข้า-”
“ฮึก ฮื่อ ฮื่อ” เสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ ของลี่หมิง ทำให้เด็กชายตรงหน้าชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าประดักประเดิดของคุณชายน้อยตรงหน้าทำให้ลี่มี่ขำออกมาเบาๆ
คงจะรู้สึกผิดอยู่สินะ เอาเลยอาหมิงร้องต่อไปอย่าพึ่งหยุด
“งะ เงียบนะ”
“ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อออออ” นอกจะไม่เงียบแล้ว ลี่หมิงยังร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม
“เงียบเสีย ข้าจะซื้อให้ใหม่”
“ฮื่อ~”
“ขะ ข้าซื้อให้ใหม่สี่ไม้…”
“ฮึก”
“ห้าไม้เลยก็ได้ ห้าไม้!”
“จริงหยือ” ลี่หมิงปาดน้ำตา เมื่อได้ยินว่าจะได้ถังหูลู่อันใหม่ถึงห้าไม้ ตากลมมองไปยังคนใจดีที่จะซื้อถังหูลู่ให้อย่างคาดหวัง
เมื่อเห็นว่าเด็กแก้มอ้วนตรงหน้า หยุดร้องไห้แล้ว คุณชายน้อยจึงเดินไปซื้อถังหูลู่มาห้าไม้ตามที่ได้สัญญาเอาไว้
“เอานี่”
“ขอบพระคุณขอยับ คุณชาย…”
“โจวหวังเยี่ยน นามข้า” ยังไม่ทันที่ลี่มี่และลี่หมิงจะเอ่ยสิ่งใดต่อ โจวหวังเยี่ยนที่เห็นว่าพี่เลี้ยงของตนกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ ก็รีบวิ่งหนีไปทันที
“คุณชายเจ้าคะ คุณชาย! รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” ลี่มี่เห็นหญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นบ่าวรับใช้วิ่งตามคุณชายน้อยไปก็ส่ายหัวไปมา
“เห้อ ผู้มีเงินทองเขาเป็นเช่นนี้กันหรอกหรือ ไปกันเถิดอาหมิง” ลี่มี่พาน้องชายเข้าร้านขายอาภรณ์ แต่ด้วยนางมิได้มีเงินทองมากนัก จึงเลือกเสื้อผ้าที่คุณภาพต่ำและเป็นแบบสำเร็จรูป สำหรับใส่ในช่วงฤดูหนาวคนละหนึ่งชุด หมดเงินไปถึงหนึ่งตำลึงเงิน แต่จะมิซื้อก็มิได้ เพราะอาภรณ์ของพวกเขาชำรุดมากแล้ว ทั้งยังมิอุ่นพอจะใส่ในฤดูหนาว ทำให้บัดนี้ลี่มี่เหลือเงินเพียงสี่ตำลึงเงินกับอีกสองร้อยอีแปะ
“นี่เงินเจ้าคะ” ลี่มี่ยื่นเงินให้หญิงวัยกลางคนเจ้าของร้าน แต่จังหวะที่มือของลี่มี่สัมผัสกับฝ่ามือของหญิงคนนั้น ภาพต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาหัวอย่างรวดเร็ว
เฮือก!
“เอ่อ…ท่านระมัดระวังการขึ้นลงบันไดไว้เสียหน่อยนะเจ้าคะ บันไดที่บ้านท่านดูเหมือนว่าจะมีขั้นที่มันผุอยู่” เอ่ยเพียงเท่านั้นลี่มี่ก็พาน้องชายออกจากร้านทันที
เด็กสาวเดินไปคุ้นคิดไป เมื่อครู่นางเห็นภาพนิมิต ยามที่สัมผัสมือของแม่ค้าร้านขายอาภรณ์
หรือว่านิมิตนี้จะเกิดจากการสัมผัสที่มือ
คราแรกที่นางเห็นภาพนิมิตของอาหมิงก็เป็นตอนที่นางก้มลงจุมพิตมือน้อยของน้องชาย ของท่านยายก็เช่นกัน เกิดขึ้นตอนที่นางกุมมือท่านยาย แต่ของพี่อู๋ท่งเล่า ตอนนั้นท่านพี่อู๋ท่งเพียงช่วยพยุงนางเท่านั้น มิได้สัมผัสมือกันสักนิด
จริงสิ! หรือว่าจะเป็นเพราะการสัมผัสร่างกาย
วันนี้ลี่มี่ตั้งใจพาท่านยายและอาหมิงไปเลือกซื้อวัตถุดิบปรุงอาหาร เนื่องจากนางเปิดสำนักทุกวัน มิได้ออกไปเก็บของป่า ทำให้อาหารที่กักตุนไว้เริ่มหมดลง ทั้งลี่มี่ยังตั้งใจจะซื้ออาภรณ์ผืนใหม่ไว้ให้ท่านลุงชุนไห่และท่านพี่ชุนเต๋อใส่ยามอากาศหนาวเย็น แม้ว่านางจะตัดขาดจากสกุลชุนแล้ว แต่ทั้งสองก็ยังดีกับนางและน้อง อย่างไรก็ต้องตอบแทน“ท่านยาย ข้าว่าเราไปนั่งดื่มน้ำชาให้ท่านหายเมื่อยก่อนดีหรือไม่” ลี่มี่พยุงท่านยายลงจากเกวียน ท่าทีปวดเมื่อยทำให้ลี่มี่นึกกังวล“มิต้องๆ ยายพึ่งจะได้ลุกยืน จะให้นั่งอีกคงมิไหว เราไปเลือกซื้ออาหารกันก่อนเถิด”“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ อาหมิงจับมือท่านยายไว้ ประเดี๋ยวจะหลงเอาได้” ลี่มี่พาท่านยายและน้องชายเดินไปซื้อของสด ที่ชาวบ้านเอามาตั้งร้านขายตามรายทาง มีทั้งผัก ผลไม้ ปลา หรือแม้แต่สัตว์ทะเลตั้งแต่เปิดสำนักแม่หมอ ลี่มี่ก็มีเงินใช้จ่ายอย่างคล่องมือ มิต้องประหยัดจนอดอยาก แต่นางก็มิได้ฟุ่มเฟือย เครื่องประดับงดงามนางก็ยังมิคิดจะซื้อใส่ แต่สิ่งใดจำเป็นจะต้องกินต้องใช้ นางก็จะซื้อโดยมิเสียดาย“ท่านยายเอาปูตัวใหญ่ด้วยได้หยือไม่ขอยับ”“ได้ๆ เอาตัวนี้ดีหรือไม่” สายตาออดอ้อนจากน้
ภาพนิมิตที่ลี่มี่เห็นทำให้นางรีบดึงมือออกจากมือใหญ่ทันที ท่าทีร้อนรนและสีหน้าที่ตกใจ ทำให้อี้หานอดสงสัยมิได้“เจ้าเห็นสิ่งใด เลวร้ายหรือ”“มะ มะ มิได้เจ้าค่ะ ข้าเห็นเช่นเดิม มิ- มิมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง” ใบหน้ากลมสวยแดงก่ำขึ้น เมื่อชายหนุ่มเคลื่อนขยับเข้ามาใกล้‘ขะ ข้าต้องถูกบังคับเป็นแน่ แต่…ใบหน้าข้าก็ดูมีความสุขนะ ฮื่อ~’ ลี่มี่ใช้มือทุบตีศีรษะตนเองที่มิอาจลบเลือนภาพน่าอายเหล่านั้นออกไปได้ จนผู้ที่อยู่ในห้องนั้นถึงกับงุนงงในท่าทีของนางกันหมด“เจ้าเป็นอันใดของเจ้า”‘จริงสิ ใช่ว่าเราจะเปลี่ยนนิมิตไม่ได้ ต้องหนี ต้องหนีให้ห่าง! แล้ว…ข้าจะหนีไปที่ใดอีกเล่า ฮื่ออออ’ ตากลมเดี๋ยวก็เบิกกว้าง เดี๋ยวก็เศร้าสร้อย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนอี้หานนึกสงสัยว่าหญิงสาวกำลังทำหน้าตาเช่นใดอยู่มือใหญ่เอื้อมเข้าไปดึงผ้าปิดหน้าของลี่มี่จนหลุดติดมือมา ใบหน้าน่ารักของหญิงสาวที่พึ่งพ้นวัยปักปิ่น ทำเอาดวงใจที่แข็งแกร่งดั่งหินผาของท่านเจ้าเมืองสั่นไหวไม่น้อย ดวงตากลมโต ปากแดงเล็กเป็นกระจับ ปลายจมูกรั้นขึ้นพอน่ารัก“ทะ ท่านทำสิ่งใด” ลี่มี่ที่ถูกดึงผ้าปิดหน้าออกก็มิสติขึ้นมา“อะแฮ่ม ข้า- มิมีอันใด ว่าแต่เจ้าเห็นสิ่งใด
“ผู้คนมารอมากเลยทีเดียว คงเป็นเพราะยายแจ้งว่าต่อจากนี้อีกหนึ่งสัปดาห์เราจะหยุดเพื่อซ้อมหลังคาเรือน”“เช่นนั้นก็เชิญคนแรกเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ” ลี่มี่ยกผ้าคาดหน้าเข้ามาสวมใส่และเตรียมพร้อมเช่นเคย ชาวบ้านคนแล้วคนเล่าเข้ามาดูนิมิตกับท่านแม่หมอ บ้างก็ผิดหวังกลับไปเพราะมิมีวาสนาต่อสวรรค์ แต่บางคนกลับได้รับคำเตือนที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต ชาวบ้านที่มาที่สำนักมีทั้งคนในหมู่บ้านและผู้คนนอกหมู่บ้าน จนมาถึงผู้ศรัทธาคนสุดท้ายที่ท่านยายเอ่ยว่า เขาเดินทางมาจากตัวเมืองเพื่อขอคำชี้แนะจากแม่หมอแห่งซูโจว“เอ่อ ผู้ใดที่จะดูนิมิตหรือ เหตุใดจึงเข้ามากันเยอะแยะมากมายถึงเพียงนี้เล่า” ลี่มี่จ้องมองชายหนุ่มทั้งสามคนตรงหน้าอย่างพิจารณา โดยเฉพาะผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุด คนผู้นี้หล่อเหลา ท่าทางราวกับบัณฑิตมีความรู้ และดูเหมือนว่าคนผู้นี้คงจะเป็นนายของทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลัง“ข้าเป็นเจ้าเมืองซูโจว มีนามว่า โจวอี้หาน”“ทะ ท่านเป็นเจ้าเมืองหรือ แล้วมีกิจธุระอันใดกับข้าหรือ” ลี่มี่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจไม่น้อย หญิงสาวตื่นกลัวอยู่ตลอด เพราะการงานของนางเสี่ยงที่จะถูกทางการจับกุมยิ่งนัก“รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำถือเป็
“เรื่องคดีเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงเรียบทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยถามคนที่พึ่งเข้ามาใหม่“ยังมิมีผู้ต้องสงสัยเลยขอรับ ท่านเจ้าเมือง” คำตอบรับจากผู้ใต้บัญชาทำเอา โจวอี้หาน เจ้าเมืองซูโจวถึงกับถอดถอนหายใจออกมา เรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในเมืองซูโจวเริ่มจะปิดไม่มิด ข่าวสารเริ่มแพร่กระจายไปเกือบทั่วเมืองซูโจวแล้ว แม้ว่าคดีฆาตกรรมหญิงสาวจะเกิดขึ้นเพียงในตัวเมือง แต่ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในเมืองซูโจวไม่น้อย“แล้วมีสิ่งใดเพิ่มเติมหรือไม่”“ขอรับ มีหญิงคณิกาตายเพิ่มอีกแล้วขอรับ เมื่อเช้าข้าน้อยพึ่งจะไปดูศพมา การลงมือเป็นลักษณะเดียวกัน คือ ถูกจ้วงแทงหลายแผล ทั้งยังถูกกรีดที่ใบหน้า” ผู้ช่วยท่านเจ้าเมืองอย่าง หรงจี ยังรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย เมื่อเช้ามืดท่านฉือกงหัวหน้ามือปราบของเมืองซูโจว ได้รับแจ้งว่าพบร่างสตรีที่เต็มไปด้วยเลือดนอนแน่นิ่งอยู่ริมน้ำ ท่านฉือกงจึงมาเรียกเขา ให้ไปช่วยตรวจสอบ“ศพที่สามแล้วสินะ พบความเชื่อมโยงของผู้ตายหรือไม่” โจวอี้หานถึงกับกุมขมับ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้า เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมขึ้นในเมืองซูโจว เดิมที คิดว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ แต่ผ่านมาอีกหนึ่งสัปดาห์กลับมีเหตุการณ์เช่นเดิม
“ท่านยายขอยับ น้องขอออกไปวิ่งเล่นที่ลานกว้างของหมู่บ้านได้หยือไม่ขอยับ” วันนี้เรือนสกุลเหมาปิดสำนักแม่หมอ เนื่องจากเหมาไป่อยากให้หลานสาวได้พักผ่อนเสียบ้าง จึงมีเวลาให้ลี่หมิงไปเที่ยวเล่นกับเด็กวัยเดียวกัน ยามที่อยู่สกุลชุน เด็กชายก็ต้องช่วยพี่สาวทำงานบ้าน พอย้ายมาอยู่สกุลเหมาก็ต้องช่วยพี่สาวต้อนรับผู้ศรัทธา ลี่หมิงจึงมิค่อยมีเพื่อนในวัยเดียวกันเลย วันนี้เขาจึงตัดสินใจไปที่ลานกว้างของหมู่บ้านที่มักจะมีเด็กๆ มาเล่นกันบริเวณนั้น“ไปเถิด อีกประเดี๋ยวยายจะตามไป ขอยายตากปลาไว้ก่อน” เหมาไป่เห็นว่าลานกว้างของหมู่บ้านมิได้ห่างไกลเรือนมากนัก ทั้งยังเป็นที่มีผู้คนพลุกพล่าน จึงปล่อยให้หลานไปก่อน หากนางตากปลาเสร็จ จึงจะตามไปภายหลัง“ขอบพระคุณขอยับ” ขาเล็กสั้นเดินออกมานอกเรือน หวังจะไปเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน แม้จะมิค่อยรู้จักผู้ใด แต่อย่างน้อยไปนั่งดูพวกเขาวิ่งเล่นกันก็ยังดีลี่หมิงมาถึงลานกว้างก็พบว่ามีเด็กชายและเด็กหญิงในวัยเดียวกันอยู่สี่ห้าคน เขาจึงเข้าไปทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ที่ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นก็ต้องหลง“พวกเจ้าเล่นอันใดกันอยู่หยือ ข้าขอเล่นด้วยได้หยือไม่ขอยับ”“พวกข้ามิได้เล่นอันใดทั้งส
“เป็นอย่างไร เห็นข้าได้แต่งงานกับท่านพี่อู๋ท่งใช่หรือไม่” ลี่มี่ชักสีหน้าใส่ซูเม่ยอย่างรำคาญ หลังจากเริ่มตั้งสำนักมากว่าหนึ่งสัปดาห์ ลี่มี่มิเคยพบผู้ศรัทธาที่น่ารำคาญเท่านี้มาก่อนเช้าวันนี้ซูเม่ยมายืนรอหน้าสำนักตั้งแต่เรือนสกุลเหมายังไม่เปิด เดิมทีลี่มี่มิคิดจะดูนิมิตให้คนสกุลชุน แต่เมื่อเห็นถุงเงินที่ซูเม่ยนำมาด้วย ลี่มี่ก็เปลี่ยนใจทันที เวลานี้ยังจะมีเรื่องใดสำคัญไปกว่าเรื่องเงินอีกหรือ“ข้ามิเห็นว่าเจ้าจะได้ออกเรือน แต่เห็นพี่อู๋ท่งแต่งกับสตรีงดงามผู้หนึ่ง มิเห็นหน้าตาชัด แต่รู้เพียงว่างดงาม” ลี่มี่แตะปลายนิ้วไปที่กลางฝ่ามือของซูเม่ย ในหัวพยายามเค้นภาพนิมิตให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเป็นผู้ใด ลี่มี่จึงหยุดเพียงเท่านั้น เพราะคงเป็นลิขิตสวรรค์ที่มิอยากให้นางรับรู้“เจ้าดูผิดหรือไม่ คนผู้นั้นอาจจะเป็นข้า เจ้าดูอีกที” ซูเม่ยกล่าวเสียงแข็ง จะให้นางเชื่อว่าท่านพี่อู๋ท่งสนใจสตรีอื่นได้อย่างไร ในเมื่อท่านพี่อู๋ท่งมีท่าทางเอ็นดูนางถึงเพียงนั้น“เห้อออ วางเงิน” ซูเม่ยจำใจโยนเหรียญอีแปะใส่ในขัน ลี่มี่เห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปแตะฝ่ามือของเด็กสาวตรงหน